บทที่ 175 ให้ทีมงานเลิกงานก่อนเวลา

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 175 ให้ทีมงานเลิกงานก่อนเวลา

บทที่ 175 ให้ทีมงานเลิกงานก่อนเวลา

เพราะมีพื้นฐานด้านการต่อสู้อยู่ ซูโย่วอี๋จึงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่เธอก็ยังคุ้นชินกับท่าทางการทำความเคารพแบบเก่าจึงทำแบบเดิมโดยไม่รู้ตัว

ฮันเจ๋อหยางยืนถือน้ำแร่ดูอยู่ข้าง ๆ และช่วยเธอแก้ไขข้อผิดพลาดเป็นครั้งคราว

“ท่าคำนับก่อนหน้านี้ของคุณดูคล่องแคล่วมาก การเปลี่ยนท่าทางมักจะให้ความรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินแหละนะ”

ซูโย่วอี๋ถอนหายใจออกมา “ฉันคงจะต้องซ้อมเยอะ ๆ”

ก่อนหน้านี้ใครให้เธอลาหยุดช่วงการฝึกซ้อมกันล่ะ

ขณะนั้นเอง ผู้กำกับสวีหยิบเครื่องกระจายเสียงขึ้นมา “เจ๋อหยาง ซูโย่วอี๋ พวกคุณมานี่หน่อย”

หลังจากที่ทั้งสองคนเดินเข้าไป สวีโหมวเปิดวิดีโอช่วงที่พึ่งถ่ายเมื่อครู่นี้ให้พวกเขาดู “รวม ๆ แล้วผมรู้สึกว่าไม่เลวเลย เจ๋อหยางคุณเหม่อลอยมากไปหน่อย ระวังด้วย ซูโย่วอี๋ ปัญหาสำคัญของคุณคือท่าคำนับ ค่อย ๆ แก้ไขให้ถูกต้องด้วย”

ค่อย ๆ?

หมายความว่าไม่แก้ไขก็ได้เหรอ?

สวีโหมวกระแอมออกมาสองครั้ง “ถ้าไม่คุ้นเคยก็ช่างมัน”

อย่างไรก็ตาม ท่าการคำนับของซูโย่วอี๋พอถ่ายออกมาก็ดูสวยมาก

มันทั้งดูคล่องแคล่วและสง่างาม

ส่วนฮันเจ๋อหยางชี้ไปยังหน้าจอมอนิเตอร์ พูดไปด้วยพยักหน้าไปด้วย “ซูโย่วอี๋ ฉากระยะใกล้ของคุณตอนนี้ คุณเปลี่ยนสายตาได้ดีมาก ๆ เลย”

และที่สำคัญที่สุด ซูโย่วอี๋ในจอมอนิเตอร์ดูสวยมาก

“ผมมีลางสังหรณ์ว่าหลังจากเปิดตัวบทฮั่วเสวียนได้หนึ่งสัปดาห์ เรตติ้งจะต้องสูงมากแน่ ๆ”

สวีโหมวถือบุหรี่เอาไว้และไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจก็คิดเหมือนกัน

หากแต่ซูโย่วอี๋แค่รู้สึกว่าฮันเจ๋อหยางชมไปตามมารยาท จึงพูดติดตลก “รุ่นพี่ฮัน ตอนคุณอยู่ในละครก็ให้ความรู้สึกสง่างามและโรแมนติกมากเหมือนกันค่ะ”

ทุกคนไปพักผ่อนสักพัก สวีโหมวก็ให้ถ่ายทำต่อ

ความคืบหน้าต่อจากนี้ผ่านไปไวมาก การถ่ายทำของวันนี้ก็จบลงประมาณสี่ทุ่ม

ทีมงานพากันส่งเสียงร้องดีใจ “ว้าว หายากนะที่จะได้เลิกงานก่อนเวลา”

“ใช่ ช่วงนี้ต้องอยู่ถึงดึก ๆ ทุกวัน หน้าผากของฉันมีสิวขึ้นเต็มเลย”

“ขอบคุณนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอย่างคุณฮันและเทพธิดาอย่างคุณซู หวังว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะทำได้ดีกว่านี้ ให้พวกเราได้เลิกงานเร็วขึ้นไปอีก เพี้ยง”

“ฮ่าฮ่า เธอฝันไปเถอะ วันนี้ได้กลับบ้านไวหน่อยก็ดีมากแล้ว ยังคิดว่าจะเป็นอย่างนี้ทุกวันงั้นเหรอ”

“คนเรามันก็ต้องมีความฝัน และถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาก็คงดี”

ซูโย่วอี๋ฟังที่พวกเขาคุยกัน ก็รู้สึกตลกมากจึงขยับเข้าไปฟังใกล้ ๆ

แต่ทันใดนั้น ฮันเจ๋อหยางก็เดินเข้ามา “กลับด้วยกันไหม?”

ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะฝากความหวังไว้ที่พวกเรานะคะ”

“การถ่ายละครไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแสดงว่าดีหรือไม่ดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับฉากการถ่ายทำในวันนั้น ๆ ด้วย ฟังไว้บ้างแต่ไม่ต้องไปสนใจมากนัก”

ซูโย่วอี๋คิดถึงแผนการการถ่ายทำของวันพรุ่งนี้ มันเป็นฉากที่ฮั่วเสวียนเป็นตัวแทนนำเหล่าทหารไปต้อนรับตัวแทนที่มาจากเมืองหลวงและจะมีการจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟบนทุ่งหญ้า

มีทั้งเหล้า ทั้งเนื้อ ทั้งเสียงเพลง และการร่ายรำ

ฉากนี้ก็คงจะต้องรอให้มืดก่อนจึงจะถ่ายทำได้

“ดูแล้วพรุ่งนี้คงจะต้องพยายามให้มากขึ้นนะคะ”

ฮันเจ๋อหยางมองไปยังเธอ “พยายามเรื่องอะไร?”

“พยายามให้ทั้งทีมละครเลิกงานก่อนเวลา”

ท่าทางจริงจังของซูโย่วอี๋ทำให้ฮันเจ๋อหยางหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “เธอนี่น่ารักจริง ๆ นะ”

ซูโย่วอี๋เกาหัวของเธออย่างเขิน ๆ “รีบนอน รีบตื่น ดีต่อร่างกายนะคะ”

รถพี่เลี้ยงสองคันจอดอยู่ด้วยกัน หลังจากที่ซูโย่วอี๋กล่าวลาฮันเจ๋อหยางเธอก็ขึ้นรถไปก่อน จากการพูดคุยกันในวันนี้ เธอและฮันเจ๋อหยางคงสนิทกันมากขึ้นแล้วสินะ

เธอไม่อยากปฏิบัติตามกฎมารยาทของการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องแล้ว

หลังจากที่ฮันเจ๋อหยางขึ้นรถ ผู้ช่วยก็ถามขึ้น “คุณดูชอบซูโย่วอี๋มากเลยนะ?”

ทุก ๆ วันผู้ช่วยจะติดตามศิลปินของพวกเขาทุกฝีก้าว เป็นคนที่เข้าใจศิลปินมากที่สุด ก่อนหน้านี้ฮันเจ๋อหยางและอวิ๋นเหมี่ยวถ่ายทำด้วยกัน ทั้งสองพูดคุยกันมากว่าครึ่งเดือน แต่ฮันเจ๋อหยางยังดูสุภาพกับอวิ๋นเหมี่ยวมาก และน้อยครั้งมากที่เขาจะยอมเปิดปากชวนคุยก่อน

ฮันเจ๋อหยางขมวดคิ้วมุ่น จมูกตั้งตรง พอได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะเบา ๆ “ไม่รู้สิ น่าจะเพราะเธอดูคุ้นตา”

เขามักจะมีความรู้สึกใกล้ชิดกับซูโย่วอี๋ในแบบที่อธิบายไม่ถูกอยู่เสมอ

หลังจากมีประสบการณ์ถ่ายละครมาแล้วหนึ่งวัน สวีโหมวปรับตารางความคืบหน้าในการถ่ายทำ โดยมีกำหนดการมากขึ้น เวลาแน่นขึ้น

วันนี้ ซูโย่วอี๋ดูเหนื่อยมากกว่าวันแรก

แต่คืนนี้มีฉากใหญ่อีกฉากหนึ่งซึ่งก็คือฉากงานเลี้ยงต้อนรับพระเอก ในช่วงพักซูโย่วอี๋จึงต้องรีบพักผ่อนโดยการนอนพักในรถ

ตกกลางคืน ท้องฟ้าสีครามสะท้อนกับทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่

ลมพัดในเวลากลางคืน ทำให้ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยความเย็นสบาย

ฉากบนทุ่งหญ้าถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย มีกระโจมกว่าสิบหลัง โต๊ะเตี้ย ๆ ในที่โล่ง เหล้า เบียร์ อาหาร และฟูกที่นั่ง

ผู้ช่วยผู้กำกับจัดเตรียมนักแสดงที่ต้องยืนประจำการ ส่วนซูโย่วอี๋และฮันเจ๋อหยางกำลังสร้างความคุ้นเคยกับบทบาทและโครงเรื่อง

ตอนที่เริ่มถ่ายทำ หลี่จื้อในฐานะผู้บัญชาการจากเมืองหลวงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของค่ายทหารเป็นการชั่วคราว เขานั่งลงที่ตำแหน่งตรงกลาง

ฮั่วเสวียนที่เป็นท่านแม่ทัพนั่งอยู่ด้านข้าง และเหล่าทหารแบ่งกันนั่งทั้งสองฝั่ง

หลี่จื้อรินเหล้าให้ตัวเอง เพื่อเคารพต่อเหล่าทหารและกำลังพลทุกท่าน ในขณะเดียวกันนั้นยังแสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นผู้ที่พึ่งมาใหม่จึงต้องการความช่วยเหลือจากทุกคน

แต่เหล่าทหารเคารพฮั่วเสวียนมาก เมื่อเห็นเธอดื่มเหล้าทั้งหมดจึงได้เริ่มดื่มตาม

คนฉลาดอย่างหลี่จื้อรู้สถานการณ์ทุกอย่าง แต่เขาไม่ใช่คนใจแคบ การมาที่ชายแดนครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อยึดอำนาจ แต่มาเพื่อจัดการกับหรงตี๋ที่อยู่เบื้องหลังสงคราม

อาการดูถูกของฮั่วเสวียนได้หายไปจนหมด เพราะชายผู้นี้คือพี่ใหญ่ที่ช่วยเธอจากการค้ามนุษย์เมื่อตอนที่เธอยังเด็ก เธอมีความสุขมากที่ได้พบเขาอีกครั้ง

เธอยกแก้วขึ้น “โม่อ๋อง ข้าน้อยขอเคารพท่าน เรื่องทางการทหารต่อจากนี้อยู่ภายใต้การสั่งการของโม่อ๋องแล้วขอรับ”

หลี่จื้อไม่คาดคิดว่าท่านแม่ทัพจะพูดได้ดีขนาดนี้ เขาคิดมาตลอดว่าคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะสามารถทำให้อีกฝ่ายเชื่อฟังได้

“ท่านแม่ทัพเกรงใจข้ามากเกินไปเสียแล้ว”

หลี่จื้อดื่มเหล้าไม่เก่ง เขาเริ่มเมาแล้ว

ในทางกลับกัน ฮั่วเสวียนเติบโตที่ชายแดนมาตั้งแต่เด็ก ดื่มเหล้าป่าจนคุ้นชิน ตอนนี้ก็ยังคงมีสติดี

นางนั่งลงร้องเพลงและเต้นรำ กองไฟกำลังร้อนแรง ชุยดาบเดียวยกแก้วให้กับหลี่จื้อและยิ้มขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ได้ยินมาว่าคนในเมืองหลวงทุกคนเก่งเรื่องดนตรี เหมือนกับพวกเราที่พอเกิดมาก็เก่งเรื่องดาบเรื่องกระบี่ โม่อ๋องพอจะให้ข้าน้อยอย่างพวกข้าได้ชื่นชมความสง่างามนั้นได้หรือไม่?”

หลี่จื้อลูบแก้วเหล้าของตัวเองและยังไม่พูดอะไร ฮั่วเสวียนจึงตำหนิขึ้น “ท่านชุย อย่าเสียมารยาท”

หลี่จื้อเป็นถึงโม่อ๋อง จะให้มาบรรเลงดนตรีให้ทหารได้อย่างไร

“ไม่มีปัญหา ท่านแม่ทัพไม่ต้องโกรธไป มีการแลกเปลี่ยนทักษะมากมายระหว่างเหล่าทหารในเมืองหลวง ข้าปฏิบัติต่อทหารทุกคนเหมือนกับเพื่อนสนิทของข้า”

ได้ยินหลี่จื้อพูดเช่นนั้น ชุยดาบเดียวโห่ร้องขึ้นเสียงดัง “โม่อ๋อง โม่อ๋อง…”

หลี่จื้อมองต่ำลงและยกยิ้ม ก่อนจะให้บริวารนำขลุ่ยหยกของตนมา

ฮั่วเสวียนมองดูชายหนุ่มรูปงามผ่านกองไฟด้วยสายตาล่องลอยและตั้งตารอคอยการแสดงของหลี่จื้อ

รอจนบริวารถวายขลุ่ยหยกให้ด้วยมือทั้งสอง หลังจากที่หลี่จื้อรับมาก็มองไปยังฮั่วเสวียน “ท่านแม่ทัพมีบทเพลงที่ชอบหรือไม่?”

ฮั่วเสวียนเคยเรียนแค่การต่อสู้ ไม่เคยเรียนดนตรี

แต่เธอรู้จักบทเพลงที่ลือเลื่องไปทั่ว ชื่อเพลงว่า ‘หงส์ขังรัก’ เป็นเพลงที่ผู้ชายร้องให้ผู้หญิงที่เขารัก

เธออยากฟังหลี่จื้อเป่าขลุ่ยเพลงนี้

“หงส์ขังรัก?”

หลี่จื้อแสดงออกอย่างขี้เล่น

“ท่านแม่ทัพมีหญิงในใจแล้วอย่างนั้นหรือ?”

ฮั่วเสวียนหน้าแดง แต่บังคับตัวเองให้ใจเย็น “ไม่มี”

หลี่จื้อยิ้มและส่ายหัวโดยไม่ได้พูดอะไรมาก ในทางตรงกันข้ามชุยดาบเดียวและคนอื่น ๆ เริ่มเอะอะเสียงดังขึ้นมา