บทที่ 166 ฝีมือคนทำ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีรู้ว่าเขาจะพันผ้าที่มือของเธอให้ ก็ส่ายหน้า เอามือไปไว้ด้านหลัง“ไม่ต้องหรอกค่ะประธานนัทธี แต่หนังถลอกเฉยๆ ไม่รุนแรง”

“ไม่รุนแรง?”สายตานัทธีดูเย็นชา ดึงข้อมือของเธอมาทันที แล้วพลิกฝ่ามือของเธอ

ฝ่ามือของเธอเปื้อนเลือดไปหมด ผิวถลอกออกมา มองแล้วก็ตกใจ มารุตยังทนไม่ไหวที่จะถอนหายใจออกมา

“คุณบอกผมสิ นี่เรียกว่าไม่รุนแรงเหรอ?”นัทธีมองวารุณีด้วยใบหน้าเย็นชา

ปาจรีย์ที่อยู่ห่างเขาหนึ่งที่ได้ยินคำพูดของเขา ในที่สุดก็ไม่เอาแต่จ้องมองไปที่ประตูห้องฉุกเฉินแล้ว หันหน้ามองไปที่ฝ่ามือของวารุณี

มือฝ่ามือของเธอที่แทบจะถูกเศษกระจก แทงลงไปเกือบหมด ก็เม้มริมฝีปากแล้วพูดโน้มน้าว“วารุณี เธอก็พันผ้าตามที่ประธานนัทธีพูดเถอะ เธอเป็นดีไซเนอร์ มือจะบาดเจ็บไม่ได้นะ”

คำว่าดีไซเนอร์นี้ ทำให้วารุณีประนีประนอมทันที หลังจากพยักหน้า ก็นั่งลงไปที่นัทธีตบลงเมื่อกี๊อย่างเชื่อฟัง

ใบหน้าเย็นชาของนัทธีดีขึ้นเยอะ เปิดถุงแล้วหยิบของในถุงออกมา เริ่มล้างแผลให้ที่ฝ่ามือเธอ

มารุตกับปาจรีย์ก็ไม่อยู่เฉย ช่วยยื่นสำลี ตัดผ้าก๊อซให้ ส่วนวารุณีกลายเป็นคนเดียว ที่อยู่เฉยๆถูกคนปรนนิบัติ

พันผ้าเสร็จ นัทธีปล่อยมือของวารุณี“โอเค ช่วงนี้อย่าเพิ่งโดนน้ำ ไม่งั้นจะอักเสบได้”

วารุณีลูบหลังมือของตัวเอง พยักหน้าไปมา“ฉันเข้าใจแล้ว”

ตอนนี้เธอยังรู้สึกได้ว่า หลังมือของตัวเอง ทิ้งอุณหภูมิในฝ่ามือของเขาไว้อยู่

“คุณไปสืบหน่อยว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ของพงศกร เป็นอุบัติเหตุหรือว่าอะไรกันแน่ แล้วก็ ไปดูที่โรงพักด้วย จัดการเรื่องรถของพงศกร”นัทธีมัดถุงเรียบร้อยแล้วยื่นให้มารุต กำชับมารุตไป

มารุตรับมา กำลังจะตอบรับ ปาจรีย์ก็เบียดเขาเข้ามา ยืนตรงหน้านัทธี โค้งตัวสุดๆให้นัทธี“ขอบคุณค่ะประธานนัทธี”

นัทธีมองปาจรีย์ที่ตอบสนองมากอย่างนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น

ผู้หญิงคนนี้ หรือว่ารู้สึกอย่างนั้นกับพงศกร?

เหมือนจะอ่านความคิดของนัทธีได้ วารุณีจึงพยักหน้าให้เขา

ดวงตาของนัทธีมีประกายแวบเข้ามา แล้วก็หายวับไปในพริบตา ตอบกลับเบาๆ“ไม่เป็นไร”

ปาจรีย์ลุกขึ้น กลับไปนั่งลงตรงที่นั่งเมื่อครู่ แล้วรอผลช่วยชีวิตต่อไป

ไม่รู้ว่ารอนานแค่ไหน ในที่สุดไฟที่ประตูห้องฉุกเฉิน ก็ดับลง

ปาจรีย์เป็นคนแรกที่พบ ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา แล้วไปยืนอยู่กลางประตูทันที สายตาล็อกแน่นไปที่ช่องว่างระหว่างประตู

ประตูเปิดออก พิชิตออกมาจากด้านใน

ปาจรีย์จับเขาไว้“หมอคะ พงศกรเป็นอย่างไรบ้าง?”

พิชิตตกใจกับปฏิกิริยาที่รุนแรงของเธอ กำลังจะถามว่าเธอเป็นใคร ก็เห็นนัทธีกับวารุณีข้างหลังเธอ ในใจก็เข้าใจเลยว่าเป็นเพื่อนของวารุณี จึงชักมือออกมาเบาๆ ตอบว่า“วางใจเถอะ เขาไม่เป็นไรอะไร แค่กระดูกหักไม่กี่ชิ้น แล้วก็สมองมีการกระทบกระเทือนบ้าง บำรุงสักเดือนสองเดือนก็จะดีขึ้นครับ”

“เหรอคะ!”ปาจรีย์เอามือกุมไว้ที่หน้าอก ยิ้มออกมา

วารุณีเดินไปอยู่ข้างเธอ ตบไหล่ของเธอ“ปาจรีย์ ดีจัง พงศกรไม่เป็นไรแล้ว”

“อือ”ปาจรีย์เอาหน้าซุกไปที่หน้าอกของวารุณี ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

วารุณีตบหลังของเธอ ปลอบอย่างไร้เสียง

นัทธีมองฉากนี้อย่างไรอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองเห็นตำแหน่งที่ปาจรีย์ซุกลงไป สายตาก็หม่นลงเล็กน้อย ความกดอากาศรอบตัวต่ำลงอย่างมาก

พิชิตตระหนักได้ แว่นตาสะท้อน มองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความหยอกล้อ

“นัทธี มองไม่ออกจริงๆนะ ว่าแม้แต่ผู้หญิงแกยังจะหึง”พิชิตเอื้อมไปที่ข้างหูนัทธี พูดเสียงเบา

นัทธีใช้ศอกกระทุ้งเขาออกไปอย่างเย็นชา

พิชิตถูกกระแทกโดนซี่โครง เจ็บจนร้องโอ๊ยออกมา จับตรงนั้นไว้แล้วงอเอวลง

วารุณีกับปาจรีย์ได้ยิน ก็แยกออกจากกันแล้วมองไปที่เขาทั้งคู่

“คุณหมอพิชิตคุณเป็นอะไรคะ?”วารุณีถามอย่างแปลกใจ

พิชิตมองนัทธีแวบหนึ่งที่ยังคงดูเย็นชา ฝืนยิ้มออกไป“ผมไม่เป็นไร แค่ปวดท้องเล็กน้อยครับ ไปก่อนนะครับ แป๊บเดียวคุณหมอพงศกรก็จะย้ายไปที่ห้องธรรมดาแล้ว พวกคุณไปเยี่ยมเขาได้ที่ห้องคนไข้นะครับ”

“ค่ะ ขอบคุณที่คุณหมอพิชิตเตือนนะคะ”ปาจรีย์พยักหน้าอย่างขอบคุณ

พิชิตส่ายมือ ส่งสายตา‘แกร้ายมาก’ให้นัทธี แล้วจึงออกไป

สิบนาทีต่อมา อย่างที่พิชิตบอก พงศกรถูกเข็นออกมา ส่งไปที่ห้องพักคนไข้ธรรมดา

หลังจากส่งไปที่ห้องคนไข้ ปาจรีย์ก็เฝ้าพงศกรอยู่ข้างเตียงตลอด กุมมือของเขาไว้ไม่ไปไหน สายตาที่มองเขา เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งและกังวล

วารุณียืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้รบกวนเธอ

นัทธีพิงขอบประตูห้องคนไข้ หรี่ตาลงมองไปที่วารุณี มองเห็นสภาพเธอที่โทษตัวเองและทำอะไรไม่ได้ ริมฝีปากบางๆก็เม้มเข้า แล้วก็ละทิ้งความคิดที่จะออกไป

ช่างเถอะ เขาอยู่นี่เป็นเพื่อนเธอสักพักละกัน รอเธออารมณ์ดีขึ้นหน่อยค่อยกลับไปหานวิยา

สามคนในที่นั่นต่างไม่พูด ในห้องคนไข้ที่ใหญ่โต นอกจากเสียงดังติ๊ดติ๊ดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก

จนโทรศัพท์ของวารุณีดังขึ้น ความเงียบในห้องก็ถูกทำลาย

วารุณีรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า นัทธีละสายตาลงมองหน้าจอของเธอ เป็น‘บ้าน’โทรมา

น่าจะเป็นวรยา หรือว่าอารัณ

จริงๆด้วย พอวารุณีรับสาย ก็พูดไปที่ปลายสายนั้นว่า“ฮัลโหลอารัณ”

“หม่ามี๊ หนูไอริณเอง หม่ามี๊อยู่ไหนคะ ทำไมยังไม่กลับมาอีก หนูกับพี่หิวแล้ว”เสียงเจื้อยแจ้วของไอริณดังเข้ามา ฟังแล้วทำให้คนใจละลาย

ใบหน้าวารุณีเต็มไปด้วยความขอโทษ“ขอโทษนะลูกรัก หม่ามี๊มีเรื่องยุ่งนิดหน่อย”

นัทธีมองเธออย่างแปลกใจเล็กน้อย

เธอไม่คิดจะบอกเรื่องของพงศกร กับลูกทั้งสองคน?

“แบบนี้นี่เอง งั้นหนูยกโทษให้หม่ามี๊ แต่ว่าหม่ามี๊จะกลับมาเมื่อไหร่กันแน่คะ?”ไอริณเบะปากแล้วถาม

อารัณก็ยืนอยู่ข้างเธอ เอาหูไปแนบติดไมค์โทรศัพท์บ้านกับเธอ ก็แค่ที่แนบติดอยู่นั้นเป็นด้านหลังไมค์

วารุณีมองนาฬิกา จึงพบว่าบ่ายโมงแล้ว ไม่น่าล่ะลูกทั้งสองคนบอกว่าหิว

ตอนที่วารุณีเตรียมจะตอบว่าเดี๋ยวอีกสักพักตัวเองจะกลับไป ปาจรีย์ที่อยู่ข้างเตียงก็หันมา“วารุณี เธอกลับไปก่อนเถอะ”

“แต่ว่าพงศกร……”สายตาวารุณีมองไปที่เตียง

นัทธีหรี่ตาลง

ทำไม เธอยังคิดจะอยู่ดูแลเขาที่นี่เหรอ?

“ไม่เป็นไร พงศกรมีฉันอยู่นะ มีเด็กอยู่บ้านแค่สองคน นานขนาดนี้ เธอไม่ห่วงเหรอ?”ปาจรีย์ยิ้มให้วารุณี

วารุณีโดนเธอพูดอย่างถูกใจ อ้าริมฝีปากออก ไม่พูด

เธอไม่วางใจจริงๆ

“งั้นโอเค เดี๋ยวฉันมาอีกทีตอนมืดหน่อย”วารุณียกมุมปากขึ้น

ปาจรีย์ตอบอือ แล้วก็หันหน้ากลับไป

วารุณีเอาโซ่กระเป๋าบนไหล่ดึงขึ้นมา เงยมองที่นัทธี“ประธานนัทธี จะไปด้วยกันไหม?”

นัทธีพยักหน้า“แน่อยู่แล้ว”

เขาก็ไม่อยากเห็นพงศกร แล้วก็ไม่สนิทกับปาจรีย์ จะอยู่นี่ทำไม

ที่เขาอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ ก็เพราะว่ามีเธออยู่

ทั้งสองคนปิดประตูห้องคนไข้เบาๆแล้วออกไป

ในลิฟต์ นัทธีเสนอว่าจะไปส่งเธอกลับเอง ก็ถูกวารุณีปฏิเสธเสียงแข็ง

พงศกรก็ไปส่งเธอแบบนี้ แล้วเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา ตอนนี้ผลกระทบทางจิตใจเธอยังไม่หายไป ยังไม่กล้าให้เขาไปส่ง

ถ้าเขาไปส่งเสร็จ แล้วเกิดเรื่องเหมือนกันจะทำอย่างไร?

วารุณีดื้อแบบนี้ นัทธีก็หมดหนทาง ได้แต่มองเธอเรียกรถออกไปด้วยสายตาหม่นลง

เธอไปแล้วไม่นาน มารุตก็จัดการเรื่องที่เขาสั่งเสร็จแล้วกลับมา

“เป็นไงบ้าง สืบมาเรียบร้อยยัง?”นัทธีเดินไปที่ห้องคนไข้ของนวิยาไป ถามไปด้วยเบาๆ

มารุตตามอยู่ด้านหลังเขา ขมวดคิ้วตอบกลับว่า“สืบได้แล้วครับ อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นฝีมือคนทำ”