ตอนที่151 ศึกสัประยุทธ์แสนลำบาก (1)
ไป๋หลี่หานพยักหน้า จับจ้องไปยังมิศทางที่เซียถงหายตัวไป ประกายตาพลันฉายกะพริบภายใต้หน้ากากสีดำ
“แล้วนางมาทำอะไรในบึงแห่งนี้?”
โม่ซวนปั้นหน้าฉงนใจเอ่ยปากถาม สัตว์อสูรภายในบึงแห่งนี้ล้วนมีนิสัยดุร้ายป่าเถื่อน ทั้งยังทรงพลังแข็งแกร่งยิ่งยวด กล่าวได้ว่าเป็นสถานที่อันตรายมาก แล้วไฉนนางถึงลุยเดี่ยวมาที่นี่เพียงลำพัง?
“เราเองก็ได้ใบหญ้าเงินมาแล้วมิใช่รึ? ข้าจะติดตามนางไปเอง”
ไป๋หลี่หานกล่าวจบ เขาก็มุ่งหน้าตรงเข้าไปยังส่วนลึกของบึงทันที ขณะที่โม่ซวนกำลังเร่งฝีเท้าติดตามไป จู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายโบกมือขึ้นห้ามเอาไว้ เป็นเชิงสัญญาลักษณ์ว่ามิต้องตามมา
“นายท่าน…”
โม่ซวนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เหม่อมองไป๋หลี่หานที่ค่อยๆ ตีฝีเท้าไกลห่างออกไปด้วยความกังวล
ไป๋หลี่หานกล่าวทิ้งท้ายเพียงว่า
“รอข้าอยู่ที่นี่”
ถึงแม้โม่ซวนจะค่อนข้างเป็นกังวล แต่เขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้เช่นกัน ทำได้เพียงเฝ้าดูเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปในหมอกหนาสีขาวต่อหน้า จะอย่างไรอาศัยความแข็งแกร่งของนายท่านตน เข้าไปสำรวจเบื้องลึกในบึงแห่งนี้โดยลำพังก็ไม่น่าจะเป็นอะไร
เมื่อพ้นผ่านหมอกสีขาวมาได้ เซียถงก็แลเห็นพื้นที่โล่งกว้างอยู่ตรงหน้า มีป่าพฤกษากระจายตัวไปตามจุดอยู่ไม่กี่แห่ง สภาพหน้าดินค่อนข้างขรุขระ สายลมที่พัดโชยค่อนข้างเย็น วิสัยทัศน์มืดหม่น ทั้งยังมีโครงกระดูกของสัตว์นานาชนิดกระจัดกระจายอยู่ทั่ว
เซียถงค่อยๆ เลื่อนสายตาเผชิญเบื้องหน้า ในขณะเดียวกันก็กระชับด้ามกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือแน่นขึ้น สายลมเย็นยะเยือกที่พัดโชยปะทะใบหน้าเสมือนคนมีดกรีดกรายต่อเนื่อง ทำเอานางต้องหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ทั้งยังได้กลิ่นคาวจางๆ ในอากาศอีกด้วย
“นายท่าน โปรดระวังตัวให้ดี สัตว์อสูรโดยส่วนใหญ่ในที่นี่ค่อนข้างป่าเถื่อนมาก”
เสี่ยวฮั่วเอ่ยเตือนขึ้นผ่านห้วงความคิด
เซียถงพยักหน้ารับคำ กำกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือแน่นหนา เสียงเหยียบโครงกระดูกใต้เฝ้าเท้าดังกรุบกรับ ขณะย่องสำรวจก็ยังกวาดสายตาเฝ้ามองสารทิศด้วยความระมัดระวังสุดขีด หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ก้าว พุ่มไม้ตรงหน้าพลั่นสั่นไสว ทันใดนั้นก็มีสัตว์อสูรตนหนึ่งสีดำทมิฬพุ่งดข้าโจมตีนาง!
เซียถงจับจ้องสัตว์อสูรตนนั้นที่พุ่งใส่ตาเขม็ง มันมีใบหน้าคล้ายสุนัขและมีลำตัวคล้ายเสือดาว ท่าทีของมันดูดุร้ายยิ่งยวด นางหรี่ตาลงแคบ ตวัดกระบี่ฟันฟาด ปลดปล่อยคลื่นคมเขี้ยวตัดแบ่งร่างของมันเป็นสองซีกในเสี้ยวพริบตากลางอากาศ ธารเลือดสีแดงสดจำนวนมากพรั่งพรู พุ่งกระฉูดเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งตัวนาง
ก้มมองศพสัตว์อสูรที่ถูกผ่าครึ่งบนพื้น จะเห็นได้ว่ารอยฟันมันเรียบเนียนเพียงใด ทำเอาเซียถงรู้สึกทึ่งเล็กน้อย กระบี่ทัณฑ์ฟ้าเล่มนี้คมอย่างยิ่ง ถึงขนาดผ่าร่างสัตว์อสูรให้ดับสิ้นเป็นครึ่งซีกในพริบตาเดียว ต่อให้อยากหนีสักแค่ไหนก็เกรงว่าไม่น่ารอดไปได้
ร่างแสงสีม่วงของเสี่ยวฮั่วลอยออกมาจากห้วงความคิดของเซียถง บินหมุนวนรอบศพสัตว์อสูรตนนั้นที่นอนตายอยู่สองสามรอบ ทันใดนั้นก็ปรากฏไอหมอกสีเหลืองอ่อนจางซึมไหลออกมาจากศีรษะของสัตว์อสูรตนนั้น และทั้งหมดถูกดูดกลืนเข้าร่างแสงสีม่วงขนาดย่อมเยาอย่างรวดเร็ว
“มันเป็นสัตว์อสูรปราณชั้นกลาง นายท่าน อาศัยกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเล่มนี้ กลับเป็นเรื่องง่ายไปทันทีในการสังหารสัตว์อสูรปราณชั้นกลาง”
สุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วดังขึ้นผ่านห้วงความคิดของเซียถง
เรียงระดับความแข็งแกร่งจากต่ำไปสูง สัตว์ป่า, สัตว์อสูรปราณ, สัตว์อสูรปราณวิญญาณ, อสูรวิญญาณจารย์, อสูรศักดิ์สิทธิ์ และเทพอสูร
ซึ่งแต่ละระดับความแข็งแกร่งก็ยังสามารถแบ่งออกได้เป็นสามชั้นย่อย ได้แก่ ชั้นต้น, ชั้นกลาง และชั้นปลาย
ตัวที่เซียถงเพิ่งสังหารไปเมื่อครู่คือ สัตว์อสูรปราณที่อยู่ชั้นกลาง
“เป็นความจริงรึที่ว่า ยิ่งเจ้าดูดกลืนพลังวิญญาณของสัตว์อสูรระดับชั้นสูงเท่าไหร่ มันก็จะส่งผลให้เจ้าฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเท่ามนั้น?”
เซียถงเอ่ยถาม
“ถูกต้องแล้วนายท่าน สัตว์อสูรปราณชั้นกลางเฉกเช่นนี้ ข้าต้องกินถึงสิบตนถึงจะอิ่ม แต่หากเป็นสัตว์อสูรปราณชั้นสูง ก็กินเพียงแค่เจ็ดตน หากเป็นสัตว์อสูรปราณวิญญาณก็สักห้าตนก็เพียงพอ ส่วนอสูรศักดิ์สิทธิ์ แค่สองตนก็สามารถทำให้ความแข็งแกร่งของข้าฟื้นคืนครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด หากเป็นเทพอสูร เพียงตนเดียวก็สามารถทำให้ข้าฟื้นคืนพลังสู่สภาวะสูงสุดได้!”
เสี่ยวฮั่วกล่าวอธิบายพลางบินกลับเข้าห้วงความคิดของเซียถงไป
กล่าวคือ ในปัจจุบัน เซียถงจำเป็นจะต้องหาสัตว์อสูรปราณชั้นกลางอีกเก้าตนให้เสี่ยวฮั่วกินจะได้อิ่ม คิดได้ดังนั้น นางก็รีบเช็ดปาดคราบเลือดบนใบหน้าและเดินเท้าเข้าสำรวจต่อไป
เวลาผ่าไปอีกสักครู่ นางก็พบเจอกับสัตว์อสูรปราณชั้นกลางอีกสองตน ซึ่งพวกมันทั้งคู่ล้วนถูกนางสังหารตายในดาบเดียว หลังจากเสี่ยวฮั่วดูดกลืนพลังวิญญาณของพวกมันเสร็จสรรพ นางก็สังเกตเห็นว่า กลุ่มแสงสีม่วงของเสี่ยวฮั่วดูจะสว่างไสวขึ้นจากก่อนหน้าเล็กน้อย เห็นดังนั้นนางจึงรีบเร่งเสาะหาอาหารให้แก่มันต่อโดยไว
ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ยิ่งดูดิบเถื่อน เวลานี้ปราศจากถนนหนทางให้พอเดินเข้าไปได้แล้ว มีแต่จะต้องบุกป่าฝ่าดงพืชพันธุ์นานาชนิดเข้าไปอย่างยากลำบาก สายลมเย็นยะเยือกเพิ่มระดับความแรงมากขึ้นจนนางเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นบ้างแล้ว
“นายท่าน ตรงหน้ามีสัตว์อสูรปราณชั้นสูงถึงสองตน ระวังตัวด้วย”
เสี่ยวฮั่วลอยออกมากระซิบอยู่ข้างหู เซียถงพยักหน้า มองดูพุ่งไม้ใหญ่ตรงหน้าสั่นกระเพื่อมด้วยความระมัดระวังสุดขีด ทันทีทันใด ก็มีสัตว์อสูรร้ายสีขาวโพลนสองตนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตา
เซียถงย่อขาโค้งตัวคร่อมลงเล็กน้อย ปลายเท้าทั้งสองจรดแนบอยู่บนพื้น อาศัยแรงทีบตัวขุมใหญ่ ปราดพุ่งเข้าจู่โจมสัตว์อสูรทั้งสองตนโดยพร้อมเพรียงด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า
“โฮกกก!!”
ยามตระหนักได้ถึงภัยร้ายของเซียถงที่ลุถึงเบื้องหน้า สัตว์อสูรทั้งสองตนนั้นเชิดชูศีรษะขึ้นฟ้าส่งเสียงคำรามสนั่นกึกก้อง สองร่างแปรสภาพกลายเป็นเงาสีขาวสาดไสว กระโจนเข้าสวนเซียถงตอบโต้ทันที จะสังเกตเห็นได้ว่า สัตว์อสูรทั้งสองตนนี้มีรูปร่างคล้ายกับเสือโคร่งขาวบริสุทธิ์ ดวงตากลมโตส่องสว่างสุกใสของพวกมันก็เป็นสีขาวพิสุทธิ์เช่นกัน และในเวลานี้ ก็ยังจับจ้องเซียถงไม่วางตา
สัตว์อสูรปราณชั้นสูงสีขาวพิสุทธิ์ทั้งสองตนนี้ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ เสือโคร่งเหมันต์ ขนทั่วทั้งร่างของมันจะเป็นสีขาวผ่องใสราวกับหิมะ เรียวขาทั้งสี่สูงโปร่งสง่างดงาม ฟังว่าคมเขี้ยวของมันเปรียบเสมือนใบมีดนั้นแข็งที่มีความทนทานสูง พวกมันทั้งคู่กระโจนข้ามพ้น สรรพสิ่งกรีดขวางทางทุกอย่าง โถมร่างพุ่งเข้าใส่เซียถงไม่มีปราณี ชั่วขณะอึดใจนางพลันสัมผัสได้ถึงเย็นที่แผ่ซ่านออกมา
เสือโคร่งเหมันต์ฉีกปากกว้างแยกคมเขี้ยวใส่ทางเซียถง ใบมีดน้ำแข็งสองคู่คมจู่โจมเข้าหา เซียถงรีบร่ายกระบวน ตัดใบมีดน้ำแข็งบนปากของพวกมัน ฟันผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
“โชคดีที่มักระบี่ทัณฑ์ฟ้า มิฉะนั้นอาจถูกคมเขี้ยวน้ำแข็งของพวกมันเจาะทะลุเข้าร่างแล้ว”
เสี่ยวฮั่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
คล้อยหลังที่เซียถงฟันฟาดสะบั้นคมเขี้ยวน้ำแข็งประดุจใบมีดของพวกมันหัก นางก็โรมโรงบุกโจมตีต่อเนื่องไม่มีเว้นช่วง กวาดคลื่นกระบี่สัดสาดเข้าหาเสือโคร่งเหมันต์ตนหนึ่ง สะบัดศีรษะของมันจนหลุดจากบ่าในพริบตาเดียว ซึ่งจุดเด่นของเสือโคร่งเหมันต์พวกนี้ นอกจากเรื่องพละกำลังอันแข็งแกร่งแล้ว มันเหล่านี้ก็ยังหัวไวฉลาดเฉลียวเป็นกรด เมื่อรู้ว่า กระบี่ทัณฑ์ฟ้าเล่มนี้ทรงพลังเพียงใด อีกตนที่เหลืออยู่จึงเลือกที่จะร่นถอยหนีเข้าป่าไป แทนที่จะเข้าเผชิญกันซึ่งหน้า
แต่ทันใดนั้น คล้ายสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกจากด้านหลัง เสี่ยวฮั่วร้องอุทานลั่น
“นายท่าน ระวังข้างหลัง!”
ดั่งเซียถงเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้ว หนึ่งคลื่นคมกระบี่ถาโถม นางวาดรัศมีกระบี่ทัณฑ์ฟ้าสะบั้นใส่กลางร่างของเสือโคร่งเหมันต์ในทันใด แต่ชั่วขณะนั้นเอง ปรากฏว่า ยังมีเสือโคร่งเหมันต์ตนที่สามโผล่มาจากไหนไม่ทราบ พุ่งเข้าโจมตีนางผ่านมุมอับของสายตา
สัตว์อสูรปราณชั้นสูงจะมีความสามารถที่เพิ่มพูนขึ้นจากสัตว์อสูรชั้นกลางค่อนข้างมาก ทั้งในด้านสติปัญญาและความเร็ว ถึงแม้เซียถงจะมีกระบี่ทัณฑ์ฟ้าอยู่ในมือ แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการพวกมันทิ้งภายในระยะเวลาอันสั้น
ฟันฟาดผ่าครึ่งร่างของตัวที่สองเสร็จ เซียถงพลิกตัวกลางอากาศ ยกคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าขึ้นปะทะชนกับคมเขี้ยวน้ำแข็งของเสือโคร่งเหมันต์ตนที่สาม เสียงดัง ‘เกร๊ง’ ประหนึ่งโลหะแข็งทั้งสองเข้าประสานงา แผดสะเก็ดไฟสาดกระเซ็นวูบวาบ ต่งาฝ่ายต่างผละออกจากกันและกัน ตีระยะอยู่ห่างกันประมาณหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าสหายของมันตายสิ้นไปสองตนแล้วภายใต้คมกระบี่ของเซียถง เสือโคร่งเมหันต์ตนนั้นที่เหลือรอดก็เชิดหน้าขึ้นฟ้าและส่งเสียงโหยหวน เปล่งสะท้านกึกก้องทั่วผืนป่า แผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
เซียถงใจหายวาบในทันทีที่ได้ยินเสียงโหยหวนนี้ เร่งเข้าปิดฉากเสือโคร่งเหมันต์ตนนั้นโดยทันทีประดุจทัณฑ์สวรรค์ฟันฟาด! ทว่าเสือโคร่งเหมันต์กลับไม่คิดต่อสู้อยู่ต่อตั้งแต่แรก ร่างประกายสีขาวพิสุทธิ์วิ่งหนีหายไปจากจุดที่ยืนอยู่ด้วยความเร็วสูง