ตอนที่ 208 ข้าคือจอมทัพ

ปงปง!

ได้ยินเสียงคราแรก เสมือนเสียงกระสุนปืนที่ดังปะทุวุ่นวาย คล้ายมีคนกระซิบอยู่ไกลๆ

พอได้ยินเป็นครั้งที่สอง ประหนึ่งเสียงรัวกลองรบ ก้องระงมไปพร้อมเสียงกู่ของผู้คน

หลังได้ยินอีกครั้ง ราวกับสายฟ้าฟาดผ่าภูเขาทลาย แม้แต่สวรรค์ยังสะเทือนสะท้าน

ฉินจิ่วเกองุนงง หันมากล่าว “ทำบ้าอะไรกัน ข้ายังไม่ทันสั่งให้เริ่ม แล้วพวกเจ้าจะทำเสียงดังกันทำไม?”

ลั่วเฉินชี้นิ้วไปทางซ่งเล่อ ส่วนซ่งเล่อก็ชี้ไปไกลๆ ด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “นี่ไม่เกี่ยวกับข้า เป็นสัตว์อสูร คลื่นสัตว์อสูรมาแล้ว!”

“งั้นทำไมยังไม่รีบหาที่หลบอีกเล่า?” ฉินจิ่วเกอร้อนรนแทบตายแล้ว

ลั่วเฉินมองดูพายุทรายก่อตัวช้าๆ อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟัน พายุกระจายเมฆามืดมัว “อยากจะหนีเจ้าก็หนีไปคนเดียว พวกเราไม่เชื่อในโชคชะตา แต่ขอยืนหยัดต่อสู้กับพวกมันอยู่ที่นี่”

ฉินจิ่วเกอยกมือตบปากเบาๆ จากนั้นยืดเอว “ก็ได้ ข้าพูดผิดไปเอง นี่ไม่เรียกวิ่งหนี แต่เป็นกลยุทธ์เก็บแรงเอาไว้ยามจำเป็น รู้จักถอย รู้จักตอบโต้ สอดคล้องกับแนวนิยมยุคปัจจุบัน”

ซ่งเล่อล้วงมีดสั้นออกมา ประกายของมันคมปลาบ เศียรอสูรสีดำท่าทางดุร้ายสลักไว้บนด้าม “ไม่ต้องหนีแล้ว ไม่ทันแล้ว”

“หนีเถอะ!ไม่สิ หาที่ซ่อนกันก่อน”

ฉินจิ่วเกอวิ่งนำหน้า เจอเนินทรายเล็กๆ จึงรีบพุ่งตัวเข้าไปคลุกกลบ หวังว่ากองทัพสัตว์อสูรจะมองข้ามมันไป

ต่อมา ทั้งซ่งเล่อและลั่วเฉินต่างก็วิ่งมาหลังเนินทราย ใช้พลังวิญญาณอำพราง เฝ้ามองคลื่นสัตว์อสูรสีดำมะเมี่ยมที่กวาดม้วนเข้ามาทางพวกมันอย่างรวดเร็ว

ดูประหนึ่งดินคล่มหลังพายุฝนฟ้าคะนอง เพียงแต่ใหญ่โตกว่ากันนับพันเท่า

แค่เสียงดังกระหึ่มก็เพียงพอให้อวัยวะภายในต้องขยับผิดที่ผิดทาง แก้วหูแทบฉีกขาด

แผ่นดินสั่นสะท้านจนแทบแหลกกระจาย ซ่อนตัวอยู่ในเนินทราย จำนวนเม็ดทรายที่ไหลพรูมีน้ำหนักราวหมื่นจินขึ้นไป

รอจนคลื่นสัตว์อสูรมุ่งหน้าไปทางเมืองซวนอู่แล้ว ค่อยชะโงกหน้าออกมามอง ปรากฏว่าเนินทรายร้อยเมตรเหลือขนาดเพียงถุงทรายที่ถ้าหากถูกถ่มน้ำลายใส่เพียงคราเดียวก็คงละลายหายไปทันที

“สัตว์อสูรน่าตายพวกนั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองซวนอู่แล้ว” ซ่งเล่อมุดออกมาจากทราย กัดฟันกล่าว

ฉินจิ่วเกอมองดูคลื่นสัตว์อสูรหายไปไกลลับตา ในใจวิตกกังวล แต่ก็ต้องสลัดความคิดฟุ้งซ่านนี้ออกไป “ไปกันเถอะ ไปป่าปีศาจสวรรค์กันก่อน หากพวกเราโชคดี อาจพบวาสนาเข้าก็ได้”

ตลอดรายทาง ล้วนสามารถมองเห็นสัตว์อสูรวิ่งพล่านอยู่ทุกทิศทาง บ้างสิบตัว บ้างร้อยตัวเกาะกลุ่มกันเป็นหัวลูกศรพุ่งดิ่งไม่หยุดยั้ง บางกลุ่มกระทั่งมีนับพันนับหมื่น เป็นคลื่นลูกยักษ์ที่สามารถเคลื่อนภูผาได้ทั้งลูก

เดินๆ หยุดๆ หลบๆ ซ่อนๆ กระทั่งฟ้าสว่าง คนทั้งสามก็มาถึงนอกป่าปีศาจสวรรค์ในที่สุด

พอกลับมาถึงที่นี่ได้อีกครั้ง ฉินจิ่วเกอก็ถอนใจออกมา พวกมันสามคนต่างก็เริ่มต้นความสัมพันธ์กันที่นี่

ณ ที่นี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มันได้รับเงินก้อนโต รวมถึงแย่งเอาแหวนมิติมาจากพวกมันด้วย

มาคิดดู ช่างเป็นความทรงจำอันประเสริฐงดงามแท้ๆ

ซ่งเล่อมีเคล็ดท่าร่างที่ไม่เลว หลังจากหายเข้าไปในป่าได้ครึ่งก้านธูป มันก็รีบวิ่งตาเหลือกกลับออกมา สภาพอากาศยามนี้ช่างปลอดโปร่งสว่างสดใส ป่าปีศาจสวรรค์ที่ถูกสัตว์อสูรย่ำผ่านจนพืชพรรณหักโค่นแบนราบเหลือไว้เพียงดินเหลืองๆ เท่านั้น

มองดูพื้นที่เตียนโล่ง เทียบกับถูกไฟป่ายังเรียบโล่งกว่า ภายในมีเสียงสัตว์อสูรกู่ร้องมาเป็นพักๆ ให้ความรู้สึกทรงพลังน่าเกรงขาม

เห็นซ่งเล่อล่าถอยออกจากป่า ฉินจิ่วเกอก็ยกมือกล่าว “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดอะไร แค่ดูจากสีหน้าคล้ายคนถ่ายไม่ออกของเจ้าข้าก็รู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ด้านในค่อนข้างจะเลวร้าย ดูท่าสวรรค์ยืนกรานหาเรื่องใส่หัวพวกเราแล้ว”

กล่าวจบ ฉินจิ่วเกอก็มองไปทางศิษย์น้องรองด้วยความประสงค์ร้าย

ไอหยา มีพระเอกเท่านั้นที่ต่างออกไป ไม่ว่าออกไปที่ใดย่อมประสบพบเจอเรื่องเวียนหัว แต่ล้วนไม่จำเป็นต้องท่องบทมากมายอะไร มีบทพูดไม่กี่ประโยค

“อืม มีปัญหาอยู่บ้าง ลึกเข้าไปไม่ไกลมีอสูรเมฆาอัคคีเกาะกลุ่มกันอยู่หลายร้อยตัว หากต้องการเข้าไปคงมิอาจวกอ้อมสัตว์อสูรตัวเขื่องโขพวกนั้นไปได้”

ซ่งเล่อเผยสีหน้าขื่นขม จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

อสูรเมฆาอัคคี คือสัตว์อสูรที่พบได้ดาษดื่นที่สุดในทวีปฉงหลิง โดยปกติหากโตเต็มวัย ระดับฝีมือจะอยู่เพียงชั้นปราณสุริยันเท่านั้น

แต่วีรชนมิอาจรับมือฝูงหมาป่า ภายในนั้นมีพวกนั้นอยู่นับร้อย คิดบุกฝ่าเข้าไปอาจไม่ง่ายนัก

“มีราชันอสูรด้วยหรือไม่?” อสูรเมฆาอัคคีกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ สมควรมีราชันของพวกมันอยู่ด้วย นี่ก็เพื่อรักษากฎระเบียบภายในกลุ่ม ลั่วเฉินจึงถามขึ้น

ผู้วิเศษในมวลมนุษย์ เทพเทวะในหมู่สุนัข เงาอสูรคงทรราช อาชาทะยานมีราชัน

หากสามารถฆ่าราชันของพวกมันลงได้ การที่จะบุกทะลวงรูปขบวนของพวกมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

“เท่าที่ข้าเห็น ระดับฝีมือของราชันตัวนั้นคือครึ่งก้าวสู่กลั่นดวงธาตุ และยังมีสามแม่ทัพอสูรที่เป็นพิสุทธิ์ไพศาล กับชั้นทหารปราณสุริยันอีกนับไม่ถ้วน”

ซ่งเล่อวิเคราะห์สิ่งที่เห็นมาอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงให้คำตอบ

ครึ่งก้าวสู่กลั่นดวงธาตุถือเป็นสัตว์อสูรที่ร้ายกาจมากแล้ว พรรคโลหิตนภาเพื่อที่จะรั้งมือรั้งเท้าของสี่พรรคใหญ่เอาไว้ สัตว์อสูรที่เป็นกลั่นดวงธาตุส่วนใหญ่จึงมุ่งหน้าไปออกอาละวาดตามที่ทำการหลักของแต่ละพรรคจนสุนัขเตลิดไก่กระเจิดหนี

“ก็ยังดี ขอเพียงไม่ใช่กลั่นดวงธาตุ ล้วนสามารถฆ่าได้ไม่ยาก” ฉินจิ่วเกอเป่าปากโล่งอก ครึ่งก้าวสู่กลั่นดวงธาตุมีความร้ายกาจสูงกว่าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด ต้องใช้คนสองคนจึงจะลองโค่นล้มมันลงได้

“เอาล่ะ เรามาวางแผนกันก่อนดีกว่าว่าใครจะรับมือกับสามแม่ทัพชั้นพิสุทธิ์ไพศาลนั่น” ซ่งเล่อมองไปทางฉินจิ่วเกอ จากนั้นมองไปทางลั่วเฉิน พวกมันทั้งสามรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันหนักอึ้ง

ลั่วเฉินหันหน้าไปทางซ่งเล่อแล้วชักกระบี่ออกจากฝัก ประกายแววตาเจิดจ้ารุนแรง “ข้ากับซ่งเล่อจะไปรับมือกับราชันอสูรนั่น ส่วนศิษย์พี่ก็ไปจัดการกับสามแม่ทัพ ส่วนปราณสุริยันที่เหลือสมควรไม่ใช่ปัญหา”

“วะว้าว ศิษย์น้องเจ้าให้ราคาข้ามากไปแล้ว” ฉินจิ่วเกอรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหล ตนเองปราศจากซึ่งวงแหวนแห่งความไร้เทียมทาน ให้ไปฟัดกับสามแม่ทัพอสูร เท่ากับเรียกให้มันไปตายชัดๆ

ซ่งเล่อกล่าวปลอบใจฉินจิ่วเกอที่ยังคงสะอื้น “พี่ฉินอย่ากังวลไปเลย ตราบใดที่ท่านยื้อยุดพวกมันไว้ได้ พวกเราจะรีบจัดการกับราชันอสูรให้ได้โดยเร็วที่สุด”

การต่อสู้ระหว่างพิสุทธิ์ไพศาล ปราณสุริยันไม่กล้ายุ่งเกี่ยว อสูรเมฆาอัคคีชั้นปราณสุริยันนับร้อยตัวพวกนั้นไม่ใช่เรื่องที่พวกมันต้องกลัว หากสู้ไม่ไหวก็ยังเผ่นหนีจากมาได้

ฉินจิ่วเกอละทิ้งความหวาดระแวง ด้วยความทระนงองอาจ ล้วงเอาบรรทัดตารางนิ้วที่ยังส่องประกายสีแดงจางๆ ออกมาถือไว้ ปอยผมบนหน้าผากพัดไหวไปตามลม กล่าวเสียงดังกังวาน “พลีชีพเพื่อชาติ เห็นความตายดั่งมาตุภูมิ!”

“พี่ฉินกล่าวได้ประเสริฐ ซ่งเล่อเลื่อมใสท่านนัก!”

พอเห็นศิษย์พี่ของมันแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ลั่วเฉินก็วางใจ จับกลุ่มกับซ่งเล่อมุ่งนำหน้าเข้าสู่ป่าปีศาจสวรรค์ไปทันที

ฉินจิ่วเกอยันขาลงพื้น กระชับสายรัดเอวให้แน่น ปลุกปลอบใจตัวเอง จากนั้นพุ่งตัวตามก้นสหายเข้าไป

บนต้นพฤกษาสูงชัน มีกิ่งใบเขียวครึ้มกับผลไม้อยู่เพียงประปราย ลั่วเฉินและซ่งเล่อหยั่งเท้าลงบนกิ่งไม้ ใช้ลำต้นแห้งเหลืองบดบังร่างกายของพวกมัน ลอบสังเกตสถานการณ์ด้านล่าง

ไม่ไกลออกไปเท่าใด คือแอ่งหลุมที่ดูคล้ายกับถูกยักษ์นั่งทับจนยุบยวบ

ภายในหลุม คือหมูตัวโตสีชมพูที่ดูสมบุกสมบันไม่ต่างจากวัวอยู่นับร้อย

เส้นขนตามตัวเป็นสีแดง ลวดลายอัคคีปรากฏอยู่บนร่างของพวกมันอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

นั่นก็คืออสูรเมฆาอัคคี!และตัวที่ถูกล้อมเป็นดาวล้อมเดือนอยู่ตรงกลางก็คือก้อนเนื้อขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ

มันอวบอัดจนมองไม่ออกว่าแขนขาไปงอกอยู่ตรงที่ใด ทั่วทั้งตัวล้วนเป็นสีชมพูสดใส ขนของมันทอดยาวลงมาเหมือนม่านน้ำตกที่เป็นหินหลอมเหลว

ดูจากราชันอสูร คืออสูรเมฆาอัคคีที่มีขนาดเล็กลงมาเล็กน้อยสามตัว แต่ก็ยังมีขนาดพอๆ กับบ้านหนึ่งหลัง

อสูรชนิดนี้ตัวหนาเตอะ หางสั้นกุด ท้องกลมเกลา กับเสียงพ่นลมออกจมูกอันเป็นเอกลักษณ์

นี่ก็คือสามแม่ทัพพิสุทธิ์ไพศาล กับราชันอสูรครึ่งก้าวสู่กลั่นดวงธาตุ พลังกล้าแกร่งไม่ใช่เล่น

ซ่อนตัวมองดูอสูรเมฆาอัคคีนับร้อยยืนอาบแดดอย่างเกียจคร้าน บ้างก็เห็นหางสั้นๆ ของพวกมันปัดป่ายบั้นท้ายตัวเองไปมา ไม่ก็หย่อนก้นลงในแอ่งโคลนสีแดงเลือด

ลั่วเฉินนึกไม่ออกว่าจะเข้าใกล้ราชันอสูรได้อย่างไร

ซ่งเล่อเองก็อับจนหนทาง หากไม่อาจเข้าถึงตัวราชันอสูร ทั้งตนและลั่วเฉินแม้คิดอยากจะหนีก็คงหนีไม่พ้น

ควรใช้วิธีใดจึงจะล่อเสือออกจากถ้ำได้?

ขณะที่ซ่งเล่อและลั่วเฉินกำลังเบิกตามองอย่างทำอะไรไม่ถูก พลันได้ยินเสียงการฆ่าฟันอันสดใสกังวานดังขึ้นคราหนึ่ง ตามมาด้วยท้องนภาที่เปลี่ยนสีสัน สายลมเริ่มก่อตัวกระโชก

แซ่กๆๆ

พุ่มไม้พืชพรรณส่ายไหวอย่างรุนแรง ลำต้นโค้งงอก่อนจะหักโค่นลงตามแรงลม สะเก็ดหินดินทรายปลิวกระจาย

จากนั้น จากด้านนอกป่าดกครึ้ม แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อาจหาญท่านหนึ่งก็บุกตะลุยเข้ามา ในมือถือไว้ด้วยบรรทัดทองคำด้ามหนึ่ง

แม่ทัพท่านนั้นบุกตะลุยมาอย่างองอาจ บนศีรษะมีประกายแสงสีทองขนาดสามฉื่อห่อหุ้มกายา ห้อตะบึงเข้ามาราวอสนีบาต

อาภรณ์บนตัวสะบัดดังพึ่บพั่บ บนฟ้าเกิดรุ้งกินน้ำพาดผ่านเป็นฉากหลัง หว่างคิ้วแผ่กลิ่นอายเปี่ยมคุณธรรม ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

หลังได้ยินเสียงฆ่าล้างดังใกล้เข้ามา ป่าไม้ต้องสั่นไหว สัตว์อสูรต้องตื่นผวา

แม่ทัพท่านนั้นกุมบรรทัดทองคำไว้ในมือ พลาอำนาจปานราชันสวรรค์

ปากดุดันดั่งมังกร ตาคมปลาบดั่งหงสา ฟันเหล็กทองแดง รัศมีพลังบาดเฉือนคมกริบ เคลื่อนร่างวูบไหวดั่งเงามายา

เพียงเสี้ยวพริบตา คนก็พุ่งหายเข้าไปถึงใจกลางดงสัตว์อสูร ทิ้งร่างที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกของสัตว์อสูรสองตัวไว้ด้านหลัง

ซ่งเล่อและลั่วเฉินที่เห็นภาพนี้เป็นต้องตะลึงงัน อีกฝ่ายช่างไร้เทียมทานสุดจะกล่าว เรียกได้ว่ารัศมีเจิดจ้าไปถึงสวรรค์ เลือดลมร้อนระอุพลุ่งพล่าน

อสูรเมฆาอัคคีทั้งสามร้อยตัวมิอาจไม่แตกตื่นพรั่นพรึง ได้แต่ยืนตะลึงตาค้างไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย พลังรบตกลงฮวบฮาบ กีบเท้าล่าถอยเป็นจังหวะเดียวกัน

แม่ทัพอสูรทั้งสามที่นอนปิดตาอยู่ทันทีที่เห็นภาพนี้ พวกมันก็ทะลึ่งกายขึ้นตะกุยเท้าเข้าหาแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นทันที

ส่วนราชันอสูรยังคงแน่วนิ่งไม่ไหวติง ยืนรับการถวายบรรณาการจากเหล่าบริวารรอบด้าน

“วีรบุรุษ นี่ก็คือวีรบุรุษ!” เปลือกไม้ถูกนิ้วทั้งสิบของซ่งเล่อกดจนจมลึก

มันยังคิดว่าพี่ฉินคือบุคคลที่รักตัวกลัวตาย แต่มาตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าคนผู้นี้ก็คือวีรบุรุษแห่งยุทธภพ รัศมีความหล่อพุ่งกระจายจนฉุดไม่อยู่ เทียบกับทหารผู้พลีชีพแล้วยังกล้าหาญชาญชัยยิ่งกว่า

“มิผิด มันคือวีรบุรุษจริงๆ คือวีรบุรุษที่ยังมีชีวิต”

ซ่งเล่อพอได้ยินก็รู้สึกทะแม่งๆ หันไปถามลั่วเฉิน “งั้นเกิดมันตายไปแล้วจะเป็นเช่นไร”

ลั่วเฉินตอบกลับอย่างอ่อนนุ่ม “ย่อมต้องเป็นวีรบุรุษผู้ตายแล้วอย่างไร หากก็ยิ่งใหญ่ไม่ต่างกัน”

“โอ้ ประเสริฐๆ” ซ่งเล่อพลันต้องใบ้รับประทาน พวกมันที่แท้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง หรือเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันแน่!

ฉินจิ่วเกอบุกระห่ำเข้าไปถึงกลางดงอสูรเมฆาอัคคี บรรทัดทองคำวาดระบำเหมือนสะเก็ดหิมะ ไอวิญญาณกวาดพวยพุ่งไปทั่วทิศ เพียงเสี้ยวพริบตา ด้วยเคล็ดมารมายาพุ่งวาบจนมองตามไม่ทัน อสูรชั้นปราณสุริยันสามตัวก็ต้องเซ่นสังเวยใต้คมอาวุธสีทองในมือไป

สามแม่ทัพอสูรพุ่งโร่เข้าหา อสูรชั้นบริวารต่างหลีกลี้หนีไกล ไปเกาะกลุ่มกันเป็นก้อนเนื้อสีชมพูอยู่ลิบๆ

“ไสหัวไป!”

หมื่นบรรพตค้ำสมุทร พลังกดดันน้ำหนักแสนจิน ตอกตรึงก้อนเนื้อทั้งสามที่ปรี่เข้ามาไว้กับที่ ฉินจิ่วเกอยกนิ้วกลางและนิ้วชี้ กวักเยาะเย้ยไปทางสามแม่ทัพอสูร จากนั้นกระทืบเท้าจนฝุ่นดินปลิวกระจาย พุ่งตัวเหินตัดอากาศ

พลังกดดันสลายหาย สามแม่ทัพอสูรเงยหน้าถลึงตาอย่างเคืองแค้น ท่าทีไม่ต่างจากมนุษย์ ใช้สายตาที่หรี่เล็กถลึงจ้องฉินจิ่วเกอบนอากาศราวกับจะฆ่าให้ตาย

“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!”

หัตถ์อสูรขนาดใหญ่ ตบฟาดลงจากสวรรค์ สามแม่ทัพอสูรที่มีร่างกายกำยำคงกระพัน เพียงใช้ก้อนเนื้อสีชมพูหนาทึบหลายชั้นบนตัวก็สามารถสลายแรงปะทะจากเคล็ดวิชายุทธ์ของฉินจิ่วเกอไปได้ถึงครึ่ง บนพื้นปรากฏเพียงรอยยุบตื้นเขินขึ้นสามรอย

ฉินจิ่วเกอรั้งมือกลับ ร่างชะงักอยู่กลางเวหา ก่อนจะต้องโยกตัวหลบก้อนเนื้อที่กระเด้งขึ้นมาบนอากาศ

มีคนกล่าวว่าการป้องกันของสัตว์อสูรนั้นน่าสะพรึงยิ่ง นอกจากท่านจะมีศาสตรายุทธ์วิเศษเลอเลิศอยู่ในมือ หาไม่แล้วท่านก็จะไม่มีวันทลายปราการป้องกันของพวกมันลงได้

วันนี้ได้ประจักษ์กับตา ถึงค่อยรู้ว่าคำกล่าวนี้จริงแท้แค่ไหน

“เจ้าพวกเดรัจฉาน แน่จริงก็ตามข้าให้ทัน!”

ฉินจิ่วเกอร่วงตกลงสู่พื้น จากนั้นหวดเท้าใส่อสูรเมฆาอัคคีสองสามตัวเสมือนหวดเท้าใส่ลูกหนังบุบรั่ว สร้างความพิโรธแก่พวกพ้องของพวกมันจนเข้ามาห้อมล้อมฉินจิ่วเกอไว้

ไกลออกไป ราชันอสูรยังคงนั่งประจำการอยู่ที่เดิม หากทันใดนั้น มันก็เปล่งเสียงออกมาสองสามครั้ง เสียงนี้ดังกระหึ่มดุจคลื่นทำนบแตก

คว้ากก!

กระแสคมกระบี่แหวกฝ่าอากาศ ไม่คณนาบารมีอสูรชั่วร้ายครอบคลุม