ตอนที่ 212 ยอมบอกความจริง
ตอนที่ 212 ยอมบอกความจริง
เฉินเจียเหอถางหญ้าด้วยพร้าในมือ ส่วนหลินเซี่ยเดินตามเก็บเศษหญ้ากับกิ่งไม้
“นั่งดูผมแทนดีกว่านะ ตรงนี้ผมจัดการเอง เดี๋ยวมันจะทิ่มมือคุณ”
“ไม่เป็นไร ฉันใส่ถุงมืออยู่นี่ไง”
คู่รักหนุ่มสาวช่วยกันทำงานนานเกือบหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกวัชพืชในสวนก็ถูกแผ้วถางออกจนโล่ง ก่อนเฉินเจียเหอจะแบกกองวัชพืชทั้งหมดออกไปข้างนอกแล้วโยนทิ้งลงในกองขยะ
หมอเย่และหลิวกุ้ยอิงยังคงพูดคุยกันอยู่ เมื่อเห็นพวกเขากลับเข้ามา หลิวกุ้ยอิงก็รีบปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาคงที่
เฉินเจียเหอพูดขึ้น “หมอเย่ครับ ไว้รอบหน้าผมจะมาลงดอกไม้กับจัดสวนตรงนั้นนะครับ”
แม้พวกเขาจะเพิ่งพบกัน แต่หมอเย่ก็เป็นชายชราใจดี และชอบพลังของคนหนุ่มสาวอย่างเฉินเจียเหอ เขาทำตัวตามสบายและพูดพร้อมเผยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ ถ้ามีต้นกล้าเหลืออยู่ เธอช่วยปลูกให้ฉันหน่อยนะ ฉันคงอยู่ที่นี่ตลอดไม่ย้ายไปไหนแล้ว จะได้ปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่นี่ให้ดีขึ้นด้วย”
เฉินเจียเหอตอบอย่างเชื่อฟัง “ครับ คราวหน้าเจียวั่งจะมาด้วย ไว้ผมจะขอให้เขาช่วยปลูกต้นไม้อีกแรง”
หลิวกุ้ยอิงยืนขึ้นและพูดกับหมอเย่ “ลุงเย่ งั้นพวกเราขอตัวกลับก่อนนะคะ”
หมอเย่พูดพลางยิ้มกว้าง “นี่ก็ใกล้เย็นมากแล้ว รีบกลับบ้านเถอะ ยังไงฉันก็ปักหลักอยู่ที่ไห่เฉิงแล้ว ไว้มาเยี่ยมกันบ่อย ๆ นะ”
“ลุงเย่ คราวหน้าฉันจะเอาเหลียงเฝิ่นมาฝากนะคะ” หลิวกุ้ยอิงพูดพร้อมเผยรอยยิ้ม
“อืม ฉันจะรอนะ”
หลิวกุ้ยอิงเป็นกังวลตลอดทาง หลังออกจากบ้านหมอเย่ ดูเหมือนหล่อนจะเหม่อลอยเอามาก ๆ จนหลินเซี่ยทักถึงกลับมาได้สติ
หลังขึ้นรถโดยสารประจำทาง หล่อนเลือกนั่งคนเดียวที่ด้านหลัง ตอนก้าวขึ้นก็อ่อนแรงจนเกือบหงายตกรถ
หลินเซี่ยดึงหล่อนเข้ามาในรถ แล้วถามว่า “แม่คะ มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า? ทำไมหนูรู้สึกเหมือนแม่มีบางอย่างในใจหลังพบหมอเย่เมื่อกี้นี้?”
หลิวกุ้ยอิงรวบผมเพื่อซ่อนปฏิกิริยาบางอย่าง ก่อนยืนกรานปฏิเสธไปว่า “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
หลินเซี่ยคว้าแขนหล่อนแล้วแนะนำ “แม่คะ กลับถึงบ้านแล้วมาทำเกี๊ยวกันเถอะ วันนี้ฉันอยากกินเกี๊ยว”
จากนั้นพูดกับเฉินเจียเหอว่า “เจียเหอ หลังกลับถึงบ้านคุณรีบไปรับหู่จือนะ วันนี้เราจะไปทำเกี๊ยวกินที่บ้านแม่กัน”
“คุณจะไม่แวะไปร้านตัดผมก่อนเหรอ?” เฉินเจียเหอถาม
หลินเซี่ยอธิบาย “ก่อนฉันทำงานเสร็จในช่วงเช้า ฉันบอกชุนฟางไว้แล้วว่าถ้ามีผู้ชายคนไหนเข้ามาตัดผมก็ให้หล่อนลงมือเองได้เลย ถ้าลูกค้าไม่เชื่อในทักษะของชุนฟาง พวกเขาก็ทำได้แค่กลับมาใหม่พรุ่งนี้”
วันนี้เธอต้องการตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ และใช้เวลาร่วมกับหลิวกุ้ยอิงมากขึ้น เพื่อดูว่าเธอจะสามารถทะลวงปราการในใจของหลิวกุ้ยอิงและรอให้อีกฝ่ายบอกความจริงกับเธอได้หรือไม่
วันนี้หมอเย่คงจะคุยกับหลิวกุ้ยอิงเกี่ยวกับเงื่อนงำบางอย่าง ซึ่งปกติหลิวกุ้ยอิงไม่ใช่คนคิดมากแบบนี้เลย โดยพื้นฐานแล้วหล่อนมักพูดคุยเรื่องไหนก็ได้ทุก ๆ เรื่อง
เฉินเจียเหอตอบกลับ “อืม งั้นผมไปลงป้ายหน้าชุมชนบ้านพักทหารแล้วกัน”
หลินเซี่ยอยากกินเกี๊ยว ดังนั้นไม่ว่าหลิวกุ้ยอิงจะกังวลเรื่องอะไร หล่อนก็ไม่สามารถปฏิเสธลูกสาวของตนได้
หลังลงจากรถโดยสารแล้ว ทั้งสองไปตลาดและซื้อขึ้นฉ่ายกับเนื้อสัตว์ โดยวางแผนจะทำเกี๊ยวไส้ขึ้นฉ่ายด้วย
ช่วงที่หลิวกุ้ยอิงติดตามหลินเซี่ยไปเยี่ยมหมอเย่ หล่อนได้บอกให้หลินจินซานไปช่วยหลินเยี่ยนทำงานที่แผงขายอาหารแทน
ตอนนี้หลินเยี่ยนและหลินจินซานกลับมาหลังจากปิดแผงเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าประตู หลิวกุ้ยอิงถามหลินเยี่ยนเกี่ยวกับสถานการณ์ทางธุรกิจก่อน “เสี่ยวเยี่ยน ยอดขายของวันนี้เป็นยังไงบ้าง? ขายหมดทุกอย่างไหม?”
“ขายหมดเลยค่ะ”
หลินเยี่ยนสบสายตาหลิวกุ้ยอิงและหลินเซี่ย ก่อนบ่นด้วยความโมโหว่า “แม่ แต่พี่ชายนี่สิขี้เกียจมาก หลังจากแม่กับพี่สาวไปแล้ว คนที่ทำงานคือฉันคนเดียว เขาเอาแต่นั่งอยู่เฉย ๆ และรอเก็บเงินอย่างเดียว จานก็ไม่ช่วยกันล้างอีก”
หลินจินซานล้วงมือในกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากบ้าน “ให้ฉันช่วยเก็บเงินน่ะดีแล้ว ไม่งั้นเวลามีลูกค้ามากองกันเยอะ ถ้าบางคนเนียนไม่จ่ายเงินล่ะ ของที่พวกเราทำขายจะไม่ขาดทุนเอาเหรอ?”
“ฟังพี่ชายพูดสิ ทำไมถึงมีทัศนคติแบบนี้ไปได้กันนะ? เขาเป็นผู้ชายที่โตแล้ว แต่กลับไม่สนใจช่วยคนในครอบครัวเลย”
หลินเซี่ยมองไปทางหลินเยี่ยนแล้วถาม “เงินอยู่ไหน? ยังอยู่กับเธอใช่ไหม?”
หลินเยี่ยนพยักหน้า “อืม”
หลินเซี่ยหันกลับมามองหลินจินซานด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สายตาของหลินเซี่ยทำให้หลินจินซานไม่ค่อยพอใจ จึงตอบโต้กลับไป “เซี่ยเซี่ย มองแบบนี้หมายความว่าไง? หลังขายของได้ฉันก็ต้องเอาเงินให้แม่อยู่แล้ว ทำไมฉันต้องอยากได้เงินก้อนเล็ก ๆ เท่านี้ด้วย?”
“ฉันรู้ว่าพี่ไม่ใส่ใจมันหรอก”
หลินเซี่ยมองเขาแล้วถามต่อว่า “จริงสิ พี่ชาย เงินเดือนที่ได้มาพี่ได้เก็บออมบ้างไหม หรือใช้หมดจนไม่เหลือ? พี่อายุยี่สิบห้าแล้วนะ ถ้าวันหนึ่งไปเจอใครสักคนที่เหมาะสมและอยากแต่งงานกับหล่อนขึ้นมา พี่ก็ควรมีเงินออมเป็นของตัวเองใช่ไหม? พี่ไม่สามารถพึ่งพาแม่กับเสี่ยวเยี่ยนหรือขอเงินแม่ไปแต่งเมียได้ตลอดหรอกจริงไหม?”
นับตั้งแต่หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนได้รับเงินจำนวนมากจากการตั้งแผงขายของ หลิวกุ้ยอิงก็บอกว่าหล่อนจะเก็บเงินเพื่อให้หลินจินซานใช้เป็นสินสอดในสักวัน แต่ดูเหมือนว่าหลินจินซานจะไม่มีความกระตือรือร้นอะไรเลย
ก่อนหน้านี้เขาจะเอาแต่เข้าหาหลินเซี่ย โดยหวังว่าเธอจะช่วยเหลือเขาได้ ขอให้เธอไปคุยกับเซี่ยไห่ให้เพิ่มเงินเดือนให้เขา จัดหางานอื่น หรืออะไรสักอย่างที่ดีกว่านี้
ล่าสุด เขายังเอาแต่เที่ยวเล่นเรื่อยเปื่อยไปวัน ๆ
หลินเซี่ยมองเขาอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ถ้าพี่เจอผู้หญิงดี ๆ สักคนเข้า แล้วหล่อนคิดว่าพี่ไร้ความสามารถ อายุพอสมควรแล้วแต่กลับไม่มีโอกาสในการพัฒนาชีวิตเลย สุดท้ายหล่อนคงไม่กล้าฝากชีวิตไว้กับคนอย่างพี่แน่นอน”
เมื่อถูกน้องสาวสั่งสอนแบบนี้ สีหน้าของหลินจินซานก็หมองคล้ำและพูดปกป้องตัวเองว่า “ฉันทำงานหนักมากเพื่อหาเงินเหมือนกันนะ แต่ฉันเพิ่งจะออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านครั้งแรกก็เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ถึงฉันจะหางานดี ๆ ไม่ได้ แต่ก็พยายามวิ่งแจ้นไปทั่วเมือง ไม่มีเงินเข้ากระเป๋าเลยตลอดปีที่แล้ว กระทั่งมาเจอพี่เฉิงก็ตอนสิ้นปีนี้เอง เขาแนะนำฉันให้รู้จักเถ้าแก่เซี่ย เลยมีเงินเดือนที่มั่นคงอยู่ที่แปดสิบหยวน เถ้าแก่บอกว่าถ้าห้องเต้นรำเปิดเมื่อไหร่ เขาจะดันให้ฉันเป็นหัวหน้างาน แล้วเงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”
หลินเซี่ยไม่ต้องการโจมตีเขาแรงเกินไป ที่พูดแบบนี้ก็เพราะเธอไม่อยากให้หลินจินซานแก่ตัวโดยไม่พยายามทำอะไรเลย
เห็นได้ชัดว่าความนับถือตนเองของหลินจินซานยังคงแข็งแกร่งมาก เธอจึงให้กำลังใจตามสมควร “พี่ชาย งั้นขยันทำงานให้หนักแล้วกัน พี่เป็นผู้ชายคนเดียวในครอบครัวของเรา จากนี้ไปเสี่ยวเยี่ยน ฉัน และแม่ รวมถึงทุกคนต้องการให้พี่เป็นผู้สนับสนุน พี่เป็นคนมีความสามารถที่เราไว้วางใจได้ในตอนนี้ ทางฝั่งฉัน ฉันเองก็พยายามไม่แพ้กัน ตอนนี้พอจะยืนหยัดเชิดหน้าชูตาในครอบครัวสามีได้บ้างแล้ว”
หลินจินซานตบหน้าอกตัวเองและให้สัญญาว่า “ไม่ต้องกังวล ฉันจะทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินและเริ่มต้นอาชีพนี้อย่างตั้งใจ ตราบใดที่ฉันอยู่นี่ ฉันจะปกป้องทุกคนแน่ ต่อให้เฉินเจียเหอรังแกเธอ ฉันก็ไม่กลัวถ้าจะต้องหักขาเขา“
หลินจินซานพูดด้วยท่าทางเข้มแข็ง ทันใดนั้นก็มีเสียงที่มั่นคงดังมาจากสนามหญ้า “ให้ตายเถอะ? นี่ผมทำให้คุณขุ่นเคืองหรือเปล่าเนี่ย?”
เฉินเจียเหอยกม่านประตูขึ้น
หลินจินซานซึ่งมักจะพูดจาพล่อย ๆ อยู่เสมอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
เขารีบอธิบายว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ ผมแค่บอกว่าถ้าคุณรังแกน้องสาว ยังไงผมจะสนับสนุนหล่อนเต็มที่แน่นอน”
“หู่จือมาด้วยเหรอเนี่ย?”
หลินจินชานอุ้มหู่จือขึ้นแล้วเดินออกไป “ไปกันเถอะ ลุงจะพาไปซื้อของอร่อย ๆ เอง”
หู่จือไปข้างนอกกับหลินจินซานอย่างมีความสุข โดยไม่ลืมที่จะพูดกับหลินเซี่ยว่า “แม่ครับ ผมออกไปข้างนอกกับลุงนะ”
“ไปเถอะ”
หลิวกุ้ยอิงกำลังนวดแป้ง ในขณะที่หลินเซี่ยและหลินเยี่ยนช่วยกันสับผักและทำไส้เกี๊ยว
จากนั้นก็นำไส้เกี๊ยวไปพักไว้บนโต๊ะ หลิวกุ้ยอิงม้วนแผ่นห่อเกี๊ยวออกมาวางบนโต๊ะเล็กข้าง ๆ แล้วหล่อนกับหลินเซี่ยและหลินเยี่ยนก็ช่วยกันพับเกี๊ยวอย่างขยันขันแข็ง
เฉินเจียเหอก็มาช่วยด้วย แต่ฝีมือการห่อเกี๊ยวของเขาน่าเกลียดเกินไปจนหลินเซี่ยกลัวว่ามันจะรั่วหรือไส้แตกระหว่างต้ม จึงไม่ยอมให้เขาช่วยอะไรอีก
ไม่นาน หู่จือก็กลับมาพร้อมขนมจำนวนหนึ่งในอ้อมแขน
หลินจินซานซื้อเมล็ดแตงโมกลับมาจำนวนหนึ่งด้วยเช่นกัน
เขาวางเมล็ดแตงโมลงบนโต๊ะ แล้วพูดกับเฉินเจียเหอว่า “น้องเขย กินเมล็ดแตงโมสิ เครื่องเทศมันอร่อยใช้ได้เลยนะ”
“ขอบคุณ” เฉินเจียเหอกะเทาะเมล็ดแตงสองสามเมล็ดแต่ไม่ได้กิน แต่กลับเอื้อมมือไปป้อนหลินเซี่ยที่กำลังห่อเกี๊ยวอยู่ และพูดเบา ๆ ว่า “กินสิ”
ถ้าเฉินเจียเหอป้อนเมล็ดแตงให้เธอที่บ้าน เธอคงจะรู้สึกว่าเขาน่ารักมาก อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าครอบครัวของเธอแล้ว มันช่างรู้สึกเคอะเขินผสมอับอายเล็กน้อย เธอจึงพูดอย่างเชื่องช้า “ฉันยังไม่อยากกิน คุณกินก่อนเลย ฉันจะรีบปั้นไส้แล้วมาห่อเกี๊ยวให้เสร็จเร็ว ๆ “
“ลองดูสิ” เฉินเจียเหอยืนกรานที่จะป้อนใส่ปากเธอให้ได้
หู่จือกำลังกะเทาะเปลือกเมล็ดแตงโมอยู่เช่นกัน จากนั้นหยิบมันมาชิ้นหนึ่งไปให้หลินเซี่ยแล้วจ่อที่ปากเธอ “แม่ครับ ลองกินของผมดูสิ”
“ขอบใจนะหู่จือ”
หลิวกุ้ยอิงเห็นหลินเซี่ย เฉินเจียเหอ และหู่จือเข้ากันได้อย่างลงตัว สีหน้าของหล่อนก็เต็มไปด้วยความโล่งอกและโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
การเป็นแม่เลี้ยงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การที่เธอสามารถเข้ากับคนในครอบครัวสามีอย่างสนิทสนมจนถึงจุดนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว
หลินจินซานและหู่จือนั่งข้างกัน กะเทาะเมล็ดแตงโมกินพลางถามเฉินเจียเหอว่า “น้องเขย เถ้าแก่เซี่ยไปไหนเหรอ? เขาจะกลับมาเมื่อไหร่? ผมกับพี่เฉิงรอเปิดตัวร้านอยู่เชียว ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตกแต่งก็เสร็จแล้ว เราทั้งคู่ไม่มีอะไรทำ ถ้ายังไม่เปิดกิจการสักทีก็อย่างที่คุณเห็น ผมไม่มีงาน ไม่มีรายได้ และก็ไม่มีสถานะที่บ้านด้วย”
“เขาไปเทศมณฑลซีเหอ”
เฉินเจียเหอมองไปทางหลิวกุ้ยอิงและพูดว่า “เซี่ยไห่ไปซีเหอเพื่อตามหาใครสักคน ผมจำได้ว่าครอบครัวเดิมของแม่ดูเหมือนจะอยู่ที่ซีเหอด้วยใช่ไหมครับ?”
หลิวกุ้ยอิงดูเหมือนจะไม่เต็มใจจะพูดถึงครอบครัวตัวเองมากนัก หล่อนพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อืม พวกเขาน่าจะยังอยู่ที่นั่น”
“เดิมทีเซี่ยไห่และผมคิดว่าในเมื่อเราไม่คุ้นเคยกับสถานที่นั้นเท่าไหร่ เลยคิดว่าจะถามแม่เกี่ยวกับเส้นทางต่าง ๆ ภายในซีเหอก่อนจะออกเดินทาง แต่เขากังวลเกินไป ออกเดินทางไปตั้งแต่ก่อนจะรุ่งสาง”
หลินจินซานที่ชอบถามซักไซ้และนินทาเจ้านาย จึงถามด้วยความสงสัยต่อว่า “พวกคุณกำลังมองตามหาใครอยู่เหรอ? ผมเห็นแล้วว่าช่วงหลังมานี้เขาดูยุ่งมากเลย รับสายโทรศัพท์บ่อยกว่าปกติ แถมเหมือนจะถูกปลายสายตำหนิด้วย ฮ่าๆ”
น้ำเสียงของหลินจินซานเต็มไปด้วยความยินดี
เจ้านายที่วางตัวดุดันเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา กลับหน้าแหยเหมือนเด็กเมื่อถูกหลังจากรับสายโทรศัพท์ที่ว่านั่น น้ำเสียงยอมจำนนของเขาทำให้เหล่าลูกน้องอยากจะหัวเราะให้ฟันโยกเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
เฉินเจียเหอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหลือบมองหลิวกุ้ยอิงอีกครั้งแล้วพูดว่า “เหมือนจะไปตามหาคนที่ชื่ออิงจื่อ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
วันนี้จะได้รู้ความจริงจากปากของแม่หรือเปล่านะ หมอเย่สะกิดไปขนาดนั้นแล้ว
ไหหม่า(海馬)