บทที่ 222 ศาลเจ้าไพศาลอนันต์

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 222 ศาลเจ้าไพศาลอนันต์

สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง หันไปมองนายกอง คล้ายครุ่นคิดอะไร

นายกองเงยหน้า มองไปทางสวี่ชิงเช่นกัน คล้ายหัวเราะแต่ก็ไม่หัวเราะ

“พื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้มีสิ่งแปลกประหลาดบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมก็นับว่าใช้ได้” สวี่ชิงพูด

“อืม ไม่เลวๆ ข้าไปพื้นที่ต้องห้ามน้อย ไปทะเลบ่อย มาดูสักหน่อยดีเลย เรียนรู้สักนิด” นายกองหัวเราะฮ่าๆ

ทั้งสองคนเลี่ยงประเด็นสนทนาเมื่อครู่ เหมือนว่าลืมเรื่องนั้นไปเสียแล้ว พลางเดินไปทางพื้นที่ต้องห้าม

พวกเขารู้ดีว่าจะพูดประเด็นสนทนานี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เรื่องนี้ใหญ่มาก เกี่ยวพันกับแผนการของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทั้งสำนัก กระทั่งว่าหากขบคิดลึกลงไปอีกขั้นหนึ่งก็จะสัมผัสได้ถึงความทะเยอทะยานสูงเสียดฟ้าที่ซ่อนอยู่ในนี้

ต้องรู้ว่าทั้งเผ่าสิงซากสมุทรแม้จะมีเทวรูปบรรพชนศพเก้าองค์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เผ่าสิงซากสมุทรนับจากก่อตั้งขึ้นก็จะมีแค่เก้าองค์เท่านั้น…

ในห้วงเวลาอันเนิ่นนาน จะต้องมีเทวรูปบรรพชนศพมากกว่านี้แน่นอน เพียงแต่ด้วยเหตุไม่คาดฝันนานาประการ ถูกเผ่าอื่นช่วงชิงเอาไปศึกษาค้นคว้า แม้สุดท้ายจะไม่ได้เบาะแสหรือคำตอบอะไร ก็ไม่มีทางคืนให้

ทั้งเก้าองค์ของเผ่าสิงซากสมุทรเป็นไปได้อย่างมากว่าเป็นเก้าองค์ที่หลงเหลืออยู่ในตอนนี้

เช่นนั้นเมื่อคิดเชื่อมโยงกับการโจมตีของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตและในสงคราม ปราการสงครามของยอดเขาลำดับหกไม่ได้ออกปฏิบัติการในสนามรบเลย แค่สำแดงออกมาเล็กน้อยตอนนายท่านหกแก้แค้น แต่ก็แค่แสดงพลานุภาพทั่วไปออกมาเท่านั้น ไม่ได้เผยพลังเกินความจำเป็นออกมา

ความหมายในนี้ล้ำลึกยิ่ง

สวี่ชิงฝังเรื่องนี้ไว้ก้นบึ้งหัวใจ และเข้าใจแล้วว่าทำไมนายกองถึงได้ลนลานหนีมา หน้าด้านหน้าทนจะอย่างไรก็จะตามตนมาให้ได้

ด้านหนึ่งคือความปากสว่างของนายกองรุนแรงมาก รู้ความลับเช่นนี้ หากไม่โอ้อวดออกมา ในใจของเขาอัดอั้นนัก

อีกด้านหนึ่งคือ หากเขาไม่ออกมา อยู่ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตต่อไปแล้วล่ะก็ น่ากลัวว่าเพื่อที่สำนักจะรักษาความลับระดับนี้ คงจะหาเหตุผลกักขังนายกองสักช่วงหนึ่งเป็นแน่

สวี่ชิงส่ายหน้า ไม่คิดต่อ เรื่องนี้ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับเขา อีกทั้งตอนนี้สงครามก็น่าจะใกล้จบแล้ว อีกไม่นาน ทุกอย่างก็จะมีคำตอบ

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เก็บความคิดทุกอย่าง เดินเข้าไปในป่าพื้นที่ต้องห้าม

ที่นี่ ตอนนั้นเขามาไม่รู้ต่อกี่ครั้ง คุ้นชินเป็นอย่างดี ถึงจะพูดไม่ได้ว่าสามารถหลับตาเดินในนั้นได้ตามใจ แต่ก็ไม่ต่างจากนั้นเท่าไรแล้ว ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นรอบๆ เหมือนปรากฏขึ้นมาในความทรงจำของเขาได้

ดังนั้นในเสี้ยวพริบตาที่เข้ามาในป่า ความเร็วของสวี่ชิงก็พลันเร่งเร็วขึ้น คนทั้งคนประดุจวิญญาณดวงหนึ่ง เคลื่อนตัวไปในป่าอย่างรวดเร็ว นายกองตามอยู่ข้างหลัง สำรวจรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้

เขาไปพื้นที่ต้องห้ามบนแผ่นดินน้อยมากจริงๆ ครั้งเดียวที่ไปคือพื้นที่ต้องห้ามปักษาราชันที่อยู่ข้างสำนัก ไปที่นั่นเพื่อสัมผัสตระหนักรู้พลังวิเศษบางอย่าง น่าเสียดายที่ล้มเหลว ทำไม่สำเร็จ

ตอนนี้เห็นสวี่ชิงเร็วขึ้น ดังนั้นจึงเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย ตำแหน่งที่เดินล้วนเป็นที่ที่สวี่ชิงร่อนลง เดินไปด้วย สำรวจไปด้วย คล้ายครุ่นคิดอะไร เรียนรู้ได้เร็วมาก

“ที่แท้มีความรู้มากขนาดนี้เชียว” นายกองมองเงาร่างสวี่ชิงที่กระโดดท่องไปในป่า สังเกตอย่างละเอียด สำหรับไอพลังประหลาดที่นี่เขาไม่สนใจ

ไอพลังประหลาดในทะเลเข้มข้นกว่าที่นี่ เคล็ดวิชาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในด้านของการขับไอพลังประหลาดนับว่าไม่เลวเลย นอกจากถูกบีบจนถึงขีดจำกัดสูงสุด ทั้งยังตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอก ไม่เช่นนั้นแล้ว ลูกศิษย์สำนักใหญ่น้อยนักจะเกิดเรื่องอย่างไอพลังประหลาดเกินมาตรฐานเป็นเหตุให้แตกดับ

สวี่ชิงไม่สนใจนายกอง ตอนนี้เขาจมอยู่ในความคิด ภาพในอดีตผ่านไปเป็นฉากๆ จากการเคลื่อนไปข้างหน้า ยิ่งใกล้สถานที่เป้าหมาย ใจของเขาก็ยิ่งเกิดระลอกคลื่นรุนแรง

จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฝีเท้าของสวี่ชิงก็ชะลอช้าลง เดินผ่านป่าผืนหนึ่ง มองเห็นหลุมศพที่ตั้งอยู่เพียงลำพังแห่งหนึ่ง

รอบหลุมศพมีหญ้าขึ้นรกไปหมด แต่ป้ายหลุมศพไม่ได้หายไป ยังคงตั้งอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าแม้จะผ่านไปสองปีเกือบๆ สามปีแล้ว แต่เรื่องที่สวี่ชิงทำให้ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดทำให้หลังจากที่คนเก็บกวาดได้ยินก็ต่างให้ความเคารพต่อหลุมศพแห่งนี้นัก

แม้จะไม่ได้ช่วยกำจัดหญ้า แต่ก็ไม่ได้ทำลายและรบกวน

อย่างไรเสียก็เป็นคนเก็บกวาดเหมือนกัน มีคนฝังศพให้หลังตาย เดิมก็เป็นเรื่องที่โชคดีมากอย่างหนึ่ง ไยจะต้องเสี่ยงอันตรายในระดับหนึ่ง ทั้งยังไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ไปทำลายด้วยเล่า

สวี่ชิงมองป้ายหลุมศพพลางเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ นั่งข้างหน้าหลุมศพ เขาถอนหญ้าที่อยู่รอบๆ ทีละต้น สุดท้ายก็ยกกาเหล้าขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วเทลงบนพื้น

“หัวหน้าเหลย ปรมาจารย์ไป่ก็จากไปแล้วเช่นกัน” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา พิงต้นไม้ใหญ่ เงยหน้ามองเมฆดำบนท้องฟ้าลอดผ่านช่องว่างระหว่างแมกไม้

นายกองเงียบนิ่ง มองหลุมศพแล้วก็มองสวี่ชิง ไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้เข้าไปใกล้ แต่เดินออกไปที่ไกลๆ เขารู้ว่าสวี่ชิงในตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือการอยู่คนเดียว

สวี่ชิงต้องการจะอยู่คนเดียวจริงๆ นั่นแหละ เขาพิงต้นไม้พลางดื่มเหล้าเงียบๆ จากท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง สวี่ชิงเงยหน้ามองป่าที่อยู่ไกลๆ ที่นั่น…ไม่มีอะไรทั้งนั้น

“หัวหน้าเหลย ตอนนั้นท่านบอกว่าคนที่ได้ยินเสียงเพลงที่นี่แล้วมีชีวิตรอดกลับไป ครั้งที่สองเมื่อได้ยินเสียงเพลงจะได้พบคนที่อยากเจอที่สุด…

“ข้ามีคนอยากเจอหลายคนเลย ไม่รู้ว่าถ้ามีวันนั้นจริงๆ เมื่อข้าได้ยินเสียงเพลงจะได้พบหรือไม่” สวี่ชิงพึมพำแผ่วเบา ดื่มเหล้าอีกอึก

รอบๆ เงียบสงบ ไม่มีเสียงอะไร ท้องฟ้าก็อับแสงลงอย่างช้าๆ ทั่วทั้งผืนป่าค่อยๆ มืดมิด

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

จวบจนผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม เขาก็ถอนหายใจเสียงเบา คุกเข่าหน้าหลุมศพ โขกศีรษะ ตอนที่ยืนขึ้นก็วางกาเหล้าไว้บนหลุมศพ

“ข้ายังหาดอกลิขิตฟ้าไม่เจอเลย” สวี่ชิงมองป้ายหลุมศพ นานหลังจากนั้นเขาถึงได้หันหลังเดินจากไปไกล

ทีละก้าวๆ ค่อยๆ หายไปในความมืด

จากการเดินไปข้างหน้าของสวี่ชิง ไม่นานนัก ข้างหลังเขาก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น นั่นคือนายกอง

“สวี่ชิง วันหน้ามีโอกาสก็กลับบ้านไปกับข้าหน่อยเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้กลับไปเซ่นไหว้นานแล้ว” เสียงนายกองค่อนข้างแหบแห้ง เอ่ยอย่างแผ่วเบา

สวี่ชิงพยักหน้า

เงาร่างของพวกเขาเคลื่อนไปข้างหน้าตลอดทางอยู่ในป่าอันมืดมิด ระหว่างนั้นไม่มีอสูรกลายพันธุ์ใดๆ มาปรากฏตัวทั้งสิ้น สัญชาตญาณสัตว์ป่าทำให้พวกมันสัมผัสได้ว่าสองคนที่ปรากฏตัวอยู่ในป่าตอนนี้แตกต่างกับคนเก็บกวาดปกติโดยสิ้นเชิง

สวี่ชิงมาถึงหุบเขากลางดึก เดินอยู่ในหุบเขา รอยเลือดบนพื้นในตอนนั้นถูกหญ้าขึ้นปกคลุมไปตั้งนานแล้ว และเวลาสองสามปี หญ้าเจ็ดใบที่นี่งอกขึ้นใหม่เยอะมาก อีกทั้งยังไม่มีร่องรอบถูกเก็บ

เห็นได้ชัดว่าหุบเขาแห่งนี้ ตอนนี้ยังไม่มีคนเก็บกวาดคนอื่นค้นพบ

มองบ้านไม้ที่พังถล่มอยู่ไกลๆ สวี่ชิงนึกถึงภาพที่หลอมพิษที่นี่ทีละฉาก ส่วนเจ้าเงาก็มีระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด สำหรับบรรพจารย์สำนักวัชระ นับจากที่สวี่ชิงกลับมาก็เงียบงัน

สวี่ชิงรู้ รวมถึงพื้นที่ต้องห้ามด้วย อาณาบริเวณกว้างใหญ่ของโลกภายนอก ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาเคยพักอาศัยเท่านั้น เป็นที่พักอาศัยของเจ้าเงาด้วย และก็เป็นของบรรพจารย์สำนักวัชระด้วยเช่นกัน

ข้ามผ่านหุบเขา สวี่ชิงมองหมู่ศาลเจ้าที่อยู่ไกลๆ

ในความมืด อาศัยความสว่างเพียงชั่วครู่จากการปรากฏขึ้นของสายฟ้าแต่ละทางๆ บนท้องฟ้า หมู่ศาลเจ้าในสายตาสวี่ชิงที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่แตกต่างจากในอดีตเลย

จินตนาการได้ว่า ต่อให้ผ่านไปนานกว่านี้ ต่อให้คนในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดข้างนอกสุดท้ายจะเปลี่ยนไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า หมู่ศาลเจ้าก็ยังตั้งอยู่ตรงนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล

“เอ๋ ที่นี่ก็มีศาลเจ้าไพศาลอนันต์เหมือนกันหรือ” ในตอนที่สวี่ชิงจ้องเพ่ง นายกองที่อยู่ข้างหลังเขาก็ส่งเสียงแปลกใจแผ่วเบา

“ศาลเจ้าไพศาลอนันต์หรือ” สวี่ชิงหันหน้ามองมาทางนายกอง

“ข้านึกออกแล้ว พลังวิเศษที่คล้ายๆ ดาบสวรรค์ที่เจ้าสำแดงเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนั้นข้าก็รู้สึกคุ้นตานัก ตอนนี้ดูแล้ว เจ้าคงไม่ได้ตระหนักรู้ดาบสะบั้นไพศาลที่นี่หรอกใช่หรือไม่” นายกองพูดๆ ไป ดวงตาก็เบิกกว้าง ฉายแววตกใจออกมา

“ไม่จริงน่า ยิ่งนึกย้อนถึงดาบนั้นของเจ้าก็ยิ่งเหมือน ข้าเดาถูกแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่”

“สวรรค์ นั่นคือดาบสะบั้นไพศาลเชียวนะ เจ้ารู้ว่าอะไรคือดาบสะบั้นไพศาลหรือไม่ นั่นมันยอดเยี่ยมมากเลยนะ!”

สวี่ชิงมองนายกองด้วยสายตาล้ำลึก สวี่ชิงคุ้นเคยงานอดิเรกชอบจงใจโอ้อวดของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี และรู้ว่าหากถามออกไป ไม่แน่ว่าจะติดค้างหินวิญญาณอย่างแปลกประหลาดอะไรอีก ยิ่งรู้ว่ารับมือกับคนที่มีงานอดิเรกเช่นนี้ ก็ต้องให้อีกฝ่ายอัดอั้น รอเมื่ออัดอั้นจนถึงขีดสุด ตัวเองแค่เอ่ยปาก อีกฝ่ายส่วนมากก็จะพูดออกมาหมด

ดังนั้นจึงดึงสายตากลับมา มองไปทางกลุ่มศาลเจ้า นายกองทางนั้นกะพริบตาปริบๆ หลังจากตามมาก็เดินไปด้วย อุทานไปด้วย

“เยี่ยมมาก

“ว้าว

“สุดยอดเลย”

พูดๆ ไป สวี่ชิงก็มาถึงที่ตั้งของหมู่ศาลเจ้า หาศาลเจ้าที่ตระหนักรู้ดาบนั้นแล้วย่างเข้าไป เงยหน้าจ้องเพ่งรูปสลักในศาลเจ้า ขัดสมาธินั่งลงข้างๆ

เขากลับมาครั้งนี้ นอกจากมาเซ่นไหว้หัวหน้าเหลยแล้ว ก็คิดอยากมาดูว่าจะสามารถตระหนักรู้ดาบสวรรค์ต่อไปที่นี่แล้วทำให้พลังของมันเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยได้หรือไม่

“เป็นเทวรูปเทพเจ้าไพศาลอนันต์จริงๆ ด้วย!” นายกองเข้ามาในศาลเจ้าก็ถูกรูปสลักดึงดูดไปทันที วนรอบๆ อย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง หันกลับไปมองสวี่ชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ คิดจะลองตระหนักรู้แวบหนึ่ง นายกองกะพริบตาปริบๆ คล้ายจะหัวเราะแต่ก็ไม่หัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร

เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้เอง คืนหนึ่งผ่านไป

สวี่ชิงเสียดายนิดๆ แต่เขาก็ทำการวิเคราะห์ รู้สึกว่าหากคิดจะตระหนักรู้ดาบนี้ต้องเป็นเวลาที่กำหนดเฉพาะถึงจะได้ อีกทั้งเวลานี้ยังไม่แน่นอน อาจจะหลายเดือน และก็เป็นไปได้ว่าอาจจะหลายปี

ดังนั้นจากการสาดแสงมาของดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณข้างนอก สวี่ชิงก็ลุกขึ้น นายกองทางนั้นก็ยิ้มอย่างสดใส

“ไม่สำเร็จใช่หรือไม่ ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ถ้าเจ้าสำเร็จสิถึงจะแปลก”

“ทำไมหรือ” สวี่ชิงแปลกใจ

“อดทนไม่ไหวแล้วล่ะสิ จะถามข้าแล้วใช่หรือไม่ ทำไมเจ้าไม่อดทนต่อไปเล่า” นายกองได้ใจเป็นอย่างยิ่ง

สวี่ชิงมองตานายกอง ไม่พูดอะไร

นายกองกะพริบตาปริบๆ ไม่พูดอะไรเช่นกัน

หลังจากนั้นครู่หนึ่งสวี่ชิงก็ถอนหายใจ

“ศิษย์พี่ มันเพราะอะไรกัน ท่านบอกข้าเถิด”

นายกองได้ยินก็หัวเราะร่า ได้ใจเป็นที่สุด กระแอมออกมาทีหนึ่ง

“เช่นนั้นข้าบอกเจ้าก็ได้ แต่ว่าเจ้าติดหินวิญญาณข้าห้าหมื่นก้อน อย่าลืมเสียล่ะ” พูดจบ นายกองก็บอกคำตอบออกมารวดเดียว

“ศาลเจ้าไพศาลอนันต์ว่ากันว่าสร้างขึ้นในรัฐเต๋าไพศาลอนันต์สมัยศักราชไพศาลอนันต์ เพียงแต่ประวัติศาสตร์ที่หลงเหลือของรัฐเต๋านี้น้อยมาก มีเพียงในพื้นที่ต้องห้ามบางแห่งเท่านั้นที่มีศาลเจ้าเช่นนี้ เทวรูปที่ประดิษฐานในศาลเจ้าล้วนเหมือนกันหมด หลายปีก่อนมีคนพบว่าในศาลเจ้าเหล่านี้แท้จริงแล้วแฝงไว้ด้วยมรดกที่น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมากอย่างหนึ่ง มองเป็นเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิได้ เผ่าพันธุ์ทั้งหลายต่างตระหนักรู้ได้

“เพียงแต่ความยากของการตระหนักรู้สูงมาก ต้องดูที่วาสนา และวิชาดาบในแต่ศาลเจ้าก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น มรดกระดับจักรพรรดินี้โดยชัดเจนแล้วมีกี่ดาบก็ไม่มีใครรู้ แต่ได้ยินว่าบางคนตระหนักรู้ได้หนึ่งดาบ บางคนตระหนักรู้ได้สองสามดาบ เหมือนว่าคนที่ตระหนักรู้ได้มากที่สุดจะเป็นหกเจ็ดดาบ”

“แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพลังของดาบก็ไม่ต้องสงสัย ตระหนักรู้สามดาบขึ้นไปก็เทียบได้กระทั่งพลังวิเศษระดับเตรียมจักรพรรดิแล้ว หากถึงหกเจ็ดดาบก็เป็นระดับจักรพรรดิ”

“ส่วนศาลเจ้าไพศาลอนันต์ไม่ได้มีแค่ที่นี่ ในพื้นที่ต้องห้ามปักษาราชันที่อยู่ข้างสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มีพื้นที่รกร้างที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่เหมือนกัน ในพื้นที่รกร้างนั้นก็มีศาลเจ้าแบบนี้เช่นกัน ข้าเคยไปตระหนักรู้แต่ไม่สำเร็จ หากมีโอกาสเจ้าลองไปตระหนักรู้ที่นั่นดูก็ได้”

นายกองพูดถึงตรงนี้ สีหน้าก็แปลกประหลาดเล็กน้อย พูดขึ้นอีกว่า

“นอกจากนี้ การตระหนักรู้วิชาดาบในศาลเจ้าไพศาลอนันต์ หากมีคนตระหนักรู้สำเร็จ ท่วงทำนองเต๋าของเทวรูปที่ศาลเจ้านี้จะหายไป ต้องใช้เวลาสามสิบปีถึงจะก่อตัวขึ้นใหม่ ถึงจะให้คนอื่นตระหนักรู้ต่อได้ ดังนั้นเมื่อคืนนี้เจ้าไม่มีทางสำเร็จ นี่ไม่ใช่ข้าไม่บอกเจ้า แต่เจ้าไม่ถามข้า อันที่จริงข้าก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเมื่อคืนนี้เจ้าทำอะไร”

เส้นเลือดที่ขมับสวี่ชิงเต้นตุบ

นายกองกระแอมทีหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอีก

“แน่นอน ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีตระหนักรู้ก่อนเวลา นั่นก็คือฆ่าคนที่ตระหนักรู้ดาบนั้นหน้ารูปสลักที่เขาตระหนักรู้ เช่นนั้นท่วงทำนองเทพของรูปสลักก็จะฟื้นฟูกลับมาทันที ให้คนตระหนักรู้ใหม่ได้อีกครั้ง”