ตอนที่ 69: เงื่อนไข

หลินจื้อซือพลันกดปุ่มวางสายและมองไปยังนาฬิกา ตอนนี้เหลือเวลาเพียงยี่สิบนาทีเท่านั้นก่อนการประลองจะเริ่มขึ้น นอกจากนี้ หัวหน้าแก๊งเต่าดำก็มาถึงที่นี่แล้ว แต่ทว่า เสี่ยวเฉิงอยู่ที่ไหนกันล่ะ?

อันที่จริง ไม่ใช่แค่หลินจื้อซือเท่านั้นที่สับสน แต่ยังรวมไปถึงผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่จากกรมตำรวจและเหล่าทหารจากกองทัพภาคที่แปดด้วย ทุกคนต่างก็มองไปรอบกายและสอดส่องเพื่อมองหาเสี่ยวเฉิง

หลินจื้อซือพลันอธิษฐานอยู่ในใจ เธอคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าเสี่ยวเฉิงไม่โผล่มาที่นี่ เพราะถ้าเขาหนีไปเสียตอนนี้ เสี่ยวเฉิงก็อาจจะรอดชีวิตได้

“หมอนั่นจะมาไหมเนี่ย?” หรานจิงพลันถามขึ้น

“ถึงฉันจะกลัวว่าหมอนั่นจะตายก็เถอะ.. แต่ถ้าเขาเซ็นสัญญายอมรับการประลองแลกชีวิตแล้วแต่ไม่ยอมมา ฉันจะกลับไปบ่นให้หูชาเลย คอยดู!”

“ดูจากท่าทีแล้ว บางทีเขาอาจจะไม่มาก็ได้นะ” หลินจื้อซือพลันตอบกลับ

หรานจิงและเซินเหยาพลันหันหน้าไปมองหลินจื้อซือด้วยความตกใจ “ดูจากท่าที? เธอพูดเหมือนกับสนิทกับเสี่ยวเฉิงงั้นแหละ…”

หลินจื้อซือพลันกระพริบตาและตอบกลับทันที “ไม่ใช่แบบนั้น ฉันก็แค่รู้สึกว่า… หัวหน้าแก๊งเต่าดำเองก็มีชื่อเสียงแล้วก็โด่งดังพอตัว เสี่ยวเฉิงอาจจะใช้เวลาสองวันที่เหลืออยู่คิดทบทวนเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นและตัดสินใจที่จะไม่มาก็ได้”

ทันใดนั้น หรานจิงก็พลันเงยหน้าขึ้นและมองไปยังชายร่างสูงที่กำลังยืนอยู่ตรงทางเข้าสนามกีฬา เลือนร่างของเขาพลันถูกสาดส่องไปด้วยแสงแดด หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนภายในสนามกีฬาก็พลันสังเกตเห็นเขาในทันใด

“เขามาแล้ว!” หรานจิงพลันตะโกน

ทั้งเซินเหยาและหลินจื้อซือต่างก็หันไปมองตรงประตูทางเข้า พวกเธอเห็นเสี่ยวเฉิงยืนอยู่พอดี หลังจากที่ยืนสูบบุหรี่เสร็จแล้ว เสี่ยวเฉิงก็พลันโยนก้นบุหรี่ทิ้งลงถังขยะและเดินเข้ามาในสนามกีฬาพร้อมกับถอดเสื้อคุมจนเผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีขาว

ทั้งนี้ สนามกีฬาขนาดใหญ่แห่งนี้ก็ได้มีการจัดวางเก้าอี้และที่นั่งอยู่รอบเวทีประลอง ระหว่างที่เสี่ยวเฉิงกำลังเดินขึ้นไปบนเวที ปรมาจารย์หยานก็กำลังนั่งกอดอกและหลับตาทำสมาธิอยู่

เสี่ยวเฉิงยืนอยู่บนเวทีประลองและมองไปรอบกาย อันที่จริง เขาไม่คาดคิดเลยว่าหลินจื้อซือจะมานั่งอยู่ที่นี่ด้วย แม้ว่าเธอจะสวมหมวกและแว่นกันแดด แต่เสี่ยวเฉิงก็พลันจดจำเธอได้แทบจะทันที

ทันทีที่ผู้บังคับบัญชาสบตากับเสี่ยวเฉิง เขาก็พลันพยักหน้าให้

“ถึงฉันจะยังไม่รู้จักหมอนั่นมากเท่าไหร่ แต่ดูจากที่หมอนั่นเคยไปหาเรื่องกับพวกแก๊งเสือขาวที่คาสิโน ฉันก็คิดเอาไว้แล้วแหละว่าเขาจะต้องมาแน่” เซินเหยากล่าวพร้อมเผยยิ้มในระหว่างที่กำลังมองไปยังเสี่ยวเฉิงบนเวที

หลินจื้อซือพลันมองไปยังเสี่ยวเฉิงพร้อมกับบ่นพึมพำ “เขาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ สินะ”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทั้งหรานจิงและเซินเหยาก็พลันรู้สึกสับสนอีกครั้ง “เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ?”

หลินจื้อซือพลันรีบเปลี่ยนประเด็นอย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไรหรอกน่า ฉันก็แค่คิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใจกล้ามากเลยน่ะ”

หลินดงพลันลุกขึ้นและโบกมือไปยังเสี่ยวเฉิงพร้อมกับตะโกนให้กำลังใจ

“ฉันพนันฝั่งนายไปเยอะเลยนะ! ยอมใช้เงินเก็บทั้งหมดเดิมพันเลยด้วย!”

“ไอ้เด็กนั่นปัญญาอ่อนหรือเปล่า? เอาเงินทั้งหมดไปพนันกับเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนคนนั้นเนี่ยนะ?” ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นายน้อยหยุนและพรรคพวกก็ต่างหัวเราะเยาะเย้ย

นอกจากนี้ คนอื่นรอบเวทีต่างก็พากันหัวเราะเช่นกัน “หมอนั่นยังเด็กแล้วก็ดูจะไร้เดียงสาเกินไปหน่อย ไม่รู้เรื่องก็คงจะไม่แปลกหรอกน่า ปรมาจารย์หยานน่ะ… ฆ่าพวกนักสู้มือฉมังมานับไม่ถ้วนแล้ว ถ้าเขาไม่มีพละกำลังและโหดเหี้ยมขนาดนั้น เขาก็คงจะก่อตั้งแก๊งเต่าดำขึ้นมาไม่ได้หรอก ขนาดกฎหมายในอดีตยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย…”

“นายพูดถูก! เดิมพันกับเสี่ยวเฉิงก็เหมือนกับการเอาเงินไปเผาทิ้งนั้นแหละ ถึงแม้ว่าปรมาจารย์หยานจะออกจากแก๊งเต่าดำไปนานแล้ว แต่ฉันมั่นใจมากว่าเขาต้องเอาชนะแล้วก็ปลิดชีพไอ้เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนกระจอกนั่นได้แน่!”

“หลินดง… นั่งลงเดี๋ยวนี้เลยนะ” พี่ใหญ่พลินพลันตะโกนดุขึ้นมา

ทว่า หลินดงก็พลันชูนิ้วกลางให้พวกนายน้อยหยุนก่อนที่จะนั่งลง

ในระหว่างที่ปรมาจารย์หยานลืมตาขึ้น เขาก็พลันเห็นเสี่ยวเฉิงยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับถอดเสื้อแจ็คเก็ตออก ไม่นานนัก เขาก็พลันกล่าวคำพูดขึ้น “ยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีนะ อยากจะพูดอะไรสั่งเสียก่อนตายหน่อยไหมล่ะ?”