เพลงดาบของเซเลสเต้นั้นค่อนข้างที่จะ…
ใช่เลยมันค่อนข้างที่จะสวยงาม
วิชาดาบในสมัยใหม่เป็นแค่การใช้แรงและการเคลื่อนไหวที่แข็งทื่อเข้าว่าเหมือนกับการตีบางสิ่งด้วยหินแข็งๆ
ซึ่งท่าทางพวกนั้นก็ดูไม่มีศิลปะเอาเสียเลย
แต่การท่าทางของเซเลสเต้นั้นเป็น
การร่ายรำที่ดูราวกับการไหลผ่านไปของกระแสน้ำที่พลิ้วไหว
ไม่สิ นั้นก็ยังไม่ถูก
มันเหมือนกับเปลวไฟที่ริบหรี่ที่กำลังเปล่งประกาย
ดอกไม้ที่กำลังบานและกำลังเหี่ยวเฉาในขณะที่ผีเสื้อโบยบินขี้นและลง
ทุกครั้งที่ซอดัมกระพริบตา
ภาพที่แตกต่างกันได้แสดงออกมาเบื้องหน้าเขา
‘…นี้ เธอไปถึงระดับนี้ได้ในตอนไหนกัน?’
ซอดัมมองไปที่เซเลสเต้ด้วยใบหน้าที่งุนงง
เขารู้ว่าเธอมีพรสวรรค์
เพราะว่าเขาเป็นคนที่สอนเธอเองว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะควบคุมฟุตเวิร์ค,การเคลื่อนไหวร่างกาย และการหายใจเพื่อเติมเต็มเพลงดาบของเธอให้สมบูรณ์ได้
แต่ถึงอย่างนั้นวิธีการของเขามันก็ยัง ‘หยาบ’ ไปอยู่ดี
เป็นวิธีการเฉพาะหน้าที่ไม่ได้มีรากฐานใดๆ
แต่ว่าเซเลสเต้ก็ยังสามารถจัดการยกระดับทักษะของเธอเข้าสู่ขอบเขตนี้ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆแค่นี้เอง
การสอนของซอดัมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแสดงบทบาทส่วนใหญ่ในเรื่องนี้แต่ด้วยพรสวรรค์ของเธอ เธออาจจะสามารถสร้างเพลงดาบของตัวเองขึ้นมาได้ในอนาคต
แม้ว่ามันจะยังต้องการอีกหลายร้อยปีสำหรับเพลงดาบที่เธอได้สร้างที่จะตามทันกับของต่างโลก
“นั้นอะไรนะ…”
“นั้นมันฟุตเวิร์คบ้าอะไรกัน?”
“…นี้ฉันกำลังดูเพลงดาบอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?”
เหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายเริ่มที่จะบ่นพึมพำออกมา
และมีหลายคนได้จ้องมองไปทางยูซอดัม
มีบางคนที่ถึงขนาดจำเขาได้
‘คิดๆไปแล้ว ชายคนนั้นก็จัดการล้มมอนสเตอร์กลายพันธุ์แรงค์ B โดยที่ไม่มีชุดสูทอีเทอร์ด้วยนิ…’
‘หะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนนะเหรอ’
‘ฉันก็คิดว่ามันสุดยอดนะตอนที่ได้เห็นดาบของเขาครั้งแรกแต่นี้เขาสอนพวกมันให้กับเธอเหรอ?’
แล้วในที่สุด
ปึก!!
ด้วยการดันดาบสุดท้ายของเธอออกไป เซเลสเต้ล้มซานางิลงได้
แปะ แปะ แปะ!
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การจับคู่ประลองกันเท่านั้น เหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายก็ปรบมือให้
เท่านั้นนะหรอ?
แน่นอนว่าไม่ใช่
เสียงประมือนี้มันค่อนข้างที่จะดังกระหึมกว่าปกติ
มันเป็นความรู้ทั่วไปที่ว่ายอดมนุษย์ไม่สามารถที่จะเหนือยอดมนุษย์คนไหนก็ตามที่มีแรงค์สูงกว่าตนเองได้
ซอดัมที่พึ่งเสร็จสิ้นการบันทึกวิดีโอของแมตช์นี้ด้วยโทรศัพท์มือถือของตน ได้ปรบมือให้อย่างเบาๆ
‘ฉันคิดว่าคลิปวิดีโอนี้จะต้องออกมาดี…’
“อะไรนะ? มันจบแล้วงั้นหรอ?”
“ใช่ เธอชนะแล้ว”
เทเลอร์ที่มาถึงที่นั่งของตนช้าไปถามขึ้นด้วยท่าทางที่เฉยเมย
“ถ่ายวิดีโอนั้นไปทำไมกันนะ?”
“ฉันได้ยินว่าจะเธอกำลังจะอัพโหลดมันลงบนโซเชียลมีเดียนะ”
“…เชี่ย”
ด้วยความที่เธอไม่ได้มีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียของเซเลสเต้ เธอเลยขมวดคิ้วขึ้น
“ฉันเดาว่าเธอกำลังวางแผนที่จะเผยแพร่ความจริงที่ว่าเธอทุบตีแรงค์ C ได้นะสิ ไม่ใช่ว่าเด็กน้อยนี้แย่ยิ่งกว่าฉันในบางเรื่องอีกอย่างนั้นเหรอ?”
เซเลสเต้มั่นใจว่าเธอจะต้องชนะ
มิฉะนั้นเธอจะไม่ขอให้ซอดัมอัดคลิปวิดีโอของแมตช์นี้แน่นอน
ในขณะที่ซอดัมกำลังเช็คคลิปวิดีโอในโทรศัพท์มือถือของตนและรอคอยสำหรับแมตช์ต่อไปอยู่นั้น นักดาบหลายคนในชุดแบบเดียวกันได้เข้ามาหาเขา
“ขอโทษด้วยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณคือคุณยูซอดัมใช่ไหมครับ?”
“ใช่แล้วครับ มีอะไรให้ผมช่วยหรือป่าวครับ?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่อยากจะเจอกับอาจารย์ที่สอนวิชาดาบให้กับลูกสาวคนโตของตระกูลคอสแตนตีนินะครับ”
คนพวกนี้กำลังพูดออกมาในภาษาอังกฤษแต่เสียงที่ออกมาเป็นภาษาเกาหลีผ่านเครื่องแปลภาษาราคาแพงของพวกเขา
แม้ว่ามันจะไม่จำเป็นเลยตั้งแต่ที่ซอดัมสามารถที่จะพูดได้ทั้งภาษาเกาหลีและอังกฤษ
และคนพวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่คนกลุ่มเดียวที่กำลังเข้าหาเขา
ปรมาจารย์ดาบที่เป็นคนธรรมดาส่วนมากเริ่มที่จะแอบมองไปทางซอดัม
ยูซอดัม
เขารู้ว่าคนพวกนี้นั้นสิ้นหวังขนาดไหนเพราะว่าเขาได้รับรู้ถึงความข่มขื่นของการที่เป็นแค่คนธรรมดาด้วยตนเองเช่นกัน
คนพวกนี้ใช้ทั้งชีวิตของตนในการแสวงหาไปในเส้นทางแห่งดาบเท่านั้น
แค่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีพลังพิเศษ พวกเขาเลยไม่สามารถแม้แต่จะสู้กับเด็กที่มีพลังได้
มันเป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่ได้ไปถึงคอขวดและกำลังค้นหาโอกาสที่จะผ่านมันไปได้
หรือก็เหมือนกับผึ้งที่กำลังเร่รอนเพื่อหาน้ำหวาน
พวกเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
ถ้าเปลี่ยนความกระตือรือร้นพวกนี้ให้เป็นเงินได้หละก็…
‘…ทำไมฉันถึงไม่สร้างชื่อของตัวเองขึ้นหละหลังจากที่สามารถทำให้วิชาดาบสมบูรณ์จากต่างโลกได้กันหละ?’
เหล่ายอดมนุษย์เป็นคนที่ดูดซับอีเทอร์เข้าสู่ร่างกายของตนและไม่สามารถที่จะบ่มเพาะมานาจากต่างโลกได้อีก
แต่อย่างไรก็ตามถ้าพวกว่าเป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยทำอะไรพวกนั้นแทนหละ?
ด้วยวิธีการบ่มเพาะมานาจากต่างโลกคุณจะสามารถเรียนรู้ได้ทั้งศิลปะการต่อสู้และเวทมนตร์
การได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและการเมินเฉย
สิ่งที่มีเพียงคนธรรมดาเท่านั้นที่เข้าใจ
การทำให้คนพวกนี้ได้รับมาซึ่งพลังพิเศษผ่านเวทมนตร์
โดยสอนศิลปะการต่อสู้ในกับคนพวกนั้นที่ต้องการจะไปเป็นแนวหน้าในสนามรบ
แล้วมันจะกลายมาเป็นขุมพลังให้กับฉัน
‘ถ้าเพียงแค่ว่าฉันสามารถได้รับโอกาสในการได้ตัวเหล่าฮันเตอร์ที่เกษียณอายุไปแล้วมาหละก็’
ความคิดเช่นนั้นครอบงำสมองของซอดัมในทันทีและเขาได้สลัดมันออกไปด้วยความยากลำบาก
เขาแน่ใจว่ามันจะต้องมีคนธรรมดาคนอื่นอีกแน่ที่ต้องการความสามารถนี้เช่นกัน
ถึงแม้ว่ามันจะสร้างความได้เปรียบให้กับเขา มันจะมอบความหวังให้กับคนเหล่านั้นคนที่ได้แต่ยอมแพ้ในความฝันของตนเองอย่างไม่มีทางเลือก
แต่ว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่ถูกต้อง
ซอดัมมีเวลาในต่างโลกมากกว่าโลก
สำหรับในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นจนมันพอที่จะปกป้องตัวเขาเองได้และเขายังไม่ได้ไปถึงระดับที่จะไปสอนใครได้
เขาแค่ประลองกับเซเลสเต้ไม่มีครั้งแต่เธอสามารถที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ด้วยตัวเธอเอง
เหล่าอัจฉริยะเช่นเซเลสเต้มีอยู่จำนวนเท่าไหรกันนะบนโลกใบนี้?
‘มันยังเร็วเกินไป?’
ถ้าหากว่าเขาสามารถรวบรวมทั้งหมดนั้นซึ่งเป็นคนที่ไม่สามารถที่จะแสดงพรสวรรค์ของตนเอง มาเป็นพรรคพวกได้หละก็
มันจะเป็นขุมพลังที่สุดยอดไปเลย
……………………………………………………..
……………………………………………………..
ฉันได้รับนามบัตรจากเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายที่ละคนๆ
ความสนใจของพวกเขาเหล่านี้เป็นเพียงแค่ความอยากรู้อย่างเห็นเท่านั้นและไม่ได้มีจำนวนที่เข้ามาหาฉันเพราะว่าพวกเขาไม่ใช่นักดาบแต่มันจะไม่ได้สำคัญอะไร
นี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้ว่าปรมาจารย์ดาบพวกนี้กระหายขนาดไหนเมื่อเป็นเรื่องของวิชาดาบ
ฉันออกไปเข้าห้องน้ำในตอนที่ฉันพบโอกาสและล้างหน้าของตนเองด้วยน้ำเย็นในอ้าง
งานอภิปรายวิชาดาบนี้ได้ให้แนวคิดมากมายกับฉัน
“…!”
ทันใดนั้นเอง ฉันรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งหลัง
ฉันจับไปที่ดาบอีเทอร์ที่อยู่ตรงเอวของตนเองโดยสัญชาตญาณและมืออีกข้างกำลังค้างอยู่ตรงไกของปืนอีเทอร์
“…เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
ใครบางคนพูดออกมาแล้วชี้ดาบไปที่คอของซอดัม
ฉันเงยหน้าขึ้นมองไปที่กระจกและเห็นได้ว่าเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าที่เคร่งขรึม
“เจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่? การเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ให้กับชาวโลกทั้งหลายนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้าม นี้เจ้าลืมคำสาบานของตนเองไปหมดสิ้นแล้วอย่างนั้นนะเหรอ?”
อะไรนะ?
ฉันรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่แปลกเป็นอย่างมาก
มันเป็นวิธีการพูดที่มันแปลกและลึกลับราวกับว่ามากจากโลกอีกใบ
และพลังงานที่เขาได้ปลดปล่อยออกมา
แน่นอนเลยว่าเขาเป็น…
“…คุณ ผมขอถามอะไรสักอย่างเพื่อความแน่ใจจะได้ไหมครับ คุณเป็นผู้หวนคืนต่างมิติใช่ไหม?”
แล้วราวกับว่ามันเรื่องธรรมชาติ ชายวัยกลางคนนี้ได้พูดขึ้น
“ไม่ใช่ว่ามันชัดเจนอย่างนั้นหรอกรึ? เปิดเผยพรรคที่เจ้าเข้าร่วมในมูริมออกมาซะ”
“หะ”
ฉันไม่เคยคิดว่าก่อนเลยว่าฉันจะได้เจอกับผู้หวนคืนต่างมิติตัวเป็นๆ
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ คนพวกนี้เป็นเหล่าผู้คนที่ตกลงไปในต่างโลกและได้ย้อนกลับคืนมาพร้อมด้วยพลังที่ไม่ปกติซึ่งถูกเรียกว่า ‘วูกง’
มันมีคนแบบนี้ไม่มากนักแต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาในแต่ละคนนั้นเกินกว่าแรงค์ A และบางคนแม้จะทั้งเป็นแรงค์ S ดังนั้นแล้วจึงมีกองกำลังจำนวนมากได้พยายามที่จะรับสมัครพวกเขาและมีเพียงน้อยนิดที่ประสบความสำเร็จ
หนึ่งในเหตุผลที่เป็นแบบนั้นเพราะว่ามันมี ‘กฎที่ไม่ได้ถูกเขียนไว้’ และ ‘คำสาบาน’ ระหว่างผู้คนในมูริม
ห้ามมิให้ส่งผ่านวูกงไปสู่ชาวโลก
ห้ามมิให้มีความสัมพันธ์กับชาวโลก
“เจียนจีน่าจะกำลังปลีกวิเวกอยู่แถวนี้ดังนั้นข้ามั่นใจว่ายังมี ‘เหล่าราชา’ ที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในเกาหลี มันคงจะไม่เป็นการดีใช่ไหมหละที่เจ้าจะไปยั่วยุพวกเขาเหล่านั้น?”
เจียนจี?
เหล่าราชา?
ฉันที่เคยได้ยินคำว่าผู้ย้อนคือต่างมิติก็ว่าดีเท่าไหรแล้วแต่ฉันไม่มีเข้าใจสักนิดเลยว่าบทสนทนาที่กำลังคุยกันอยู่นี้มันคืออะไรdyo
“ถ้าผมผิดคำสาบาน…”
ฉันหยุดพูดลงเพราะว่าฉันไม่ต้องการที่จะคุยกับใครก็ตามที่กำลังชี้ดาบมาที่คอของฉัน
“แต่ขอโทษนะครับ แต่ช่วยลดดาบลงมาก่อนจะได้ไหมครับ”
“…ขอโทษด้วย”
แล้วชายคนนั้นก็ค่อยๆลดดาบของตัวเองลง
ฉันหันหน้าไปกลับไปและมองเห็นป้ายที่ห้อยอยู่รอบคอของชายคนนั้นซึ่งบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในสตาฟที่กำลังจัดการเรื่องต่างๆภายในสนามกีฬาชัมชิลนี้อยู่
หืม
เมื่อมองเข้าไปเขาไม่ได้ปลดปล่อยพลังงานใดๆออกมาเลย นี้เขาใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไปจริงนะเหรอ?
‘ถ้าหากพวกต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ ฉันคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะถ่วงเวลาเอาไว้สักครู่’
ฉันมั่นใจว่าเทเลอร์จะต้องวิ่งมาในเวลาสั้นๆแน่หลังจากที่สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นดังนั้นมันไม่มีปัญหาอะไรที่จะพูดคุยกันต่อไป
ชื่อ ‘คิมดูฮัก’ ถูกเขียนอยู่บนป้ายชื่อนั้น
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่แต่มันน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนะครับ”
“ข้าขอโทษด้วยที่ทำร้ายเจ้าแต่ถ้าเจ้าเป็นคนทรยศที่ผิดทำสาบานแล้วหละก็มันก็เป็นภารกิจของข้าที่จะกำจัดเจ้าทิ้งในทันที…”
“ไม่ครับไม่ใช่แบบนั้น ผมกำลังจะบอกว่าผมไม่ได้เป็นผู้หวนคืนต่างมิตินะครับ”
“อะไรนะ?”
ฉันเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างเหมือนกันในตอนที่ทำงานอยู่
‘เหล่าผู้หวนคืนต่างมิติทั้งหมดได้ทำการสลักพรรคของตนเขาสู่หัวใจของพวกเขา’
มันเพื่อที่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่าแม้พวกเขาจะย้อนกลับมาที่แล้ว พวกเขาจะได้ไม่ลืมแล้วไปสอนใครเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มาจากต่างโลกดังนั้นพวกเขาได้กล่าวสลักคำสาบานเข้าสู่หัวใจของตน
มันเป็นรอยสักซึ่งสลักด้วยการใช้สกิลที่ไม่ปกติ ไม่สามารถที่จะลบหรือเปลี่ยนแปลงมันได้
ฉันปลดเสื้อเชิ้ตของตนลงและแสดงหน้าอกของตนเอง
ดูฮักเห็นว่ามันไม่มีอะไรนอกไปจากรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดจำนวนมาก ได้แต่มองดูด้วยความประหลาดใจ
“…ไม่มีทาง”
“ในตอนนี้คุณเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ? ว่าคุณจับผิดคนแล้ว”
“มันเป็นไปไม่ได้ มันจะต้องเป็น ‘วูกง’ แน่ๆมันจะ…”
“ไม่ใช่ว่ามันมีกฎอยู่ว่ามันไม่สามารถที่จะมีวูกงบนโลกได้อย่างนั้นหรอกหรือครับ?”
ในทันทีที่ฉันพูดออกไปดูฮักที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอายได้รีบประสานหมัดและฝ่ามือของตนเองเข้าด้วยกัน
‘นี้มันเป็นการทักทายหรืออะไรพวกนั้นรึป่าวนะ?’
“ข้าขออภัยเป็นอย่างยิ่ง! นี้เป็นความผิดของข้าเองข้าจะชดใช้ในกับเจ้า”
“ไม่ๆ คุณไม่ต้อง…”
ฉันได้ยินมาว่าเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติทั้งหมดล้วนมีนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์และหนึ่งในนั้นก็น่าจะกำลังอยู่เบื้องหน้าของฉันในตอนนี้อย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีเหล่าคนที่ไม่สามารถจะปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตบนโลกได้ดังนั้นจึงมีรายงานข่าวจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับเหล่าผู้ห้วนคืนต่างมิติหลุดออกมาเป็นครั้งคราว
โดยธรรมชาติแล้วส่วนใหญ่ของคนพวกนั้นมักจะเสียชีวิตในวันต่อมา
“…คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ”
ฉันได้เอานามบัตรฮันเตอร์แรงค์ F ของฉันออกมา
มันอยู่ในสภาพที่ดูดีมากถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ใช้มันในช่วงนี้เลยก็ตาม
แล้วฉันก็พูดด้วยรอยยิ้มขึ้นมา
“ไว้ค่อยหาเวลามาทำความรู้จักกันเถอะครับ”
ผู้หวนคืนต่างมิติ
ฉันรู้สึกว่าตัวเองคงต้องใส่ใจลงไปในรายละเอียดของเรื่องนี้อีกหน่อยแล้วสิ
……………………………………………………..
……………………………………………………..
ฉันเคยคิดเกี่ยวกับมันมามากแล้วก่อนหน้านี้
ว่ามันมีตัวเอกมากกว่านี้บนโลกใช่ไหม?
หรือว่าฉันก็เป็นตัวเอกเหมือนกัน?
จากสิ่งที่ฉันได้สรุปมา
‘มันจะต้องมีตัวเอกที่อยู่บนโลก’
และถึงมันจะมี มันก็ไม่ใช่ฉัน
เหตุผลนั้นง่ายมาก
คุณลูกค้าได้กล่าวไว้ว่า ‘ตามสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกันของตัวเอก บทส่งท้ายจะเกิดขึ้นถ้าหากว่าตัวเอกอีกฝ่ายได้มาเจอกัน’
‘อย่างนั้นเหรอ?’
<ใช่ค่ะ>
คุณลูกค้าที่ได้กลับมาแล้วตอบคำถามของฉัน
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ตอบคำถามที่ว่าเธอไปไหนมาก็ตาม
ไม่ว่าจะในทางไหนก็ตาม
ในคราวที่แล้วเธอได้พูดไว้ว่าถ้าอียอนจุนออกไปจากดันเจี้ยนนั้นได้พรของตัวเอกทั้งสองคนจะปะทะกันเองผลลัพธ์ที่ได้คือบทส่งท้ายของโลกในที่สุด
นั้นหมายความว่ามันต้องมีตัวเอกอีกคนหนึ่งอยู่ตรงในสักแห่งบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน
ฉันเริ่มคิดว่ามันจะเป็นยอดมนุษย์แรงค์ SS แต่หลังจากที่ได้เจอกับผู้หวนคืนต่างมิติมาแล้วฉันก็เปลี่ยนใจ
‘ถ้ามีตัวเอกอีกคนอยู่บนโลกจริงๆหละก็มันน่าจะเป็นไปได้มากกว่าที่เขาจะเป็นผู้หวนคืนต่างมิติ’
มันแทบจะหาคนธรรมดาไม่เจอเลยในหมู่คนที่มาจากมูริมซึ่งมีพลังอำนาจที่มหาศาลเช่นนี้
ดังนั้นปรมาจารย์จากมูริมที่มี ‘ชื่อเล่น’ คนนี้น่าจะเป็นอย่างน้อยก็แรงค์ SS หรือไม่ก็สูงกว่านั้น
แน่นอนว่านี้เป็นเพียงแค่การคาดเดา
มันกลายเป็นว่าพลังอำนาจของวูกงนั้นสุดยอดมากจนที่มันไม่ต่างไปจากพลังพิเศษบนโลกเลยอย่างนั้นเหรอ?
หลังจากที่กลับไปยังที่นั่งของตัวเองอย่างเงียบๆมันดูเหมือนว่าอีเว้นท์นี้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
ถ้าเหล่าปรมาจารย์กำลังต่อสู้กับเองเพื่อเปรียบเทียบดาบของกันเองแล้วหละก็ ในตอนนี้มันได้กลายมาเป็นสถานที่สำหรับการสนทนากับจริงๆแล้ว
จุดประสงค์หลักของอีเว้นท์นี้คือการนำเหล่าผู้คนที่ปรารถนาที่จะแสดงวิชาดาบของตนเองและพูดคุยกับคนอื่นๆมารวมเข้าด้วยกัน
หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในตอนนี้เป็นเซเลสเต้
มันสามารถที่จะกล่าวได้ว่าซานางิเป็นตัวเอกของเมื่อปีที่แล้วแต่ในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนเช่นกัน
ด้วยความสัตย์จริงฉันรู้สึกเสียใจนิดหน่อยกับเธอแต่ฉันจะไปทำอะไรได้หละ?
ฉันไม่ได้รู้สึกสงสารมากนักหรอกเพราะว่าฉันก็ถูกปฏิบัติด้วยแบบนี้อยู่แล้ว
ตะ-ตูม!!
ไม่ใช่จากที่ไหนเลย เสียงที่ดังขึ้นมานี้มาจากที่มุมหนึ่งขอสนามกีฬาและแน่นอนว่านั่นคืออาเรน
ไอ้เจ้าคนบ้านี้เกิดอะไรขึ้นกับเขาอีกหละเนี่ย?
“มันเป็นเพราะแก”
“ฉันไปทำอะไรให้อย่างนั้นเหรอ?”
“อาเรน ไอ้ชาติชั่ว แกมาในฐานะของคนที่อาจารย์ให้กับลูกสาวคนโตของตระกูลโอกาโมโตะแต่ถ้าหากว่าหญิงสาวที่แกสอนมาแพ้ให้พับหญิงสาวอีกคนที่เขาได้สอนแกจะไปต่อยหน้าอีกฝ่ายอย่างนั้นเหรอ?”
เทเลอร์ที่ดูเหมือนว่าจะอยู่อารมณ์ที่ไม่ดีจนกระทั้งถึงเมื่อหนึ่งเดือนก่อนมีรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าของเธอ
ฉันก็ไม่แน่ใจนักแต่น่าจะเกิดเรื่องดีบางอย่างขึ้น
[สิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดเจ็ดอย่างถูกตรวจจับได้จากเป้าหมาย]
[คุณต้องการที่จะเริ่มการค้นหาเลยหรือไม่?]
“อะไรนะ?”
ฉันตรวจดูอีกครั้งว่าฉันมองเห็นอะไรผิดไปหรือป่าว
เจ็ดอย่าง
‘ไม่ใช่แค่สองงั้นเหรอ?’
ฉันค่อยๆพยักหน้าลงและสกิลห้องสมุดของแม่มดขาวก็ได้เปิดใช้งาน
[กำลังทำการค้นหา…]
[การค้นหาเสร็จสมบูรณ์ : ต้นกำเนิดของลายเวทมนตร์]
[อัตลักษณ์ของเวทมนตร์คือ เสริมแกร่ง (B),เสริมความเร็ว (C),กระสุนไฟ (C),ลดแรงเสียดทาน (C) และ…]
บ้าน่า
ทำไมมันมากอย่างนี้?
จากรูปภาพเหล่านั้นมีเพียงแค่สิ่งประดิษฐ์สองอย่างเท่านั้นที่ถูกค้นพบในรูปแต่เมื่อฉันได้ตรวจสอบตัวจริงแล้วฉันสามารถที่จะตรวจสอบเวทมนตร์ออกมาจากสิ่งประดิษฐ์พวกนั้นได้
มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอสำหรับนักดาบนะ?
‘แต่เขามีสิ่งประดิษฐ์จำนวนมากขนาดนี้ได้ยังไงกัน?’
[มันเป็นไปได้ด้วยเวทมนตร์ระดับสูง]
[อย่างไรก็ตามเป้าหมายได้ใช้สิ่งประดิษฐ์ที่มากเกินไปและมันได้ทำให้ร่างกายของเขาได้รับสิ่งที่เหลือตกค้างจากเวทมนตร์พวกนั้นซึ่งมันไปอุดตันอยู่ตามร่างกายของตัวเขา]
[ถ้าหากว่ามานาของคนๆนั้นและมานาของสิ่งประดิษฐ์ประสานเข้าด้วยกันหละก็มันอาจจะทำให้เกิดการโอเวอร์โหลดและมานาเป็นพิษได้]
…ดังนั้นเขาไม่ได้แค่พกสิ่งประดิษฐ์จำนวนมากพวกนี้ไปด้วยทุกๆที่สินะแต่เขายังกลายเป็นประเบิดเวลาไปด้วยเช่นกัน
ในไม่ช้าไอ้เจ้าบ้านี่ก็จะกลายเป็นคนพิการหรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย
เขาอาจจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายตนเองในตอนนี้เพราะว่าร่างกายที่ ‘แข็งแกร่ง’ ของเขา
แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปอย่างช้าๆ
เวทมนตร์นี้จะค่อยๆกลืนกินร่างกายของเขาไปที่ละเล็กที่ละน้อย
‘มันคงไม่รุนแรงมากจนคนอื่นจะโดนแรงระเบิดไปด้วยใช่ไหมนะ?’
[ใช่]
[คุณต้องการที่ลองแคร็กดูไหม]
หลังจากคิดเพียงชั่วครู่ฉันได้ส่ายหน้า
สิ่งประดิษฐ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถเขาดังนั้นมันไม่จำเป็นสำหรับฉันที่จะต้องไปใส่ใจอะไรเกี่ยวกับมัน
นอกจากนี้ฉันมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับตัวเองที่ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงอยู่แล้ว
‘ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ เว้นแต่ว่ามันจะจำเป็น…’
“มิสเซเลสเต้ครับ”
ในตอนที่ฉันกำลังจะออกคำสั่งกับห้องสมุดของแม่มดขาว ฉันได้มองออกไป
“เนื่องจากว่าปมเองก็เป็นฮันเตอร์ระดับสูงและยังเป็นปรมาจารย์ดาบ คุณไม่คิดว่าพวกเราควรที่จะประลองกันสักหน่อยเหรอ?”
กว่าที่ฉันจะรู้สึกตัว อาเรนที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มได้เข้าหาเซเลสเต้และขอท้าประลองไปเรียบร้อยแล้ว
ว้าวว ฉันถึงกับพูดไม่ออกเลย
นี้นายกำลังพยายามที่จะแกล้งเด็กใช่ไหม?
เซเลสเต้แสดงสีหน้าจนปัญญา เพราะรู้ว่านี้เป็นการต่อสู้กันจริงๆภายใต้ใบหน้าที่เสแสร้งว่านี้เป็นเพียงแค่การประลองกัน
สุดท้ายแล้วนี้ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“…เริ่มแคร็กได้เลย”
ถ้ามีใครบางคนพยายามที่จะทำเรื่องสารเลวเช่นนี้กับลูกศิษย์ของฉันด้วยความตั้งใจแล้วหละก็ฉันจะต่อยมันกลับไป
เพราะว่าฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะนิ่งเชยและปล่อยให้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ
(ผู้แปล : มูริมคือคำที่ใช้เรียกแบบรวมๆของเหล่าผู้คนที่เป็นผู้หวนคืนต่างมิตินะครับ)