หลังจากเหตุการณ์เซฟเวอร์สาขาตะวันออกเฉียงเหนือได้ยกพวกไปหาเหล่าพยัคฆ์ฟ้าเพื่อเจรจาให้คนกลุ่มดังกล่าวเลิกทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้จบลง เซฟเวอร์ก็กลับไปทำหน้าที่ดั้งเดิมของตน นั่นคือการตามหาเสบียงและผู้รอดชีวิตแล้วพากลับมายังศูนย์อพยพ พ่วงกับการดูแลเสบียงและทำงานจิปาถะที่ศูนย์อพยพ

ก็จริงที่มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนอยู่แล้วสำหรับหน่วยหลักที่ทำหน้าที่ต่อสู้ กับหน่วยสนับสนุนที่รับทำหน้าที่อื่นอยู่ที่ฐานหลัก แต่ในบางกรณีก็มีข้อยกเว้นอยู่

ยกตัวอย่างเช่นในสถานการณ์ที่เป็นคืนจันทร์เต็มดวงซึ่งมีความยาวนานหนึ่งสัปดาห์แบบนี้ การให้คน ๆ นึงออกไปสำรวจและต่อสู้ทุกวันตลอดสัปดาห์นั้นจะสร้างภาระทางร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก จึงต้องมีการแบ่งกำลังหน่วยหลักออกเป็นสองส่วนไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วสลับกันไปทำหน้าที่ โดยอาจมีหน่วยสนับสนุนเข้ามาร่วมด้วยเพื่อให้หน่วยหลักมีเวลาพักฟื้นอย่างเหมาะสม

แล้วในกรณีของพวกทัตที่ออกลุยมาสองวันติดแถมเจอกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดจนเกือบจะกลายเป็นสงครามก็ยิ่งสร้างภาระทางจิตใจมากกว่าปกติเสียอีก ด้วยเหตุนั้นระดับผู้บัญชาการหลายคนจึงลงความเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องสลับให้คนที่ออกลุยตั้งแต่วันแรกได้มีเวลาพักผ่อนเสียบ้าง

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทัตกับพิมซึ่งเป็นหน่วยหลักได้ย้ายมาทำงานจิปาถะตั้งแต่เช้าในวันรุ่งขึ้นแทนที่จะเตรียมตัวไปออกสำรวจอย่างที่ทำมาตลอดสองวัน

ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังอยู่ในห้องเก็บของของโรงพยาบาลเพราะถูกไหว้วานให้มาช่วยตามหาของที่จำเป็นต้องใช้

“ไอ้ที่เขาขอมาคือพวกเครื่องครัวกับเสื้อผ้าใช่ไหม?” หลังเดินเข้าห้องเก็บของมาด้วยกันทัตก็เอ่ยถามยืนยันกับพิม แม้จะมั่นใจแต่ก็ถามกันไว้ก่อนเพื่อความรอบคอบ

“อื้ม! น่าจะอยู่แถวนี้นี่แหล่ะ”

พิมว่าแบบนั้นแล้วก็เดินเตาะแตะนำเข้าไปในห้องเก็บของก่อนทัต

ถ้านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอกทัตก็คงจะรีบห้าม แต่ก็ลืมไปว่าที่นี่ไม่มีมอนสเตอร์ มือที่เอื้อมไปทางพิมถึงหยุดลงก่อน

ให้ตายสิ… กังวลเกินไปหน่อยแล้วมั้ง

ดูท่าที่บอกให้พักนี่จะสมเหตุสมผลแล้วล่ะ

ทัตคิดแบบนั้นแล้วก็เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะจะว่าไปครั้งล่าสุดที่ได้พักอย่างสบายใจก็คือเมื่อสามวันก่อน ตั้งแต่คืนที่เจสันปรากฏตัวขึ้นแล้วท้าสู้กับเขา ตลอดจนเหตุการณ์ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เจอบอสคิงมิโนทอร์ไปจนถึงตอนที่เผชิญหน้ากับพวกพยัคฆ์ฟ้า ทัตเพิ่งจะมีโอกาสได้พักจริง ๆ วันนี้เป็นวันแรก

ถ้าเทียบกับสถานการณ์ปกติที่พอเหตุการณ์มอนสเตอร์จบลงในตอนเช้า กลางคืนหนที่สองที่เป็นปกติก็จะกลับมาให้มีเวลาพักผ่อนแล้วแบบนี้มันโหดหินกว่ากันเยอะเพราะเหมือนต้องรับศึกทุกวัน พอเป็นแบบนั้นแล้ว การจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของพิมมากกว่าปกติก็คงเป็นเรื่องธรรมดา

“มัวทำอะไรอยู่เล่า! รีบมาช่วยฉันขนของหน่อยสิ!”

“…รู้แล้ว ๆ”

เขาพยายามปลอบใจความขี้กังวลของตัวเองแบบนั้นในขณะที่เดินไปตามเสียงเรียกของพิม

แต่ในขณะที่ทัตเป็นห่วงความปลอดภัยของพิมไปตามประสา สิ่งที่เขากังวลอยู่ในหัวอีกอย่างก็คือเรื่องน้องสาวของเขา

“เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย?” ในขณะที่แบกกล่องออกจากห้องเก็บของ พิมก็สังเกตเห็นบางอย่างด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิงเช่นเคย

“…ไม่หรอก ก็คิดอะไรไปเรื่อยนั่นแหล่ะ”

“เอ๋?〜”

แต่ทัตก็ไม่ยอมปริปากเช่นเคยทำเอาพิมรู้สึกหงุดหงิดและยิ่งทำให้เธออยากรู้เข้าไปอีก

“…หืม”

แต่พอสังเกตสีหน้าของทัตดี ๆ… จะเห็นได้ว่าทัตไม่ได้อมทุกข์เหมือนกับตอนที่ครุ่นคิดเรื่องครอบครัวตามปกติ แถมดวงตาของเขาก็ไม่ได้สั่นระรัวอย่างสับสนด้วย นั่นจึงอาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าความกังวลนั้นเป็นเพียงธรรมชาติของร่างกาย แต่ในแง่ของจิตใจนั้น บางทีทัตคงตัดสินใจเรื่องที่จะทำไปแล้ว พิมถึงสัมผัสความลังเลจากดวงตาของเขาไม่ได้เลย

“ว่าไปแล้ว หลังจากยกของเสร็จเราจะทำไรดีอ่ะ?” เพราะแบบนั้นพิมเลยเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องอื่นแทน จะว่าโล่งใจกับเรื่องของทัตแล้วก็ด้วย แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่อยากเซ้าซี้ในเรื่องที่ทัตตัดสินใจไปแล้วมากกว่า

ทางทัตเองก็สัมผัสได้ว่าพิมอาจจะคิดอย่างนั้นจึงตามน้ำอย่างว่าง่าย

“นั่นสินะ ใช้เวลานั่งพักกันสองคนแล้วคุยเรื่อยเปื่อยซะบ้างก็ไม่เลวหรอกนะ” ทัตคิดอะไรไม่ออกนอกจากเรื่องที่ทำเป็นปกติแบบนั้น

“หืม… แค่สองคนสินะ” แต่ดูเหมือนการเลือกใช้คำจะไปสะกิดต่อมบางอย่างของพิมเข้า

“นี่กะจะเก็บฉันไว้คนเดียวเลยเหรอ? นี่คิดว่าฉันเป็นของนายไปแล้วรึไงกัน?”

เธอถึงได้ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา นั่นทำให้ทัตรู้สึกประหม่าเอาเรื่องเหมือนกันแต่ก็พยายามเก็บอาการไว้อยู่

ไอ้การถูกแกล้งแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีโอกาสก็จริง แต่ทัตก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากเป็นเบี้ยล่างไปตลอดนัก เพราะมันเสียทั้งศักดิ์ศรีและเชิงชาย เขาถึงรู้สึกอยากจะเอาคืนรอยยิ้มกวน ๆ ของพิมกลับเสียบ้าง

“ไม่รู้สินะ… ก็เธอเล่นเกาะติดฉันซะขนาดนั้น ไม่ใช่เธอเองหรอกเหรอที่เก็บฉันไปเป็นของส่วนตัวน่ะ” ทัตพูดเหมือนกับจะบอกว่าคนที่เข้าหาตนก่อนจนทำให้เขาคิดแบบนั้นคือพิมต่างหาก

แต่ต่อให้มันเป็นความจริงก็ไม่ได้หมายความว่าสาวน้อยหัวแข็งคนนี้จะยอมรับได้

“…ฮึ่ย! ถ้าลำบากใจขนาดนั้นฉันไม่อยู่ด้วยก็ได้หรอก” นอกจากนี้ คำพูดนั่นยังไปกระตุ้นศักดิ์ศรีของพิมด้วยเหมือนกัน เธอถึงได้ขมวดคิ้วแน่นด้วยความหงุดหงิด แล้วเริ่มทำเป็นแง่งอน

อย่างจงใจ… เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าทัตต้องหาจังหวะเอาคืนเธอแน่ ๆ แต่ถ้าตอกกลับด้วยสีหน้าอารมณ์แง่งอนทัตจะต้องให้ความสำคัญกับการปลอบและง้อเธอมากกว่าจะเอาชนะเธออย่างแน่นอน

เธอที่คิดไว้แล้วว่ายังไงทัตก็ต้องยอมอ่อนข้อให้เธอแน่ถึงได้แอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจราวกับชัยชนะอยู่แค่เอื้อม

คิดจะทำให้ฉันใจเต้นเหรอ? ยังเร็วไปสิบปีย่ะ! นั่นคือสิ่งที่พิมคิด

จนกระทั่ง…

“แบบนั้นก็แย่สิ” แล้วทัตก็อ่อนข้อให้เธอจริง… เพียงแต่ด้วยปฏิกิริยาแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ด้วยใบหน้าราวกับลูกหมาถูกทิ้งที่ทั้งน่าเอ็นดู น่าสงสารและน่าหลงใหลในเวลาเดียวกัน (สำหรับพิม)

“ถ้าเธอไม่อยู่ด้วย… ฉันจะเหงาเอานะ”

ทัตที่ตอบกลับด้วยใบหน้าเหงาสุดใจราวกับโหยหาพิมมากขนาดนั้นถึงได้ทำให้พิมรู้สึกใจเต้นขึ้นมาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ และกว่าจะรู้ตัวพิมก็โดนหมัดตรงเข้าให้แล้ว

“…นายนี่มันร้ายกาจที่สุดเลย”

เธอถึงได้หลบหน้าทัตไปมองผนังแทนที่จะดูทางเดิน แต่ถึงพยายามจะหลบยังไง ใบหูที่กำลังแดงจนเป็นเนื้อแตงโมนั่นก็หลบซ่อนไปจากสายตาของทัตไม่ได้อยู่ดี

ทัต 1 – 0 พิม

ต้องแบบนี้สิ!

หลังเห็นสภาพของพิมเป็นแบบนั้นทัตก็แอบกำหมัดแห่งชัยชนะไปหนึ่งที

…ถึงคะแนนที่แอบคิดอยู่ในใจจะไม่นับครั้งที่พิมแกล้งเขาสำเร็จอันเป็นจำนวนมหาศาลที่ผ่านมาก็เถอะ

“โอ๊ะ! นั่นฝ้ายนี่นา”

ในจังหวะที่คิดอะไรไร้สาระอยู่ในหัว ก็เป็นตอนที่ฝ้ายกับสมาชิกเซฟเวอร์อีกสองคนกำลังเดินเข้ามาหา แต่แน่นอนว่าไม่ได้มาหาทัตกับพิม มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นที่ทั้งสามคนเดินผ่านมาทางห้องโถงทางเดิน

นั่นเลยเป็นจังหวะให้พิมเปลี่ยนเรื่องปรับอารมณ์ตัวเองใหม่ด้วย ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้

“หวัดดีน้องฝ้าย!”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่พิม”

พอเดินสวนกันพิมก็โบกมือทักทายอย่างเป็นกันเอง ในขณะที่ฝ้ายนั้นโค้งหัวให้อย่างมีมารยาท อีกครั้งที่ทัตแยกไม่ออกว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกคุณหนู

“อรุณสวัสดิ์นะฝ้าย”

“…อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฝ้ายตอบกลับก่อนจะเดินสวนผ่านกันไป

อย่างไรก็ดี… ในตอนที่ทัตเอ่ยทักทายฝ้ายบ้าง ปฏิกิริยานั้นกลับแตกต่างกับครั้งของพิม

ก็จริงที่ฝ้ายตอบกลับทัต แต่นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากที่เธอมองทัตแล้วหันไปทางอื่น พูดง่าย ๆ ว่าในตอนที่เอ่ยทักทายเธอไม่ได้มองหน้าทัตเหมือนอย่างที่ปฏิบัติกับพิม

นั่นเป็นข้อแตกต่างอันละเอียดอ่อนที่ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่เห็น… แต่ก็ต้องขอบคุณที่ทัตเป็นคนคิดมาก… เป็นคนละเอียดอ่อนนั่นแหล่ะถึงสังเกตเห็น

และท่าทางแบบนั้นคือภาษากายที่เป็นที่รู้จักในภาษาชาวบ้านว่า

“โดนหลบหน้าแหล่ะ”

“ไม่ต้องตอกย้ำก็ได้”

พิมเป็นอีกคนที่สังเกตเห็นจึงพูดออกมาในจังหวะที่มองตามแผ่นหลังของฝ้ายพร้อมกับทัต แต่พอเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้วเลยยิ่งทำให้ทัตรู้สึกหงุดหงิด

อาจเพราะถ้ามันกลายเป็นความจริงขึ้นมา เขาก็คงจะรู้สึกเสียใจไม่น้อยหากน้องสาวอย่างฝ้ายหมดความสนใจจากเขาไปทั้งแบบนี้ นั่นจึงยิ่งทำให้ภาพครอบครัวในอุดมคติของทัตห่างไกลจากความเป็นจริงมากยิ่งขึ้นไปอีก

…แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว

“!!?”

เพราะในจังหวะที่ฝ้ายเดินห่างออกไปไกลจนถึงจุดที่คิดว่าทัตไม่น่าจะมองอยู่ เธอก็หันกลับมามองทัตเสียอย่างนั้น แต่พอเห็นว่าทัตกับพิมมองอยู่เธอก็รีบหันหน้ากลับไปในบัดดล

นั่นจึงไม่ใช่ท่าทางของคนที่กำลังหลบหน้าเพราะไม่ชอบหรือไม่สนใจ แต่หลบหน้าเพราะความลำบากใจหรือสับสนเสียมากกว่า

“จะว่าไป ตั้งแต่เมื่อวานก็ดูเงียบ ๆ มาตลอดเลยนี่นา …ถึงปกติจะดูสงบเสงี่ยมอยู่แล้วก็เถอะ”

“นั่นสินะ”

ทัตพยักหน้ารับคำพิม ถึงแม้เธอจะดูเหมือนไม่ค่อยสนใจอะไรนอกจากสิ่งที่ต้องการ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป

หรือไม่อย่างนั้น… ที่เธอสนก็เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสุขของทัต

แต่ไม่ว่าจะยังไง เรื่องท่าทีของฝ้ายก็เป็นที่น่ากังวลอยู่

บางทีคงเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานแน่ ๆ… ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะ แต่หลังจากเกิดเรื่องเมื่อวาน ตอนกลับมาฝ้ายก็ทำหน้าแบบนั้นมาตลอด

ก็จริงที่มันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรา แต่พูดตรง ๆ ก็รู้สึกอยากจะเข้าไปยุ่งเพราะเป็นห่วงอยู่ดี

เพราะถ้ามันเกี่ยวกับเราขึ้นมาจริง ๆ มันคงไม่ดีแน่ถ้าเรามัวแต่อยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลย

และถ้าปล่อยให้ความรู้สึกกระอักกระอ่วนพวกนี้ยืดเยื้อออกไป… ฝ้ายอาจจะกลายเป็นอีกคนที่เราไม่กล้าคุยด้วยก็ได้

แถมเราเองก็ตัดสินใจไปแล้ว… ว่าต่อให้รู้สึกกลัว หรือกังวลว่าฝ้ายอาจจะไม่ได้เป็นคนอย่างที่เราคิด

แต่ถึงแบบนั้น เราก็จะยอมรับในตัวของฝ้ายให้ได้!

ถ้าไม่ทำตามที่คิดล่ะก็… มันจะไปมีประโยชน์อะไรที่ตัดสินใจแบบนั้นลงไปแล้วกันล่ะ!

ทัตคิดแบบนั้น ย้ำเตือนตัวเองถึงสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานหลังทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตัวเองอย่างเต็มที่

แน่นอนว่าความกลัวยังมีอยู่ แต่ที่มียิ่งกว่าคือความต้องการที่อยากจะทำความเข้าใจ และความรู้สึกเหล่านั้นแหล่ะคือสิ่งที่ผลักดันทัตเข้าหาฝ้าย

“นี่… คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าวันนี้ฉันขอยกเลิกเรื่องที่จะอยู่กับเธอไปก่อนน่ะ”

เพราะตัดสินใจไปแบบนั้นและตัดสินใจว่าจะทำในวันนี้… ทัตถึงได้พูดแบบนั้นกับพิมในขณะที่ยังเดินขนกล่องไปตามทางอยู่

แต่นั่นก็ใกล้เคียงกับคำว่าขออนุญาตมากกว่าจากน้ำเสียงกึ่ง ๆ เกรงใจของทัต

“หืม… เอาเถอะ ถ้านายตัดสินใจไปแล้วฉันจะเป็นกำลังใจให้ก็แล้วกันนะ”

ส่วนทางด้านของพิมนั้นคิดแค่ครู่เดียวก็ตอบกลับทัตแทบจะทันที แน่นอนว่าเธอไม่ได้โกรธหรือแง่งอนอะไรที่เขาให้ความสำคัญกับน้องสาวมากกว่าตัวเธอด้วย

กลับกัน พิมสนับสนุนทัตสุดตัวเสียด้วยซ้ำ และเพราะเธอมีจุดที่รู้ว่าควรจะให้ความสำคัญกับอะไรนี่แหล่ะ ทัตถึงได้หลงใหลพิมนักหนา

“แล้วยังไงนายก็ขาดฉันไม่ได้อยู่แล้วนี่นา เดี๋ยวจัดการเรื่องที่ต้องทำเสร็จนายก็วิ่งแจ้นกลับมาหาฉันเองแหล่ะ”

แต่นอกเหนือจากเรื่องนั้นก็คือเรื่องเกลียดความพ่ายแพ้นี่แหล่ะที่ศีลเสมอกันกับทัต… เธอถึงได้ถือโอกาสนี้ยิ้มยียวนออกมาอีก พร้อมกับคำพูดที่พยายามหยอกล้อทัตตามเคย

“…ก็รู้ดีนี่นาคนสวย” ทัตรู้แบบนั้นก็เลยตอกกลับด้วยหมัดตรงอีกครั้งเสีย

“ฮ๊ะ! เดี๋ยวนะ บะบะ แบบนี้มันมากเกินไปแล้วไม่ใช่รึไง!? นี่นายปากเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!? ถึงจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ!” แต่ดูเหมือนรอบนี้จะรุนแรงมากเกินไปหน่อย เพราะมันทำให้พิมทำหน้าเหวอออกมาเลย แน่นอนว่าด้วยใบหน้าที่ถูกแต้มเป็นสีแดง

“ไม่ปฏิเสธเลยสินะ”

“งึ่ย งึ่ย งึ่ย… จำไว้เลยนะ!”

พิมเริ่มหงุดหงิดจนพ่นลมออกจากจมูก แต่ด้วยใบหน้าที่กำลังเขินอาย นั่นทำให้ดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว อย่างน้อยก็สำหรับทัตคนนึงที่คิดแบบนั้น

❖❖❖❖❖

————ทางฝั่งของฝ้าย, ภายในห้องทำงานส่วนตัวของเธอ

หลังจากที่ถูกไหว้วานให้ไปช่วยตรวจสอบเสบียงคงคลังเพื่อยืนยัน รวมถึงเพื่อรับทราบว่าเสบียงที่มีอยู่จะเพียงพอสำหรับผู้อพยพไปอีกกี่วัน ฝ้ายก็กลับมายังห้องทำงานของตัวเองซึ่งเป็นห้องพักในตัว

ด้วยความที่เธอรับหน้าที่เป็นหัวหน้าประจำสาขาภูมิภาค งานส่วนใหญ่จึงเป็นงานประเมินสถานการณ์และกลยุทธิ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มหรือการเอาตัวรอด รวมถึงติดตามข่าวเรื่องกลุ่มนอกคอกที่อยู่ในขอบเขตรับผิดชอบของตัวเองด้วย

ห้องทำงานที่ว่านั่นก็ไม่ใช่ห้องอื่นใดนอกจากหนึ่งในห้องของผู้บริหารโรงพยาบาล ความหรูหราพร้อมความอเนกประสงค์ที่จำเป็นจึงมีครบครัน ทั้งโซฟา โต๊ะทำงานและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะประสิทธิภาพสูง

ซึ่งโดยปกติ ฝ้ายก็จะอัพเดทสถานการณ์พวกนั้นลงฐานข้อมูลของเซฟเวอร์ไปตามหน้าที่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย หากแต่วันนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมันดูเป็นกังวลผิดกับทุกทีทั้งที่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องระวังเรื่องอากัปกิริยาเพราะอยู่ในห้องเพียงคนเดียวแท้ ๆ

“เฮ้อ…”

แถมนอกจากกังวลแล้วเธอยังเผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วย จนถึงตอนนี้เธอคงเพิ่งจะรู้ตัวว่าความรู้สึกบางอย่างมันกดแน่นในอกของเธอมากจนเกินกว่าจะรับไหว นั่นแหล่ะคือสิ่งที่บั่นทอนเธออยู่

แล้วพอฝ้ายสัมผัสความกังวลของตัวเอง สาเหตุก็ปรากฏขึ้นในหัวของเธอทันที

…นั่นคือสีหน้าตกตะลึงของทัตเมื่อวานหลังได้เห็นว่าเธอทำยังไงกับพวกนอกคอกที่ไม่ยอมรับฟังการเจรจา

ลืมไปซะสนิทเลยว่ามีพี่ทัตอยู่ด้วย

ถึงจะช่วยไม่ได้เพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำก็เถอะ… แต่ไม่อยากให้พี่เขาเห็นตัวเราที่เป็นแบบนั้นเลยแฮะ

แถมพี่ทัตก็ยัง… ทำหน้ากลัวเราอีก

“เฮ้อ…”

ฝ้ายคิดแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกก่อนจะเอนหลังกับเก้าอี้พนักพิงนุ่ม ๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ผ่อนคลายอารมณ์ของเธอลงจากความกังวลในอกเลยสักนิด

ใจจริงเธอเองก็อยากจะถามกับทัตตรง ๆ เพื่อจะได้แก้ความเข้าใจผิด เพราะเธอนั้นไม่ได้ต้องการจะถูกทัตตีตัวออกห่างไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ครั้นจะให้เอ่ยปากถามออกไปก่อนก็กลัวว่าทัตจะไม่อยากคุย

นี่จึงกลายเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปแทน

ก็อก! ก็อก!

ในระหว่างที่กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะช่วยดึงสติของฝ้ายกลับมา

ได้ยินดังนั้น ฝ้ายก็รีบดีดแผ่นของตัวเองจนตรงเป็นไม้บรรทัดพร้อมกับพยายามปรับอารมณ์ตัวเองใหม่ในทันที อย่างน้อยในฐานะหัวหน้าของทุกคนในที่แห่งนี้เธอไม่สามารถแสดงความหวั่นไหวให้ใครเห็นได้

ทว่าอันที่จริง เธอก็แค่รำคาญเวลาคนอื่นมายุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอโดยไม่จำเป็นมากกว่า

…แต่แน่นอนว่าทุกเรื่องนั้นมีข้อยกเว้น

“นี่พี่เองนะฝ้าย”

“พี่ทัต!?”

และทัตเองก็เป็นหนึ่งในข้อยกเว้นนั้น ฝ้ายถึงได้ไม่เก็บอาการตกตะลึงในตอนที่ทัตแง้มประตูเข้ามาในห้องของเธอ

ไม่สิ… ที่จริงมันน่าจะกลับกันมากกว่า กล่าวคือฝ้ายตกตะลึงจนเก็บอาการไม่อยู่เมื่อสาเหตุความกังวลอย่างทัตเป็นฝ่ายเข้าหาเธอเอง

จะว่าดีใจก็ใช่ เพราะมันหมายความว่าทัตไม่ได้ตีตัวออกห่าง แต่ในขณะเดียวกันก็กังวลเช่นกันว่าเขามาหาด้วยสาเหตุอะไร

แต่นั่นก็แค่จังหวะแรกเท่านั้น… พอตั้งสติได้ ฝ้ายก็กลับมาสงบเสงี่ยมเหมือนปกติในทันทีและทิ้งอารมณ์พวกนั้นไว้เบื้องหลังก่อนจะทำทีเป็นทำงานตามปกติเหมือนให้ความสนใจงานมากกว่า

เป็นเวลาเดียวกับที่ทัตเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง

“พอดีมันใกล้เที่ยงแล้วน่ะ… เธอจะว่าอะไรรึเปล่าถ้าพี่จะชวนกินมื้อเที่ยงด้วยกัน”

“เอ๊ะ”

ทีแรกก็คิดไปว่าทัตคงมาด้วยเรื่องธุระของเซฟเวอร์ แต่ดูเหมือนนั่นจะผิดจากที่คาดฝ้ายถึงได้หลุดตกใจออกมาเป็นหนที่สอง

แถมพอรู้ว่าทัตมาด้วยเรื่องส่วนตัวและพยายามเข้าหาเธอ มันก็ยิ่งทำให้ฝ้ายรู้สึกดีใจขึ้นมา รวมถึงโล่งอกด้วย แต่เธอก็พยายามปลอบใจตัวเองเหมือนกันว่าอย่าคิดเข้าข้างตัวเองมากนัก

“ได้อยู่แล้วค่ะ… หนูจะดีใจมากเลยค่ะถ้าพี่ไม่รังเกียจ”

“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก ขอบใจนะ”

“…ค่ะ”

ฝ้ายตอบในขณะที่พยายามหลบเลี่ยงแก้มที่กำลังแดงไปทางอื่น ต้องขอบคุณที่ทัตไม่ได้เข้ามาใกล้ขนาดนั้น เขาถึงไม่ได้มีโอกาสสังเกตเห็นฝ้ายที่กำลังดีใจจากการที่ทัตบอกออกมาเองว่าไม่ได้รังเกียจที่จะร่วมโต๊ะกินข้าว

เพราะสำหรับทัตที่ชอบทำเป็นเย็นชาก็ไม่ใช่เป็นห่วงก็ไม่เชิงมาตลอด… นี่คงเป็นเครื่องบ่งชี้อย่างดีว่าทัตไม่ได้เกลียดฝ้าย อย่างน้อยก็ในมุมมองของเธอ

และเพราะฝ้ายตอบรับคำชวน ทัตก็เลยอาสาไปเอาข้าวเที่ยงมาเผื่อส่วนของฝ้ายด้วยเพื่อมากินในห้องนี้ แน่นอนว่าฝ้ายเองก็รู้สึกแปลกใจที่ได้ยินแบบนั้น เพราะนึกว่าทัตจะชวนไปนั่งกินด้วยกันกับพิมเสียอีก แต่ถึงจะสงสัยฝ้ายก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาเลย

ซึ่งในมุมมองของทัตนั้นช่วยได้มาก เนื่องจากเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไงหากถูกถามเรื่องนั้นขึ้นมา

เพราะถ้าจะให้บอกว่าอยากจะคุยเรื่องของ ‘ตัวเอง’ ในบริเวณที่เป็นส่วนตัวแค่กับฝ้าย มันก็ดูจะเป็นการหยิ่งผยองเกินไป

แม้ในมุมมองของฝ้าย… นั่นจะเป็นเรื่องที่เธออยากรู้ที่สุดก็ตามที

…นี่จึงเป็นที่มาของมื้อเที่ยงระหว่างสองพี่น้องที่หันมานั่งร่วมโต๊ะกันตรงโซฟารับแขกในห้อง แม้เฟอร์นิเจอร์จะมีความหรูหรา แต่ด้วยความที่อาหารเป็นเพียงข้าวกล่องธรรมดาเลยไม่รู้สึกว่าเป็นแบบนั้น

แถมการนั่งในตำแหน่งข้าง ๆ กันแทนที่จะเป็นตรงข้ามกัน มันก็ให้ความรู้สึกเป็นกันเองมากกว่าทางการด้วย

“จะว่าไป ช่วงนี้ฝ้ายได้ดูหอกพิฆาตอสูรบ้างรึเปล่า? ค่อนข้างดังพอตัวเลยนะ แถมช่วงนี้เนื้อเรื่องก็กำลังเข้มข้นด้วย” ในระหว่างที่ทานอาหาร ทัตก็มีถามสารทุกข์สุกดิบไปเรื่อยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบเกินไป แต่ว่า…

“…ขอโทษนะคะ แต่หนูไม่เคยดูเลย ถึงจะเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างก็เถอะ” แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่เรื่องที่ฝ้ายสนใจ และที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะทัตไม่ค่อยรู้เรื่องของฝ้ายนั่นแหล่ะ

…แม้ใจจริงฝ้ายเองจะพยายามเค้นสมองเต็มที่เพื่อต่อบทสนทนาแล้วก็ตามที

“ระ เหรอ…”

เห็นได้ชัดเลยว่าการสนทนามันไม่ค่อยราบรื่นอย่างที่ทัตคิดและฝ้ายหวังเท่าไรนัก

ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้ว… เพราะถ้าจะว่ากันตามตรง ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนค่อนข้างห่างเหินกัน แต่จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะฝ้ายก็พยายามเข้าหาทัตอย่างสนิทสนม ทางด้านของทัตเองก็ไม่ได้ปฏิเสธและช่วยเหลือฝ้ายด้วยความเต็มใจและเป็นห่วงด้วย ถ้ามองตรงจุดนั้นทั้งสองคนอาจจะสนิทกว่าพี่น้องสายเลือดแท้ทั่วไปด้วยซ้ำ

แต่ก็เพราะทัตรู้สึกกระอักกระอ่วนเรื่องครอบครัวเลยสนิทกับฝ้ายไม่ได้ดั่งใจ ส่วนฝ้ายเองก็คิดไปว่าการที่ทัตทำแบบนั้นกับตนเป็นเพราะรำคาญหรือไม่ชอบจึงพยายามรักษาระยะห่าง

นั่นเลยทำให้ทั้งสองคนสนิทกันไม่ได้จริง ๆ เสียที

ดังนั้น ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้ช่องว่างของทั้งสองคนยังมีอยู่… ก็คงเป็นเรื่องที่คาใจและใจจริงของอีกฝ่ายนี่เอง

“จะว่าไป น้องกังวลเรื่องอะไรอยู่รึเปล่า พอดีเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีตั้งแต่เมื่อวานแล้วน่ะ” หลังกินข้าวกล่องคำสุดท้ายทัตก็เริ่มเข้าประเด็น แน่นอนว่าเป็นเรื่องของฝ้าย

“…อย่างนั้นเองเหรอคะ”

ที่เขาพูดแบบนั้นก็เพราะอยากให้ฝ้ายรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอ แต่ดูเหมือนมันจะให้ผลตรงกันข้ามแทนด้วยสาเหตุที่ทัตยังไม่เข้าใจ ดูจากสีหน้าที่หมองลงของฝ้ายก็รู้

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ฝ้ายว่าแบบนั้นก่อนจะวางช้อนพลาสติกใส่ข้าวกล่องที่ว่างเปล่าไปแล้ว

“ขอบคุณที่มาชวนทานข้าวเที่ยงด้วยกันนะคะ หนูรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยล่ะค่ะ” ฝ้ายว่าแบบนั้นแล้วก็หันมายิ้มบาง ๆ ให้ เหมือนทำไปเพื่อให้ทัตโล่งใจแต่เจ้าตัวอย่างฝ้ายกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นตาม

รอยยิ้มนั้นถึงแฝงด้วยความเหงามากกกว่าจะไม่เป็นไรอย่างที่ปากว่า

และสาเหตุของเรื่องนั้น บางที… อาจเป็นเพราะฝ้ายเริ่มคิดว่าการที่ทัตชวนเธอมากินข้าวเที่ยงด้วยกันมันไม่ใช่ด้วยความสิเนหาอย่างที่หวัง หากแต่เขามาเพราะเห็นว่าฝ้ายแปลกไปจากทุกที

ฝ้ายเองก็พอจะรู้อยู่ว่าทัตเป็นพวกที่ทำในเรื่องที่จำเป็นต้องทำและยึดถือสิ่งเหล่านั้นเป็นข้อปฏิบัติ การชวนเธอมากินข้าวเที่ยงจึงอาจไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากการทำ ‘สิ่งที่จำเป็นต้องทำ’ มากกว่าจะเป็น ‘สิ่งที่อยากทำ’ ก็เป็นได้ เธอถึงได้รู้สึกเสียดายและผิดหวัง

เพราะใจจริงของฝ้าย… เธอคงอยากให้ทัตมากินข้าวเที่ยงกับเธอโดยไม่มีเหตุผลอะไรแบบที่พี่น้องทั่วไปเขาทำกันมากกว่า แต่ดูเหมือนนั่นจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองอย่างที่คิดไปก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

นั่นเลยเป็นเหตุผลให้เธอผิดหวัง… ไม่ใช่ในตัวทัตแต่เป็นตัวของเธอเองที่ไม่สนิทกับทัตมากพอจะพูดเรื่องนั้นได้อย่างตรงไปตรงมา

“ถ้างั้น หนูขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะคะ”

ฝ้ายพูดจบก็ลุกขึ้นจากที่นั่งข้าง ๆ ทัตในทันทีก่อนจะโค้งหัวให้ตามปกติ เธอกลับมาแสดงท่าทีเกรงใจทัตอีกครั้งจนเขาสังเกตได้

ทัตเองก็ใช่ว่าจะไม่สังเกต แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีด้วยระยะห่างที่ทั้งสองคนมี

…และเพราะไม่เข้าใจนี่แหล่ะถึงได้อยากเข้าใจ แต่ก่อนที่อยากจะรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย เขาก็จำเป็นต้องเผยส่วนของตัวเองออกมาก่อน

นั่นคือมารยาทและสิ่งที่จำเป็นต้องทำในมุมมองของทัต

“ที่จริงแล้ว พี่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานใหม่ของพ่อหรอก”

ทัตจึงปรับน้ำเสียงเป็นจริงจัง แต่ด้วยความกะทันหันนั่นเลยทำให้ฝ้ายหยุดเท้าของตัวเองลง

ด้วยเนื้อความที่สัมผัสได้ถึงความจริงจังและไร้ซึ่งการปรุงแต่งของทัตทำให้ฝ้ายสัมผัสได้ถึงใจจริง เธอที่มองตรงเข้าไปในดวงตาของทัตสัมผัสเรื่องนั้นได้

และไม่ว่ามันจะกะทันหันแค่ไหน แต่นั่นก็ไม่มากพอเท่ากับความอยากรู้อยากเข้าใจในตัวทัตของฝ้าย

ความกังวลในใจของเธอที่มีมาตลอดเกี่ยวกับทัตถึงหายไปหมดแล้วนั่งลงที่เดิมด้วยความที่อยากจะเข้าใจในตัวทัต

นั่นเพราะฝ้ายรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าการคิดเรื่องของทัตเองคงเปล่าประโยชน์… นั่นเพราะทัตกำลังจะบอกมันเองเดี๋ยวนี้แล้ว

ทางด้านทัตนั้นพอเห็นว่าฝ้ายให้ความสนใจเต็มที่ เขาก็พยายามปรับอารมณ์ตัวเองอีกครั้ง

…เพราะสำหรับทัตที่เก็บกดความรู้สึกของตัวเองมาตลอด ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันที่จะก้าวข้ามความอ่อนแอของตัวเอง

“ฝ้ายคงรู้สินะว่าแม่ของพี่ป่วยตายไปก่อนจะแต่งงานใหม่น่ะ”

“ค่ะ หนูพอจะรู้อยู่” ฝ้ายพยักหน้าตอบ ดูเหมือนฝ้ายเองก็รู้เรื่องของทัตพอตัวแม้จะไม่เคยคุยกันเรื่องนี้มาก่อน นั่นจึงทำให้ง่ายต่อทัตที่จะพูดต่อ

“ช่วงนั้นมันหดหู่มากเลยล่ะ… ก็นะ ตอนนั้นพี่เพิ่งจะอายุ 12 ขวบด้วยแหล่ะ”

ทัตพูดแล้วก็หัวเราะแห้ง ๆ เหมือนสมเพชความอ่อนแอของตัวเองในวัยเด็กก่อนจะพูดต่อ โดยมีฝ้ายมองใบหน้าด้านข้างของเขาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“ในตอนนั้น… วันนึงอยู่ดี ๆ พ่อก็บอกว่าจะแต่งงานใหม่” กระทั่งเล่าถึงตรงนั้น น้ำเสียงของทัตก็สั่นระรัวจนสังเกตได้ชัดเจน อาจเพราะนั่นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตก็ได้

ไม่สิ… คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทัตกลายเป็นคนแบบนี้มากกว่า

และเพราะทัตดูทรมานขนาดนั้น พอรู้สึกตัวอีกทีฝ้ายก็เอื้อมมือมาสัมผัสมือของทัตที่กุมกันอยู่ไปแล้ว นั่นถึงทำให้ทัตเพิ่งรู้สึกตัวว่ามือของตัวเองกำลังสั่น แต่มันก็ผ่อนคลายลงแล้วด้วยฝีมือของน้องสาวของเขาที่กำลังมองมาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ

“ตัวพี่ในตอนเด็กน่ะ… คิดได้แค่ว่าพ่อกำลังลืมแม่แล้วไปมีผู้หญิงคนใหม่ ก็แค่ความคิดแบบเด็ก ๆ น่ะ” ทัตเอ่ยแล้วก็ถอนหายใจด้วยอารมณ์ย้อนแย้ง เพราะถ้าเขาคิดอย่างนั้นจริงก็คงไม่ต้องเป็นทุกข์หลังจากที่เขาโตแล้ว

“แต่… ก็เพราะคิดแบบนั้นแต่ไม่ได้พูดออกมานั่นแหล่ะเลยเก็บกดความรู้สึกโกรธและเกลียดการมีครอบครัวใหม่เอาไว้ด้วย” นั่นคือที่มาของความย้อนแย้งที่แสดงออกมาเมื่อครู่ ฝ้ายเข้าใจเรื่องนั้นหลังทัตพูดเรื่องต่อไป

“พอโตขึ้นแล้วมันก็ทำให้เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้นก็จริง… ทั้งคุณเฟรย์ที่ใจดี อบอุ่นแล้วก็ทำหน้าที่แม่ได้ดีมาก หรือฝ้ายเองที่ถึงดูภายนอกจะเงียบ ๆ แต่ก็เอาใจใส่คนในครอบครัวเป็นอย่างดีแม้แต่กับพี่ แต่ทั้งอย่างนั้นความรู้สึกขุ่นมัวพวกนี้มันก็ยังไม่ยอมหายไปอยู่ดี เพราะไม่ได้จัดการอย่างเหมาะสม… เพราะไม่ได้พูดออกมานั่นแหล่ะ”

ทัตพูดแล้วก็เผลอเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ไม่รู้เป็นเพราะตั้งใจหลบหน้าฝ้ายเพราะกลัวความคิดของเธอที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง หรือเป็นเพราะไม่อยากให้น้ำที่กำลังรื้นในดวงตาเปลี่ยนเป็นน้ำตาอย่างน่าสมเพชต่อหน้าน้องสาว

ไม่สิ… บางทีคงเป็นทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ

และเพราะทัตดูเจ็บปวด มือที่ฝ้ายกุมอยู่ถึงถูกเพิ่มขึ้นเป็นสอง… ฝ้ายกุมมือของทัตด้วยมือทั้งสองข้างของเธอแน่นขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้

“พอโตขึ้น ก็ได้รู้แล้วว่าช่วงเวลาที่เสียแม่ไป พ่อเองก็คงลำบากมามากเหมือนกัน… พอได้รู้แบบนั้นก็เลยคิดว่ามันไม่จำเป็นที่ต้องพูดออกมา เพราะมันอาจทำให้พ่อกังวลมากไปอีก แถมตอนนี้ทั้งคุณเฟรย์ทั้งฝ้ายเองก็มีความสุขดีด้วย” ทัตพูดออกมาอย่างเหงา ๆ เพราะครอบครัวสุขสันต์ที่เขาบรรยายออกมานั้นไม่มีเขารวมอยู่ในนั้นด้วย

“แล้วยิ่งได้เห็นแบบนั้น มันก็รู้สึกว่าไม่ควรพูดออกมาเข้าไปใหญ่… ทั้งพ่อกับคุณเฟรย์ที่เข้ากันได้ในเวลาไม่นาน หรือฝ้ายที่คุ้นเคยกับบ้านหลังใหม่ได้เร็ว ช่างแตกต่างกับคนที่ปรับตัวไม่ได้อย่างพี่… พี่ก็เลยรู้สึกแปลกแยกเพราะเหมือนเป็นคนเดียวที่เข้ากับครอบครัวใหม่ไม่ได้ รู้สึกเหมือนเป็นคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ในบ้านเลยล่ะ นั่นแหล่ะที่พี่รู้สึก”

ทัตพูดถึงตรงนั้นแล้วถอนหายใจออกมาด้วยเสียงสั่น ๆ ก่อนจะเงียบไปนานพอดู นั่นเพราะพูดในสิ่งที่อยากจะพูดจบแล้ว แม้ความทรมานที่อยู่ในอกมันจะยังไม่จบลงไปด้วยก็ตาม

“น่าสมเพชใช่ไหมล่ะ เหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่มีผิดเลย” ทัตเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ในขณะที่หันไปมองฝ้ายด้วยแววตาเศร้าสร้อย แต่ฝ้ายที่เห็นแบบนั้นสะบัดหน้าปฏิเสธทันที

“เรื่องนั้นไม่จริงเลยค่ะ… ที่ไม่เคยพูดออกมาก็เพราะพี่พยายามที่จะไม่เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอคะ?” ฝ้ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พอทัตรู้ตัวอีกทีเธอก็ขยับเข้ามานั่งจนตัวชิดกันแล้ว บางทีเธอคงเป็นห่วงทัตมากกว่าที่เขาคาดเอาไว้

“นั่น… ก็ใช่”

หลักฐานของเรื่องนั้น อย่างน้อยเรื่องนึงก็คือเธอไม่ได้ดูแคลนความคิดของทัต และอย่างน้อย ๆ ก็เห็นด้วยกับวิธีที่ทัตใช้แม้มันจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาก็ตาม

“แต่ว่า พอจะเข้าใจแล้วล่ะค่ะ… ว่าทำไมพี่ถึงทำเหมือนเย็นชากับหนู”

“อื้ม พี่ขอโทษด้วยนะ มันเป็นไปของมันเองน่ะ”

ทัตพูดเหมือนแก้ตัว แต่คิดว่าฝ้ายที่ฟังเรื่องราวไปแล้วน่าจะเข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้ไม่ชอบฝ้าย แต่ไม่ชอบการแต่งงานใหม่ของพ่อมากกว่า ฝ้ายที่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนั้นเลยพลอยทำให้ทัตรู้สึกอยากจะหลีกเลี่ยงไปด้วย

…การเว้นระยะห่างจากฝ้ายจึงไม่ใช่ผลลัพธ์โดยตรง แต่เป็นผลพลอยเสียต่างหาก

“หรือว่า… ที่ย้ายออกไปอยู่คนเดียวก็เพราะเรื่องนี้ด้วยเหรอคะ” ฝ้ายตงิดใจเรื่องนั้นมาตลอด และเพิ่งจะมาเข้าใจเหตุผลเอาตอนนี้

“…ใช่ ขอโทษด้วยนะ”

“อย่าขอโทษเลยค่ะ ไม่ใช่ความผิดของพี่ซะหน่อย”

อีกครั้งที่ฝ้ายบอกปัดทุกคำขอโทษของทัต เห็นได้ชัดเลยว่าเธอแคร์เขามากแค่ไหน และอย่างน้อย ๆ ก็มากกว่าที่ทัตคิดไว้

น้องสาวบุญธรรมที่แสนเย็นชาเป็นแค่ภาพลวงตาจริง ๆ สินะ… ทัตยืนยันเรื่องนั้นได้และมั่นใจขึ้นว่าฝ้ายห่วงใยเขาจริง ๆ หลังจากพูดเรื่องทั้งหมดออกไป เขาคิดขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจทำแบบนี้ไม่น้อย

แต่ที่สำคัญที่สุด…

“ขอบคุณนะฝ้าย”

ทัตขอบคุณฝ้ายด้วยรอยยิ้มโล่งอกและปลอดโปร่ง นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาทำให้ได้ในตอนนี้ อย่างน้อยก็เรื่องที่เธอรับฟัง ยอมรับ เห็นใจและเข้าใจ นั่นคือทุกอย่างที่เขาต้องการจากฝ้ายแล้ว

และด้วยการเผยรอยยิ้มแบบที่ฝ้ายไม่เคยได้รับ นั่นทำให้ฝ้ายเองก็รู้สึกโล่งอกเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยเธอก็รู้แล้วว่าอะไรทำให้ทัตเป็นแบบนี้ และได้รู้แล้วด้วยว่าทัตไม่ได้เกลียดหรือรำคาญเธอเลย

…ทว่านั่นเป็นในมุมมองของฝ้ายที่มีต่อทัตเท่านั้น

แต่ที่ฝ้ายอยากรู้นอกเหนือไปจากนี้ คือความรู้สึกของทัตที่มีต่อ ‘เธอ’ มากกว่า ซึ่งเรื่องนั้นจะชัดเจนขึ้นหากทัตเองก็รู้เรื่องของเธอมากกว่าตอนนี้เช่นกัน

“จะว่าไป… พี่สงสัยสินะคะว่าทำไมช่วงที่แต่งงานใหม่หนูถึงเข้ากันกับบ้านใหม่ได้เร็วนัก” ฝ้ายเริ่มพูดแบบนั้นออกมาหลังเห็นว่าทัตปรับอารมณ์ตัวเองได้แล้ว เธอเองก็ผละมือออกมาแล้วกลับไปนั่งด้วยท่าทางเรียบร้อยเหมือนเดิมเพื่อดูปฏิกิริยาของทัต

“ใช่… ว่าไปแล้วก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้พี่คิดว่าตัวเองแปลกด้วย ก็ขนาดเด็กที่อายุน้อยกว่าอย่างเธอยังปรับตัวได้เลยนี่นา… แต่ไม่ต้องรีบหรอกนะ ไว้บอกพี่เมื่อพร้อมก็ได้”

และในส่วนของเนื้อหา แน่นอนว่าทัตสนใจแน่นอน เพราะเขาพูดเรื่องของตัวเองไปก็เพื่อให้มีโอกาสได้ถามเรื่องราวของฝ้าย แต่ดูเหมือนฝ้ายเองก็มีเรื่องที่อยากจะบอกทัตเหมือนกันพอดี

แถมถ้าดูจากน้ำเสียงและสีหน้าของฝ้าย… อารมณ์เดียวกันที่ทัตมีในตอนเล่าเรื่องนั้นดูเหมือนจะถูกสื่อออกมามากกว่าด้วย

อาจเพราะแบบนั้น ทัตเลยสัมผัสได้ว่าฝ้ายตัดสินใจจะทำแบบเดียวกันกับตน

“ตอนที่อยู่บ้านหลังเก่า… อดีตสามีของคุณแม่หนูเขาชอบใช้ความรุนแรงน่ะค่ะ” ฝ้ายพูดแบบนั้นในขณะที่กำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกหลากอารมณ์ แต่หนึ่งในนั้นคือความโกรธไม่ผิดแน่

“ต้องขอบคุณคุณแม่ที่คอยปกป้อง หนูเลยไม่ได้เป็นอะไร… แต่ก็เพราะแบบนั้นเลยเป็นสาเหตุให้หย่าร้างน่ะค่ะ”

เนื้อหาอันหนักหน่วงออกมาจากปากของเด็กสาวตัวเล็ก ๆ อย่างฝ้าย แต่เธอกลับพูดราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาด้วยสีหน้าเรียบเฉยทำเอาทัตรู้สึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

ไม่สิ… บางทีคงเป็นเพราะฝ้ายผ่านเรื่องพวกนี้มาแต่เด็กนั่นแหล่ะ เธอถึงได้มีบุคลิกเงียบขรึมเหมือนผู้ใหญ่เจนโลกแบบนี้

อย่างนี้นี่เอง เพราะเห็นภาพความรุนแรงแต่เด็กก็เลยเคยชินไปเองอย่างช่วยไม่ได้สินะ

เรานี่มันเสียมารยาทจริง ๆ ที่รู้สึกกลัวเธอโดยที่ไม่รู้อะไรเลย

ทัตอดรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองไม่ได้หลังได้ยินเรื่องราว และเพราะแบบนั้นเขาถึงพยายามจะแก้ความรู้สึกของตัวเองเสียใหม่

“…น้องเองก็ผ่านเรื่องร้ายมาเยอะสินะ พี่ขอโทษนะที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย” ทัตจึงเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด อย่างน้อยก็สำหรับเรื่องที่ไม่ได้สนใจในตัวฝ้าย ทั้งที่ทางฝ้ายพอจะรู้เรื่องของเขาบ้างแท้ ๆ

“อย่าใส่ใจเลยค่ะ”

หลังสะบัดหน้าไม่รับคำขอโทษอีกครั้ง ฝ้ายก็ยิ้มให้ทัตราวกับทิ้งเรื่องพวกนั้นไว้เบื้องหลังแล้ว อาจเพราะแบบนั้นก็ได้ สีหน้าเป็นทุกข์ถึงไม่ปรากฏเลยสักนิด ดูเหมือนเรื่องเจ็บปวดในอดีตจะไม่ได้มีผลกับความรู้สึกของฝ้ายในตอนนี้แล้ว

“แต่ก็เพราะแบบนั้นแหล่ะค่ะหนูเลยไม่อาวรณ์กับบ้านหลังเก่าเท่าไหร่… ตอนที่มาอยู่บ้านหลังใหม่ เทียบกับพี่แล้วหนูคงเหมือนตกถังข้าวสารเลยล่ะค่ะ”

ฝ้ายพูดต่อพร้อมกับยิ้มติดตลก เหมือนกำลังจะบอกว่าเรื่องที่เล่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เธอปรับตัวกับบ้านหลังใหม่ได้ไวกว่าทัต รอยยิ้มนั่นถึงทำให้ทัตโล่งใจไปเปราะนึง

“แต่ว่า… ทำไมฝ้ายถึงไว้ใจฉันกับพ่อทั้งที่ผ่านเรื่องแบบนั้นมาล่ะ? จำได้ว่าแค่ไม่กี่สัปดาห์เธอก็ยิ้มออกมาแล้วนี่นา”

“…จำเรื่องแบบนั้นได้ด้วยเหรอคะ”

คำถามของทัตแทนที่จะทำให้ฝ้ายแปลกใจ แต่มันกลับทำให้เธอประหลาดใจ… และประทับใจ

ทั้งยังหวนให้นึกถึงช่วงที่เธอก้าวข้ามผ่านบางอย่างมาได้เมื่อครั้งอดีต และเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกผูกพันกับคนอื่นนอกจากแม่ของเธอ

เป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ… แต่ทั้งแบบนั้น ทัตกลับสังเกตเห็นและจดจำมันได้ ฝ้ายถึงได้ดีใจจนไม่รู้จะบรรยายและแสดงออกมายังไง

แม้สำหรับทัตแล้วมันจะดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฝ้าย เธอถึงได้รู้สึกเหมือนคำพูดของทัตเป็นการปลดล็อคบางอย่างในใจเธอ

ทน… ไม่ไหวแล้ว

อาจเพราะแบบนั้น… ความรู้สึกบางอย่างที่กักเก็บมาตลอดของฝ้ายถึงได้เริ่มมาถึงจุดที่ล้นปรี่ แม้พยายามเลื่อนมือขึ้นมาถึงอกและกุมเสื้อบริเวณนั้นไว้ราวกับพยายามอดกลั้นแต่มันก็ถึงจุดที่ทนไม่ไหวอีกแล้ว

ความรู้สึก… ที่มีต่อทัตตลอดมา

“เพราะคุณพ่อใจดีก็ด้วย… แต่หลัก ๆ ก็เพราะพี่ทัตนั่นแหล่ะค่ะ”

“ฉันเหรอ?”

ฝ้ายพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทำให้ทัตแปลกใจก็ส่วนนึง แต่เนื้อหานั้นน่าแปลกใจมากกว่า เพราะทัตจำไม่เห็นได้เลยว่าทำอะไรที่ส่งผลกับความรู้สึกของเธอขนาดนั้น

ในขณะที่ฝ้ายนั้นเริ่มกำมือตัวเองแน่นอีกครั้ง แต่ด้วยสีหน้าแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดี ๆ แถมรอยยิ้มยังเผยออกมาทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไร นั่นถือว่าแปลกสำหรับคนเงียบขรึมอย่างฝ้าย อย่างน้อยก็ในมุมมองของทัต

“เพราะว่าพี่ช่วยชีวิตหนูไว้ค่ะ… หลายต่อหลายครั้งเลย”

“เอ๊ะ!?”

เรื่องที่ฝ้ายพูดออกมาด้วยสีหน้าหวาน ๆ เป็นเรื่องนึงที่น่าตกใจ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือฝ้ายที่ขยับเข้ามาจนชิดทัตมากกว่าก่อนหน้านี้ที่นั่งติดกันเฉย ๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่ควรให้ความสนใจมากกว่าคือความรู้สึกของเธอ เพราะสีหน้าของฝ้ายที่กำลังเอิบอิ่มดีใจในตอนนี้ เต็มไปด้วยสิ่งที่ทัตไม่เคยเห็นมาก่อน

“ตั้งแต่วันแรกที่หนูย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพ่อกับพี่… พอตอนกลางคืนมาถึง พี่คงรู้ใช่ไหมคะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“…อา”

ในตอนที่ฝ้ายพูดถึงเหตุการณ์มอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้นในกลางคืนหนแรก ทัตก็พอจะเดาได้ว่าอะไรเกิดขึ้นถัดจากนั้น

“แม้แต่ตอนนี้หนูก็ยังจำได้ดีเลยค่ะ… ในคืนนั้นมีกระต่ายมีเขายักษ์พังประตูบ้านของเราเข้ามา คุณพ่อกับคุณแม่ถึงแม้จะสับสนกับสถานการณ์แต่ก็พยายามปกป้องเราสองคนจนตาย ส่วนพี่ทัตก็พาหนูหนีไปซ่อนในบ้าน”

“อย่างนั้นเหรอ”

“ค่ะ!”

ฝ้ายพูดเรื่องนั้นออกมาด้วยสีหน้าดีใจเหมือนกับคุยเรื่องหนังสือที่ชอบซึ่งเป็นสีหน้าที่ทัตไม่เคยเห็น ถึงแม้นั่นจะไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนัก แต่ดูเหมือนมันจะมีค่ากับเธอเอามาก ๆ ถึงได้ใช้น้ำเสียงดีใจขนาดนั้น

“ในระหว่างที่ซ่อนอยู่ในบ้าน ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันหาพวกเราเจอได้ยังไง… แต่เพราะถูกเจอ พี่ทัตก็เลยไปสู้กับมันทั้งที่ไม่มีอาวุธในมือ ไม่สิ… พี่ทำเพื่อปกป้องหนูอย่างไม่มีทางเลือกมากกว่า” ฝ้ายเล่าถึงตรงนั้นในน้ำเสียงก็มีความรู้สึกผิดปนอยู่ แต่เธอก็กลับเบียดร่างเข้าหาทัตมากกว่าเดิมอีกด้วยความรู้สึกโหยหาแบบที่สัมผัสได้ชัดเจน

“พี่ทัตพยายามจะล็อคมันไว้… ถึงกับยอมให้เขาของมันแทงทะลุอก เพื่อให้หนูมีโอกาสฆ่ามันได้แบบที่ไม่เป็นอันตราย และที่ให้หนูทำแบบนั้น บางทีพี่ทัตคงเป็นห่วงว่าหลังจากที่ตัวเองตายไป ถ้าไม่ฆ่ามันให้ได้ก่อน เจ้ากระต่ายนั่นคงมาฆ่าหนูต่อล่ะมั้ง หนูถึงคิดว่าพี่ในตอนนั้นสุดยอดจริง ๆ นะคะ”

ฝ้ายเล่าด้วยน้ำเสียงที่ยังมีความรู้สึกผิดอยู่ แต่ที่มากกว่านั้นคือความชื่นชมในการตัดสินใจของทัตเมื่อครั้งอดีต มากกว่าที่เคย

แม้ในตอนปกติ ทัตก็พอจะสัมผัสได้ว่าฝ้ายค่อนข้างเกรงใจและรู้สึกว่าเธอมีความชื่นชมในตัวเขาอยู่บ้าง แต่ทัตไม่คิดเลยว่าเธอจะซ่อนความรู้สึกพวกนี้เอาไว้อีกมากมายถึงขนาดนี้ นั่นถึงทำให้ทัตเริ่มรู้สึกเขินอายกับคำชื่นชมเหล่านั้น

“นี่ฉันทำขนาดนั้นเชียวเหรอ… คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง” ทัตถึงถามด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่ว่า…

“อย่าปฏิเสธเลยค่ะ… พี่ทัตน่ะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากกว่าที่ตัวเองคิดนะคะ”

ฝ้ายสะบัดหน้าปฏิเสธเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ แต่หนนี้เธอทำด้วยรอยยิ้ม

“เพราะนอกจากวันแรกนั้น… ทุก ๆ วันมันก็เป็นแบบนั้นมาตลอด” ฝ้ายพูดต่อ หนนี้ด้วยความรู้สึกผิดที่มากขึ้น แต่ก็ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แรงกล้าขึ้นเช่นกัน พร้อม ๆ กับความแปลกใจของทัตด้วย

“พี่ทัตเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องหนูจากพวกมอนสเตอร์จนถึงเช้าทุกวัน… เพราะงั้นพอรู้สึกตัวอีกที พี่ทัตก็กลายเป็นที่พึ่งพิงของหนูไปแล้ว”

“พึ่งพิงเหรอ?”

ทัตเอ่ยย้ำราวสงสัย อาจเป็นเพราะเขาไม่คิดว่าตนเองเหมาะสมกับคำที่ฝ้ายใช้ก็เป็นได้ เนื่องจากในมุมมองของทัต การปกป้องน้องสาวของตัวเองแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตมันเป็นเรื่องปกติ

แต่ในมุมของฝ้าย… สิ่งที่ทัตทำมันเป็นการทำให้ฝ้ายรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ และอาจไว้ใจถึงขนาดที่สามารถฝากชีวิตได้เลยทีเดียวจากท่าทีที่เธอแสดงออกมา

และเพราะความไว้ใจที่มากมายระดับนั้น สิ่งที่รู้สึกเป็นลำดับถัดมาก็คือความปลอดภัยและความมั่นคง และมันคงไม่แปลกหากรู้สึกว่าอยากอยู่ด้วยกันกับคนที่มีสิ่งนั้น เพราะถ้าได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน ชีวิตประจำวันก็คงจะปกติสุขเป็นแน่แท้ อย่างน้อยก็คงมากกว่าตอนที่อยู่ในบ้านหลังเก่าที่มีแต่ความรุนแรงอย่างแน่นอน

ทัตถึงได้เริ่มเข้าใจความรู้สึกของฝ้ายที่ถูกทัตปกป้อง… ว่ามันคือความรู้สึกที่อยากพึ่งพิงทัตในฐานะที่เป็นครอบครัวเดียวกัน

“หนูน่ะ นอกจากแม่แล้วไม่เคยมีใครปกป้องหนูแบบทุ่มเททั้งชีวิตขนาดนั้นมาก่อน ตอนแรกหนูเองก็ลังเลกับเรื่องครอบครัวใหม่เหมือนกัน แต่พอได้เจอกับพี่… พอพี่คอยปกป้องหนูตลอดแบบเดียวกับที่คุณแม่เคยทำ มันก็เลยทำให้หนูคิดว่าพี่เองก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่สิ… มันทำให้หนูอยากจะเป็นครอบครัวเดียวกันกับพี่ขึ้นมา”

ฝ้ายพูดแบบนั้นด้วยใบหน้าอ่อนหวาน ตอนนี้ทัตเข้าใจแล้วว่าฝ้ายรู้สึกกับเขายังไง ก็จริงที่มันเกินคาดจนน่าตกตะลึง แต่ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เขาเองก็ต้องการจากฝ้ายเลยทำให้ทัตรู้สึกดีใจไม่ต่างกัน

…แต่นั่นยังไม่น่าตกตะลึงเท่ากับสิ่งถัดไปที่ฝ้ายทำ เพราะอยู่ ๆ เธอก็พุ่งเข้ามาซบอกทัตเสียอย่างนั้น

“หนูน่ะ… อยากขอบคุณมาตลอดเลยค่ะ! อยากขอบคุณพี่ที่คอยปกป้องหนู แต่พี่ก็ดันจำอะไรไม่ได้เลย!”

ฝ้ายพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นระรัวเป็นครั้งแรกพร้อมกับความโหยหาที่มากมายถึงขนาดที่เผลอโอบกอดร่างของทัตโดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัว

บางทีเธอคงอยากจะทำแบบนี้… อยากจะสนิทกับเรามาตลอดล่ะมั้ง

เพราะรู้แบบนั้นทัตเลยปฏิเสธหรือผละจากเธอไม่ลงและทำได้แค่สวมกอดกลับไปเบา ๆ

“ที่หนูอยากแข็งแกร่งขึ้น… ก็เพราะหนูอยากจะปกป้องพี่บ้างก็เท่านั้นเองค่ะ!” ฝ้ายพูดแล้วก็กอดทัตแน่นขึ้นไปอีก พอ ๆ กับเสียงที่สั่นระรัวมากยิ่งขึ้นของเธอ

“แต่ว่า… พอทุ่มเทพยายามทำแบบนั้น พอรู้สึกตัวอีกทีก็แข็งแกร่งกว่าคนอื่นไปแล้ว หน้าที่หลาย ๆ อย่างก็ถูกมอบให้โดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ไม่ได้อยากทำแท้ ๆ”

กระทั่งถึงจุดนึง ความรู้สึกยินดีทั้งหลายเหล่านั้นก็เปลี่ยนเป็นน้ำตาที่รื้นขึ้นและหลั่งรินอาบแก้มของเด็กเงียบขรึมอย่างฝ้าย ดูเหมือนเธอจะแบกรับอะไรหลาย ๆ อย่างในจุดที่ทัตไม่รู้และไม่เข้าใจอยู่

“ทั้งที่ความจริงแล้วหนูน่ะ! …ที่หนูต้องการก็มีแค่อยู่เคียงข้างพี่ทัตและปกป้องพี่ให้ได้ก็พอแล้วแท้ ๆ!”

สิ่งที่หนูต้องการมีแค่นั้น! ฝ้ายต้องการจะบอกเรื่องนั้นกับทัตให้รู้ว่ามันสำคัญสำหรับเธอขนาดไหน และเพราะสัมผัสได้ ทัตถึงตอบสนองเธอกลับด้วยแรงกอดที่มากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่อยากให้ฝ้ายรู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นเรื่องสูญเปล่าเหมือนอย่างที่ฝ้ายกำลังตัดพ้ออยู่ตอนนี้

แต่ว่า…

“ทั้งอย่างนั้น… มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเลยสักอย่างเดียว!”

ฝ้ายช้อนตามองทัตด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาและสีหน้าหม่นหมองในแบบที่ไม่เคยเห็นอีกครั้งก่อนจะซบหน้าลงไปที่อกของทัตอีก

ทั้งเพราะไม่อยากให้ทัตเห็น และเพราะไม่อยากเห็นใบหน้าของทัตด้วยความรู้สึกที่ยังขัดแย้งกันอยู่ในอกของเธอ

“ทั้งที่หนูอยากจะตอบแทนแต่ก็พูดออกไปตรง ๆ ไม่ได้! เพราะไม่รู้เรื่อง พี่ทัตก็ยิ่งระแวงและเย็นชาใส่หนู ตอนที่คิดว่าโดนเกลียดพี่ทัตก็มาทำดีกับหนูอีก! แม้แต่ตอนที่หนูจะไปสู้ก็ยังเป็นห่วงทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย! หนูไม่เข้าใจเลยค่ะว่าพี่คิดยังไงกับหนูกันแน่!” ฝ้ายตะโกนเสียงดังลั่นผิดกับทุกที บางทีนั่นคงดังมากจนอาจลอดออกไปข้างนอกได้เลย

แต่ที่มากกว่าปกติคือเสียงสะอื้นที่เริ่มปรากฏชัด… นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอเก็บกดความรู้สึกพวกนี้มานานมากแค่ไหน และทรมานกับมันมานานขนาดไหน

ใช่… ว่าไปแล้วมันก็เหมือนกับทัตที่พยายามจะเก็บความรู้สึกตัวเองเอาไว้โดยไม่พูดออกมาเพราะคิดว่าคงดีกับทุกคนมากกว่าไม่มีผิด

และเพราะรู้ว่ามันทรมานขนาดไหนนั่นแหล่ะ ทัตถึงไม่อยากให้ฝ้ายรู้สึกแบบนั้น แต่สิ่งที่ทัตผู้เป็นสาเหตุที่ทำให้ฝ้ายทุกข์ใจจะทำได้ ก็มีแต่รับฟังเธอ โอบกอดเธอจนถึงที่สุดเท่านั้น

ในตอนนั้นฝ้ายก็เริ่มช้อนตามองทัตอีกครั้ง แต่หนนี้ด้วยสายตาวิงวอนอันเต็มไปด้วยคราบน้ำตาแห่งความเศร้าโศก

“ถ้าหนูเคยทำอะไรไม่ดีหรือยุ่งอะไรมากเกินควรจนทำให้รำคาญ ได้โปรดยกโทษให้หนูเถอะนะคะ” ฝ้ายอ้อนวอน ด้วยดวงตาที่หลั่งรินน้ำตาอันไม่มีแววว่าจะหยุด

“หนูจะเลิกทำเรื่องรุนแรงแบบที่พี่ทัตไม่ชอบก็ได้ ถ้าต้องลงจากตำแหน่งหัวหน้าหนูก็ยอม ไม่ว่าอะไรหนูก็ทำให้พี่ได้! ขอแค่อย่างเดียว… ได้โปรดอย่าเกลียดหนูเลยนะคะพี่!”

ฝ้ายพูดถึงตรงนั้นริมฝีปากก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนพูดอะไรต่อไม่ออกและได้แต่มองเข้าไปในดวงตาของทัต

ว่าไปแล้วมันก็คือความปรารถนาในเบื้องลึกของสาวน้อยคนนี้ และที่ไม่เคยเผยมันออกมาก็เพราะกลัวว่าคำตอบที่ออกมาจากปากทัตมันจะเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการ เพราะงั้นนี่จึงอาจเป็นจุดที่ไม่มีอะไรจะเสียสำหรับเธอแล้วก็ได้ ดวงตาของเธอถึงสั่นระรัวราวกับแก้วที่พร้อมจะแตกเป็นเสี่ยงได้ทุกเมื่อหากทัตไม่ทำให้เธอแน่ใจว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอ

…และเพราะแบบนั้น

“พอแล้วฝ้าย! พี่ขอโทษ! เป็นความผิดของพี่เอง ขอโทษจริง ๆ นะ!”

พอรู้สึกตัว ทัตก็โอบร่างของฝ้ายเข้ามากอดแน่นเสียแล้ว เขาคิดว่าตัวเองช่างโง่เขลาเสียเหลือเกินที่ไม่เคยเห็นคุณค่าที่น้องสาวของตนมอบให้ ทัตถึงได้โอบกอดฝ้ายราวกับเธอเป็นสิ่งสำคัญ

ไม่สิ… เพราะตอนนี้ทัตคิดว่าฝ้ายเป็นแบบนั้นต่างหากเขาถึงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ อย่างน้อยก็เรื่องที่ทำร้ายความรู้สึกของฝ้ายแม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ตัวก็ตาม

“อะไรกัน… ไม่ใช่นะคะพี่ทัต นั่นน่ะไม่ใช่สิ่งที่หนู————”

“ให้พี่ได้ขอโทษเถอะ! พี่มันเห็นแก่ตัวที่สุดที่ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของน้องเลย!”

แม้กระทั่งตอนที่ทัตพยายามจะขอโทษ ฝ้ายก็ยังเห็นแก่ความรู้สึกของทัต แต่นั่นกลับยิ่งเป็นหนามทิ่มแทงอกทัตให้ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก แต่แทนที่จะเอาแต่ขอโทษด้วยน้ำเสียงสั่นพร้อมกับน้ำปริ่มตาที่กำลังรื้น ทัตก็พยายามไม่ให้มันไหลออกมาเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนที่สมควรจะหลั่งน้ำตา

รวมถึงตอนนี้… เขารู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องปลอบโยนน้องสาวไม่ใช่มาทำให้เธอเป็นห่วงและปลอบโยนเขาแทน

“ฝ้าย ที่ผ่านมาพี่ขอโทษที่ทำตัวแย่ ๆ กับเธอนะ” ทัตที่คิดแบบนั้นถึงค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นถึงศีรษะของฝ้ายแล้วเริ่มลูบหัวเธอเบา ๆ เพื่อหวังปลอบประโลม

“…พี่คะ”

ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังของทัตฝ้ายคงมีแต่ต้องยอมรับ เพราะถ้าจะว่ากันตามตรง ต่อให้เคารพรักพี่ชายคนนี้แค่ไหน แต่การที่เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชามันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสร้างบาดแผลและความรู้สึกไม่ดีไว้กับฝ้าย เธอปฏิเสธเรื่องนั้นไม่ได้เพราะได้พูดออกไปและเป็นสาเหตุที่ทำให้ทัตรู้สึกผิด

แต่ความรู้สึกในแง่ลบพวกนั้นมันได้หายไปหมดแล้ว… ด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดอย่างจริงใจของทัต รวมถึงความห่วงใยที่สัมผัสได้ผ่านอ้อมกอด ทำให้เธอเข้าใจว่าเรื่องที่เธอคิดเอาเองว่าโดนทัตเกลียดนั้นมันไม่ใช่ความจริงแม้แต่น้อย

ฝ้ายที่ปลดเปลื้องเรื่องพวกนั้นไว้เบื้องหลังจนเหลือแต่ความรู้สึกดี ๆ แก่ทัต จึงยิ่งออกแรงกอดทัตด้วยความถวิลหามากยิ่งขึ้นไปอีก

“พี่ดีใจมากเลยนะ ที่น้องเองก็รู้สึกอยากจะเป็นครอบครัวเดียวกับพี่น่ะ” ทัตเอ่ยย้ำในจังหวะที่จับไหล่ของฝ้ายเพื่อผละเธอออกไปเล็กน้อย

อาจเพราะเขาอยากพูดกับฝ้ายในขณะที่สบตา และนั่นก็ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าความต้องการที่อยากจะยืนยันความรู้สึกตัวเองกับฝ้ายตรง ๆ

“ความจริง… พี่เองก็ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้าหวังเพราะกลัวว่าจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองจากหลาย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้น”

“ค่ะ… ความรู้สึกนั้นหนูเข้าใจดีเลย”

ฝ้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้มปลอดโปร่ง ดูเหมือนความลังเลและอารมณ์ขุ่นมัวที่มีมาตลอดในหัวใจของเธอจะหายไปแล้วเพราะคำยืนยันของทัต เหลือเพียงแต่ความรู้สึกอย่างเดียวกันกับที่ทัตต้องการจากเธอ

“ทั้งหมดมันเหมือนตลกร้ายเลยนะ… ทั้งที่พี่กับน้องก็ต้องการสิ่งเดียวกัน แต่เพราะไม่ยอมคุยกันก็เลยเข้าใจผิดกันไปใหญ่โตถึงขนาดนี้” ทัตยังคงมองตาฝ้าย ตอนนี้ยังมีความรู้สึกผิดอยู่ แต่ที่มากกว่านั้นคือความต้องการที่อยากจะเข้าใจความรู้สึกของฝ้าย

“จริงด้วยค่ะ” ฝ้ายพูดแล้วก็หลุดหัวเราะก่อนจะเอามือเช็ดน้ำตา

“แต่ว่า… ก็ต้องขอบคุณที่ได้คุยนะ เพราะมันทำให้รู้ว่ายังไม่สายที่จะปรับความเข้าใจกัน”

ทัตพูดแล้วก็สวมกอดฝ้ายอีกครั้ง หนนี้ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกผิดแต่เป็นความต้องการที่อยากจะตอบแทน นั่นทำให้ฝ้ายรู้สึกประหลาดใจก็จริง แต่แน่นอนว่าไม่มีทางปฏิเสธแน่ ซ้ำยังสวมกอดทัตกลับไปอีก

“ฟังนะฝ้าย… ไม่ต้องกังวลนะว่าพี่จะเกลียดน้อง เพราะไม่ว่าฝ้ายจะเป็นคนแบบไหน ฝ้ายก็จะเป็นน้องสาวที่พี่รักเสมอ หรือต่อให้ฝ้ายทำเรื่องไม่ดีพี่ก็จะเป็นคนคอยเตือนเอง พี่จะอยู่กับน้องไปจนสุดทางเอง เพราะฝ้ายเป็นน้องของพี่ เป็นครอบครัวเดียวกัน”

เขาไม่รู้จะชดเชยให้กับน้องสาวที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้ยังไง เขาคิดแค่ว่าจะตอบแทนความอบอุ่นที่เธอมอบให้ตลอดมาแม้ในตอนที่เขาไม่รู้ด้วยความอบอุ่นเท่าที่เขาพอจะให้ได้

แต่ดูเหมือนนั่นจะมากเกินกว่าที่ฝ้ายจะรับไหวเหมือนกัน น้ำตาของเธอถึงหลั่งรินออกมาอีกหน

เพราะสำหรับสาวน้อยคนนี้ที่ปกป้องทัตมาตลอดเพื่อตอบแทนเขา มันคงไม่มีอะไรมีความสุขมากไปกว่าการถูกชายที่เธอปกป้องมาตลอดเห็นคุณค่า ได้รับการยอมรับจากเขาและได้รับการตอบแทนด้วยความอบอุ่นอย่างที่เธอต้องการอีกแล้ว

“ขอบคุณนะคะ… พี่” เธอถึงไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา แม้ในใจจะมีเป็นหมื่นล้านคำที่อยากจะพูดกับความรู้สึกที่อยากจะให้ทัตรับรู้ แต่ที่รู้สึกมากที่สุดก็คงเป็นความปิติที่ความพยายามตลอดมาได้รับการตอบแทน

สำหรับสาวน้อยคนนึง… คงไม่มีความรู้สึกใดน่าอิ่มเอมไปกว่าความรักที่มอบให้กับใครสักคนได้รับการตอบแทนแล้ว

“พี่เองก็เหมือนกัน ขอบคุณนะฝ้าย”

ในขณะที่ทัตเองก็เกือบจะสูญเสียคนสำคัญไปเพราะเอาแต่จมปลักกับความทุกข์ของตัวเอง เขานึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะตอบแทนฝ้ายที่ไม่เคยทอดทิ้งเขาที่ทำแต่แย่ขนาดนั้นอย่างไร

แต่ถึงแบบนั้น… ทัตก็ตัดสินใจแล้วว่าจะตอบแทนความปรารถนาดีที่เธอได้มอบให้กับเขาไปทั้งชีวิตเท่าที่จะทำได้ในฐานะของพี่ชายที่เธอต้องการให้เขาเป็น

สำหรับน้องสาวที่ทำเพื่อเขาถึงขนาดนั้น นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำให้ได้พอตอบแทนเธอ

จนแล้วจนรอดในท้ายที่สุด… ทัตถึงอดกลั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติเอาไว้ไม่ได้แม้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หลั่งน้ำตา

❖❖❖❖❖