ตอนที่ 191 เจรจา

ฉู่อันโหลวไม่สนใจเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าถูกเมิน เขาหัวเราะฮ่าๆ ประสานมือพลางกล่าวว่า “เจ้าสำนักหวงก็ยังคงงามสง่าเช่นในอดีต!”

ถูกเมินหรือเปล่า หนิวโหย่วเต้าก็ไม่สนใจเช่นกัน เดิมทีเรื่องบางเรื่องมันก็อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว จึงผายมือไปทางด้านข้าง “เชิญนั่ง!”

ฉู่อันโหลวนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อีกครั้ง ผายมือเชิญหวงเลี่ยนั่งเช่นกัน

หวงเลี่ยเดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ ผู้ติดตามอีกสามสี่คนยืนอยู่ด้านหลังเขา

หนิวโหย่วเต้าก็นั่งลงเช่นกัน พวกหยวนกังยืนอยู่ด้านหลังเขา

จากสถานการณ์ในตอนนี้ คนที่ได้นั่งมีเพียงพวกเขาสามคน

หนิวโหย่วเต้าสั่งให้เฮยหมู่ตานยกน้ำชาขึ้นโต๊ะ

หวงเลี่ยกลับไม่มีทีท่าว่าจะดื่มชา จ้องมองฉู่อันโหลวพลางกล่าวว่า “เถ้าแก่ฉู่ หากหอหิมะเหมันต์มีเรื่องใดจะสั่งการ เพียงเอ่ยมาคำเดียว สำนักเขามหาญาณย่อมต้องปฏิบัติตามอย่างแน่นอน แต่ที่ให้แซ่เลี่ยเดินทางมาในครั้งนี้ แซ่เลี่ยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”

นี่เท่ากับเป็นการพูดตรงๆ ว่าหากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าหอหิมะเหมันต์ ครั้งนี้เขาไม่มีทางเดินทางมาเด็ดขาด

ฉู่อันโหลวกล่าวว่า “เจ้าสำนักหวง กล่าวหนักเกินไปแล้ว หรือว่าทางร้านค้าของสำนักท่านไม่ได้ถ่ายทอดคำพูดของข้า? เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะพูดอีกครั้ง เรื่องระหว่างพวกท่านไม่เกี่ยวข้องอันใดกับทางเรา กฎระเบียบของหอหิมะเหมันต์พวกท่านเองก็รู้ พวกเราไม่มีทางสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของพวกท่าน พวกท่านอยากจัดการอย่างไรก็จัดการได้เลย พวกเราไม่เข้าไปก้าวก่ายเด็ดขาด”

เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ ความจริงแล้วเขาอยากเปิดเผยความสัมพันธ์ของหนิวโหย่วเต้ากับหอหิมะเหมันต์เป็นอย่างยิ่ง เขาอยากจะพูดออกไปว่าคนผู้นี้ได้พักอยู่ที่นี่เพราะมาช่วยวาดภาพให้ท่านประมุขเท่านั้น

เพียงแต่หนิวโหย่วเต้าวางแผนนำไปหนึ่งก้าว เขาตกลงกับหานปิงเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว หานปิงรับปากเขาเอาไว้ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่เขาช่วยวาดภาพให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ แล้วก็ได้สั่งการลงมาแล้ว

หานปิงออกปากทั้งที ฉู่อันโหลวไหนเลยจะกล้าพูดอะไรเหลวไหล

เหลวไหล! หวงเลี่ยลอบสบถในใจ แล้วการที่เจ้าเด็กนี่ยังนั่งอยู่ที่นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ตัวข้าได้ขึ้นมาบนนี้ก็เพราะเจ้าเด็กนี่ ส่วนตัวเจ้าฉู่อันโหลวก็มานั่งดูพวกเราเจรจาอยู่ที่นี่ ทำแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรล่ะ? แบบนี้ไม่เรียกว่าไม่ก้าวก่ายอีกเรอะ?

หวงเลี่ยมองหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเชิญข้ามา สรุปแล้วมีเรื่องใดกันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ได้ยินว่าสำนักเขามหาญาณต้องการสังหารข้าอย่างนั้นหรือ?”

หวงเลี่ยตอบว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนี้” ถึงต่อให้มี เขาก็ไม่มีทางยอมรับออกมา เพราะเขายังไม่ทราบว่าหนิวโหย่วเต้าเป็นอะไรกับหอหิมะเหมันต์กันแน่

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “เซ่าผิงปอแห่งเป่ยโจว คาดว่าเจ้าสำนักหวงคงรู้จักใช่หรือเปล่า?”

หวงเลี่ยถามกลับ “รู้จักแล้วเป็นอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ได้ยินว่าเซ่าผิงปอสั่งให้คนของสำนักเขามหาญาณลงมือกับข้า”

ฉู่อันโหลวยกชาขึ้นจิบช้าๆ นามเซ่าผิงปอนี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก บางทีเมื่อก่อนนี้อาจจะเคยได้ยินมาบ้าง ทว่าจำอะไรไม่ได้

หวงเลี่ยกล่าวว่า “ได้ยินมา? เจ้าหนุ่ม เรื่องที่ไม่มีหลักฐานก็ไม่ควรเอามาพูดส่งเดช ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าเจ้าเผยแพร่เพลงกล่อมเด็กที่ไม่เป็นผลดีต่อเซ่าผิงปอในแคว้นหาน เจ้ายอมรับหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “เพลงกล่อมเด็กหรือ? ข้าไม่ใช่เด็กน้อยสามขวบเสียหน่อย” เขาเองก็ไม่มีทางยอมรับเช่นกัน

หวงเลี่ยยกมือขึ้นพลางกล่าวว่า “หยุดพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้เถอะ ว่ามา สรุปแล้วเจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าผายมือไปทางฉู่อันโหลว “วันนี้เชิญเถ้าแก่ฉู่มา ย่อมต้องมีเหตุผลแน่นอน ได้ยินว่าเซ่าผิงปอต้องการหลอกใช้หอหิมะเหมันต์เพื่อกำจัดข้า ตระกูลเซ่าแห่งมณฑลเป่ยโจวได้รับการสนับสนุนจากสำนักเขามหาญาณ ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักหวงเคยได้ยินเรื่องนี้บ้างหรือไม่?”

เซ่าผิงปอคิดจะหลอกใช้หอหิมะเหมันต์? นี่มันเรื่องอะไรกัน? ฉู่อันโหลวปรายตามองด้วยสายตาเย็นชา

“ได้ยินมาอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?” หวงเลี่ยหัวเราะหยัน “เจ้าหนุ่ม วาจาไม่อาจเอ่ยส่งเดชได้ เรื่องที่เซ่าผิงปอคิดจะหลอกใช้หอหิมะเหมันต์ เจ้าต้องมีหลักฐาน อย่าได้ยกข่าวโคมลอยอันใดมาใส่ร้ายป้ายนี้ส่งเดช”

เขาย่อมทราบดีว่านี่มิใช่เรื่องเล็กๆ การคิดจะหลอกใช้หอหิมะเหมันต์ มันก็เหมือนกับว่าสำนักเขามหาญาณเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้ว ต่อให้มีเรื่องเช่นนั้นจริงเขาก็ไม่อาจยอมรับได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือมันไม่มีเรื่องเช่นนั้นเลย

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่พูดถึงเรื่องที่เซ่าผิงปอหลอกใช้สำนักเซียนสถิตและสำนักอื่นๆ ให้มาดักสังหารข้าที่นี่แล้วกัน เพราะเรื่องอื่นๆ ข้าก็ไม่มีหลักฐานเช่นกัน พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อวันนี้เถ้าแก่ฉู่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ถือเป็นตัวแทนของทางหอหิมะเหมันต์ อย่างนั้นวันนี้เจ้าสำนักหวงกล้ารับประกันต่อหน้าหอหิมะเหมันต์หรือไม่ว่าวันหน้าเซ่าผิงปอจะไม่มีทางหลอกใช้หิมะเหมันต์?”

หวงเลี่ยเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องรับประกัน เขาไม่มีทางและไม่มีความสามารถที่จะหลอกใช้หอหิมะเหมันต์ได้”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แล้วถ้าเขาหลอกใช้เล่า? ถึงอย่างไรทางนั้นก็ได้รับการสนับสนุนจากสำนักเขามหาญาณของท่านอยู่”

วาจานี้ทำให้หวงเลี่ยหวาดวิตกขึ้นมาเล็กน้อย กังวลว่าเซ่าผิงปอจะทำเรื่องโง่เขลาอันใดจริงๆ อย่างที่อีกฝ่ายว่ามา แต่เมื่อถูกถามต่อหน้าฉู่อันโหลวถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะไม่ตอบก็ไม่ได้ “ไม่มีทาง! หากเขากล้าทำเรื่องเช่นนี้จริง สำนักเขามหาญาณของข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอมปล่อยให้เขารอดไปได้!”

“ดี!” หนิวโหย่วเต้าประสานมือกล่าวกับฉู่อันโหลวว่า “เถ้าแก่ฉู่ หากมีคนหลอกใช้หอหิมะเหมันต์กระทำการเหิมเกริม สมควรจัดการอย่างไร?”

ฉู่อันโหลวสบถในใจ เจ้านั่นแหละที่โอหังอวดดีที่สุด ยังมีหน้ามาพูดอีกว่าคนอื่นคิดจะหลอกใช้ เจ้านั่นแหละที่กำลังแอบหลอกใช้อยู่

เพียงแต่เขาไม่ได้เป็นคนเรียกหนิวโหย่วเต้ามา เป็นท่านประมุขที่เรียกอีกฝ่ายมาเอง ไม่เกี่ยวกับเขา ประกอบกับมีเงินหลายแสนเหรียญทองปิดปากเอาไว้อยู่ เขาเองก็ไม่มีทางพูดอะไรส่งเดชเช่นกัน

“คำพูดของข้าไม่สำคัญเลย สมควรจัดการอย่างไรทุกคนต่างทราบอยู่แก่ใจดี หากไม่กลัวตายก็ลองดู” ฉู่อันโหลวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

เมื่อออกมาเผชิญกับพายุหิมะด้านนอกโรงเตี๊ยมอีกครั้ง หวงเลี่ยพยายามข่มโทสะเอาไว้ ดั้นด้นเดินทางมาไกล เพียงเพื่อคุยเรื่องไร้สาระเช่นนี้น่ะหรือ

ผู้ติดตามคนอื่นๆ ก็โมโหเช่นเดียวกัน เมื่อกลับมาถึงโถงด้านหลังร้านค้า ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเด็กนั่นจะผยองเกินไปแล้ว หากไม่สังหารทิ้งคงไม่อาจระบายความแค้นในใจข้าได้!”

หวงเลี่ยที่เดินกลับไปกลับมาภายในห้องโถงโบกมือพลางกล่าวว่า “เจ้าเด็กนั่นพักอยู่ในสถานที่สำหรับรับรองแขกคนสำคัญของหอหิมะเหมันต์ อีกทั้งฉู่อันโหลวยังออกหน้าให้เขา เจตนาของหอหิมะเหมันต์ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ไม่เห็นแก่หน้าสงฆ์ก็ยังต้องเห็นแก่หน้าพุทธองค์ ก่อนจะทราบแน่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร อย่าเพิ่งก่อเรื่องวุ่นวายจะดีที่สุด อีกอย่าง อีกฝ่ายให้พวกเราดั้นด้นมาไกลขนาดนี้ คงไม่มีทางคุยแค่เรื่องไร้สาระพวกนี้แน่ กลัวว่าจะมีสาเหตุอื่นอยู่ กำชับเซ่าผิงปอคนนั้นซะ บอกเขาว่าอย่าได้ทำตัววุ่นวาย หากเกิดเรื่องขึ้นอย่าหาว่าสำนักเขามหาญาณของเราไม่เกรงใจ!”

กล่าวจบก็โบกมืออย่างค่อนข้างหงุดหงิด เข้าไปพักผ่อนด้านใน ดั้นด้นเดินทางมาไกลเพื่อคุยไม่ถึงครึ่งชั่วยามเช่นนี้ ช่างน่าโมโหจริงๆ

….

พอส่งแขกจากไปแล้ว หยวนกังตามหนิวโหย่วเต้าเข้าไปในห้องพลางเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย มีคำเตือนจากสำนักเขามหาญาณแบบนี้ คาดว่าเซ่าผิงปอคงไม่กล้าวุ่นวายแล้วล่ะ”

ความหมายในวาจาคือเรื่องผลตะวันชาดจะลงมือกันเมื่อไร

หนิวโหย่วเต้าเปิดหน้าต่าง มองดูพายุหิมะด้านนอก แค่นหัวเราะเล็กน้อย “หากคำเตือนจากสำนักเขามหาญาณมีประโยชน์ก็แปลกแล้ว สิ่งที่เรียกว่าคำเตือนนี้ ใช้ขู่ได้เพียงคนที่ไม่มีความสามารถเท่านั้น คนที่มีความสามารถย่อมมีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้า ขอเพียงไม่จนตรอกจริงๆ ขอเพียงยังมีหนทาง คนอย่างเซ่าผิงปอก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสในการกำจัดฉันให้หลุดลอยไปแน่ รอดูไปสิ ถ้าเขาไม่ลงมือจัดการฉันสิถึงจะแปลก!”

หยวนกังขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจรจาเรื่องพวกนี้กับหวงเลี่ยคนนั้นไปจะมีประโยชน์อะไร? ให้เขาลำบากตรากตรำเดินทางมาไกล แล้วยังไปล่วงเกินเขาอีก!”

หนิวโหย่วเต้าสูดหายใจรับลมเย็นจากภายนอกเข้าไปลึกๆ เอ่ยขึ้นว่า “บางครั้งก็ต้องทำตัวโอหังบ้าง การกลั่นแกล้งผู้อื่นก็เป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งเช่นกัน สื่อให้รู้ว่าเราไม่ได้เกรงกลัว ให้หวงเลี่ยได้เห็นกับตาตัวเอง ให้เขาได้รับรู้ด้วยตัวเองสักหน่อย อย่างน้อยก็ทำให้สำนักเขามหาญาณเกิดความยำเกรงได้ ทำให้ในช่วงนี้ไม่กล้าสมรู้ร่วมคิดกับเซ่าผิงปอมาทำอะไรพวกเรา พวกเราจะได้ออกจากหอหิมะเหมันต์ได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งอันตรายก็ลดน้อยลงไปหนึ่งอย่างด้วยไม่ใช่เหรอ? นอกจากนี้ยังถือเป็นการเตือนหอหิมะเหมันต์ไว้ก่อนด้วย…ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น!”

สองวันต่อมา มีข่าวมาจากทางร้านค้าของสำนักเซียนสถิต เฟ่ยฉางหลิวเจ้าสำนักเซียนสถิตมาถึงแล้ว

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้รีบร้อนเชิญมาพบ หากแต่รอให้ทุกคนมาถึงพร้อมหน้า

อีกหลายวันต่อมาเผิงโย่วไจ้เจ้าสำนักหยกสวรรค์ เจิ้งจิ่วเซียวเจ้าสำนักเมฆาล่อง เซี่ยฮวาเจ้าสำนักคีรีพิลาส ต่างทยอยเดินทางมาถึงหอหิมะเหมันต์

เวลานี้ หนิวโหย่วเต้าถึงได้ส่งคำเชิญให้เจ้าสำนักแต่ละสำนักมารวมตัวกัน

ครั้งนี้ หนิวโหย่วเต้าไม่ได้เชิญฉู่อันโหลวมา

ท้องฟ้าแจ่มใส เจ้าสำนักทั้งสี่มารวมตัวกัน ณ ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้ง ทั้งหมดล้วนเพิ่งเคยขึ้นมาบนชั้นนี้เป็นครั้งแรก

เซี่ยฮวาเจ้าสำนักคีรีพิลาสเป็นสตรีวัยกลางคนนางหนึ่ง อายุไม่น้อยแล้ว ทว่ายังคงดูสง่างาม เป็นความสง่างามที่เต็มไปด้วยสีสัน ใบหน้าผัดแป้งประทินโฉม แต่งตัวสีสันฉูดฉาดแต่กลับดูมีรสนิยม สองเนตรกลมโตเป็นประกาย

ส่วนเจ้าสำนักหยกสวรรค์ ในตอนที่อยู่กับไป๋เหยา เรียกได้ว่าหนิวโหย่วเต้าเคยได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายมานานแล้ว รูปร่างสูงใหญ่ มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นสายเลือดเดียวกับเผิงอวี้หลานและเฟิ่งรั่วหนาน ไม่จำเป็นต้องแนะนำหนิวโหย่วเต้าก็มองออกว่าเป็นใคร

เจิ้งจิ่วเซียวเจ้าสำนักเมฆาล่องกลับดูงามสง่า เครายาวดำขลับดั่งน้ำหมึก เขายกมือลูบเคราเป็นระยะๆ บุคลิกงามสง่าดั่งเซียน

เฟ่ยฉางหลิวเจ้าสำนักเซียนสถิตไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีอคติต่อหนิวโหย่วเต้าหรือไม่ ใบหน้าคร่ำเคร่งบึ้งตึง

เมื่อเทียบกับสำนักหยกสวรรค์ที่สามารถบงการเจ้าศักดินาของจังหวัดหนึ่งได้แล้ว สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสที่ทำได้เพียงพึงพากลุ่มอิทธิพลล้วนเป็นสำนักเล็กๆ

เมื่อเจ้าสำนักทั้งสามเห็นเผิงโย่วไจ้ ต่างก็มีท่าทางถ่อมตัวอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าผู้มาเยือนจะมีท่าทีต่อตนเป็นอย่างไร หนิวโหย่วเต้าก็ล้วนเชื้อเชิญเจ้าสำนักทั้งสี่เข้ามานั่งในโถงทรงกลมอย่างเป็นมิตร ขณะเดียวกันก็ให้อู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังเฝ้าตรงบันไดเอาไว้ ไม่ให้ใครเข้ามาใกล้

“ว่ามา มีเรื่องอะไร” เผิงโย่วไจ้ที่ตัวสูงใหญ่นั่งลงอย่างผ่าเผย สองมือวางบนเข่า เปิดปากเอ่ยเป็นคนแรก

เขาเองก็ไม่สบอารมณ์กับคำเชิญของหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน นี่เล่นอะไรอยู่ เป็นแค่คนชั้นต่ำที่อยู่ในขอบเขตอิทธิพลของสำนักตนคนหนึ่งเท่านั้น แล้วยังกล้ามาจับคนของสำนักหยกสวรรค์เอาไว้อีก ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!

เฮยหมู่ตานยกชาขึ้นโต๊ะ หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญให้ดื่ม เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าสำนักเผิงใจร้อน เช่นนั้นก็ดี อย่างนั้นข้าขอคำชี้แนะจากเจ้าสำนักเฟ่ยแห่งสำนักเซียนสถิตก่อนเลยแล้วกัน”

เฟ่ยฉางหลิวปรายตามองเขาเล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้าถามว่า “เจ้าสำนักเฟ่ย ทุกคนต่างมีนายของตน เรื่องที่สำนักเซียนสถิตตามมาสร้างปัญหาให้ข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าจะไม่พูดถึงแล้วกัน ข้าอยากถามเพียงประโยคเดียวว่า บุญคุณความแค้นที่ผ่านมาสามารถหักกลบลบล้างกันในคราวเดียวได้หรือไม่? ”

เฟ่ยฉางหลิวกวาดตามองดูสถานที่ที่ตนไม่เคยมีโอกาสย่างกรายเข้ามาแห่งนี้ เอ่ยเสียงขรึมว่า “เรื่องราวที่ผ่านมาข้ารับปากว่าจะไม่ตามเอาความเจ้าอีก แต่เรื่องความเสียหายของร้านค้าที่เมืองไจซิงของข้า เจ้าจะชดใช้ให้อย่างไร?” เขาชำเลืองมองเจิ้งจิ่วเซียวและเซี่ยฮวา “ความเสียหายในร้านค้าของทั้งสองท่านก็คงไม่น้อยเช่นกันใช่หรือเปล่า?”

เจิ้งจิ่วเซียวเอ่ยว่า “เสียหายไปหนึ่งล้านกว่าเหรียญทอง!”

เซี่ยฮวากล่าวว่า “พอๆ กัน ข้าวของในร้านค้าของพวกเราแทบจะถูกขนไปจนหมด”

เผิงโย่วไจ้ตะลึงไปพอสมควร นี่มันอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกับร้านค้าในเมืองไจซิงของสามสำนักนี้?

เฟ่ยฉางหลิวกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต้า ของที่เจ้าขโมยไปจากร้านค้าของพวกเราทั้งสามสำนัก มิใช่ว่าสมควรคืนให้พวกเราหรอกหรือ? ขอเพียงเจ้าชดเชยความเสียหายนี้ได้ สำนักเซียนสถิตของข้ารับประกันว่าจะไม่เอาความเรื่องที่ผ่านมา!”

แววตาเผิงโย่วไจ้วูบไหว มองไปที่หนิวโหย่วเต้า เจ้านี่ปล้นร้านค้าของทั้งสามสำนักอย่างนั้นหรือ? เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินทางจังหวัดซานชิงพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย?

สองผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านหลังเขามองหน้ากัน ดูคล้ายไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน คนดูแลร้านค้าของทั้งสามสำนักตายกันหมดหรืออย่างไร?

เจิ้งจิ่วเซียวพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”

เซี่ยฮวาเอ่ยว่า “ถูกต้อง!”

มูลค่าความเสียหายกว่าล้านเหรียญทอง สำหรับสำนักระดับพวกเขาแล้ว นั่นไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลยจริงๆ นั่นล้วนเป็นทรัพย์สินที่สั่งสมมานานหลายปี

แต่แน่นอน ที่พวกเขาแสดงท่าทีว่ายินดีปล่อยหนิวโหย่วเต้าไป นั่นย่อมต้องเป็นเพราะพวกเขานั่งอยู่ที่นี่ ต่างรู้สึกหวาดกลัวหอหิมะเหมันต์

“ข้าไม่เข้าใจว่าพวกท่านกำลังพูดอะไร” หนิวโหย่วเต้าบอกปัดไป ไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย เรื่องปล้นร้านค้าในเมืองไจซิงมีเพียงคนโง่เท่านั้นถึงจะยอมรับ

…………………………………………………………..