ตอนที่ 183 เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าซื้อหรือไง

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 183 เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าซื้อหรือไง

ขั้นตอนการเตรียมงานส่วนมากจะรีบเร่งเกินไปไม่ได้ ฉะนั้นหลังจากที่กองถ่ายแบ่งภาระหน้าที่ของทีมงานแล้ว การเตรียมการจำเป็นจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่นักเขียนบทอย่างหลินเยวียนจะต้องกังวล เพราะโปรดิวเซอร์และผู้กำกับรับผิดชอบงานเหล่านี้ไปแล้ว

นี่น่าจะเป็นข้อดีของการเป็นนักเขียนบท

ตอนนั้นก็ย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์แล้ว เทศกาลตรุษจีนซึ่งมีเพียงปีละครั้งกำลังเริ่มต้นขึ้น

นี่เป็นเทศกาลตรุษจีนครั้งแรกหลังจากที่ฉินโจวและฉีโจวผนวกรวมกัน บรรยากาศแลดูคล้ายกับว่าจะคึกคักกว่าปีก่อนหลายส่วน อีกทั้งแม่ของหลินเยวียนถูกรับตัวมาถึงเมืองซู และได้เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนกับลูกๆ อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ระหว่างรับทานอาหารด้วยกันในคืนข้ามปี

หลินเซวียนก็พูดหว่านล้อมมารดาอย่างไม่ยอมแพ้ ว่าต่อไปให้พักอยู่ที่เมืองซู ไม่ต้องกลับไปทำงาน ด้วยฐานะของหลินเยวียนในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้แม่ไปหลังขดหลังแข็งลำบากหาเงินแล้ว

แม่ลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง

ทั้งครอบครัวอยู่ในเมืองซู ต่อให้เธอจะคิดถึงบ้านเกิดแค่ไหน ก็ไม่สามารถฝืนทนต่อความรู้สึกปรารถนาที่จะกลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาได้

แม่พยักหน้า ทำให้ลูกๆ รู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมา

แถมยังเป็นเทศกาลตรุษจีนด้วย!

เรื่องกระบี่เทพสังหารภายใต้นามปากกาฉู่ขวงของหลินเยวียน ก็ดำเนินมาถึงตอนจบในที่สุด

แต่ต่อให้เป็นบรรยากาศของเทศกาลตรุษจีน ก็ไม่ได้บรรเทาความเดือดดาลของผู้อ่านให้เบาบางลงเลย

เพราะจวบจนตอนอวสานของเรื่องกระบี่เทพสังหาร นักอ่านก็ยังคงเฝ้ารอฉาก ‘ปี้เหยาฟื้นคืนชีพ’ ที่พวกเขาคอยเฝ้าภาวนา!

‘อยากจะทุบเจ้าแก่ฉู่ขวง!’

‘ช่วงตรุษจีนแต่ฉันดันหัวร้อน!’

‘ไหนบอกไม่ใช่เหรอว่าปี้เหยาจะฟื้นคืนชีพ ถ้ารู้แต่แรกฉันเทนิยายไปตั้งแต่ปี้เหยาตายแล้ว อย่างน้อยก็ยังพอจะมีความทรงจำดีๆ เก็บไว้บ้าง’

‘ตอนสุดท้ายอย่างน้อยจางเสี่ยวฝานก็ได้มาเจอกับเสวี่ยฉีแล้ว…’

‘เขาทำแบบนี้ได้ยังไง ต่อไปผมไม่กล้าอ่านหนังสือของฉู่ขวงแล้วเนี่ย’

‘ครั้งหน้าถ้าฉู่ขวงจะเขียนให้ใครตายอีก บ.ก.ต้องช่วยหยุดเจ้าแก่คนนี้ด้วยนะครับ!’

‘…’

แน่นอนว่าไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ ลึกๆ ในใจของผู้อ่านก็ยังยอมรับเรื่องกระบี่เทพสังหารอยู่ดี

เพราะก่อนหน้านี้ความตายของปี้เหยาได้ทำให้ผู้อ่านรู้สึกหัวใจสลายมาครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นการที่นางไม่ฟื้นจากความตายในตอนจบของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ก็เพียงแต่ทำให้ในใจของผู้อ่านเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมาอีกเล็กน้อยเท่านั้น

ในเว็บไซต์ทางการของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

ในช่องแสดงความคิดเห็นเรื่องกระบี่เทพสังหาร มีคำพูดของนักอ่านท่านหนึ่งกล่าวไว้อย่างมีเหตุผลมาก

‘ถ้าปี้เหยาฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ความรู้สึกใจสลายของผู้อ่านอย่างพวกคุณจะหายไปทันทีเลยหรือเปล่าคะ

คำตอบก็คือไม่หาย

เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนก็อาจกลับเข้าสู่วงจรเดิม การฟาดฟันอย่างดุเดือดระหว่างแต่ละทีมย่อมกลับมาอีกครั้ง

เถียงกันเรื่องสรุปว่าจางเสี่ยวฝานจะเลือกปี้เหยาหรือเลือกเสวี่ยฉี

ถึงแม้จะมีพื้นที่สำหรับฮาเร็ม แต่เรื่องกระบี่เทพสังหารก็บรรยายสตรีทั้งสองไว้ดีเหลือเกิน

ก็เพราะว่าเขียนไว้ดีนี่แหละ ถึงไม่มีทางใส่ฮาเร็มลงไปในพล็อตเรื่องได้เลย

เพราะไม่ว่าจะเป็นปี้เหยาหรือเสวี่ยฉี ก็ล้วนไม่ได้มีนิสัยและท่าทีว่าจะยอมแบ่งปันจางเสี่ยวฝานกับใคร ถ้าทั้งสองคนยอมครองคู่กับจางเสี่ยวฝานพร้อมกัน ก็จะกลายเป็นการดูหมิ่นตัวละครอย่างหนึ่งนะคะ

อย่างน้อยฉันก็คิดว่า…ตัวละครเรื่องนี้ไม่บ้ง

ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่สุดท้ายแล้วฉู่ขวงตัดสินใจไม่คืนชีพปี้เหยาขึ้นมา

มักจะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องแบกรับเรื่องทั้งหมดไว้เสมอ

ปี้เหยาตายอยู่ใต้หมึกปากกาของเจ้าแก่ฉู่ขวง แต่มีชีวิตอยู่ในหัวใจผู้อ่านเสมอ นี่ก็เป็นตอนจบที่ดีนะคะ’

โพสต์นี้มียอดไลก์เป็นจำนวนมาก

และเนื่องจากการผนวกรวมกันของฉินและฉี นักอ่านจากมณฑลฉีจำนวนมากก็อ่านเรื่องกระบี่เทพสังหาร

ดังนั้นพวกเขาจึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกก่อนหน้านี้ของนักอ่านจากมณฑลฉิน

ฝั่งหนึ่งก่นด่า

ฝั่งหนึ่งยอมรับ

ทว่าหนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้นักอ่านจากมณฑลฉีได้รู้จักกับนักเขียนนิยายแฟนตาซีของมณฑลฉินอย่างฉู่ขวงอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ทั้งสองพื้นที่ควบรวมกัน ฉู่ขวงก็เป็นนักเขียนกลุ่มแรกๆ ที่นักอ่านจากมณฑลฉีจดจำได้!

……

นี่เป็นตอนจบบริบูรณ์ของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป

นิยายเรื่องนี้แม้ว่าจะไม่ได้ผ่านการแก้ไขความยาวของเนื้อเรื่อง แต่อย่างน้อยก็ยังเขียนออกมาได้ยาวกว่าเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส

เรื่องบางเรื่องเมื่อมีประสบการณ์มาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งต่อไปก็ไม่ได้เหลือรับถึงขนาดนั้น

ถึงอย่างไรครั้งนี้หยางเฟิงก็ทำใจยอมรับความจริงที่ว่า เรื่องกระบี่เทพสังหารจะจบลงได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้หยางเฟิงยังคงคิดว่า ถ้าหากนิยายเรื่องนี้เขียนต่อไป จะต้องกอบโกยรายได้ได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน

ใครใช้ให้ฉู่ขวงไม่สนใจเงินทองของนอกกายแบบนี้ล่ะ

ถ้าจะให้รู้สึกเสียดายที่เรื่องกระบี่เทพสังหารจบบริบูรณ์ ไม่สู้เอาเวลาไปสนใจผลงานเรื่องต่อไปของฉู่ขวงจะดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนี้หยางเฟิงจึงเรียกได้ว่าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

หลังจากหลินเยวียนได้รับข้อความ เขาลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะตอบกลับไปว่า ‘หนังสือเรื่องใหม่รอสักระยะแล้วจะส่งให้นะครับ’

‘ครับ’

หยางเฟิงไม่ได้พูดอะไรมาก

แม้ว่าเขาแทบอยากจะให้ฉู่ขวงเตรียมหนังสือเรื่องใหม่ไว้เดี๋ยวนี้เลยให้รู้แล้วรู้รอด แต่การผลิตผลงานนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำสำเร็จกันในชั่วข้ามคืน หลังจากที่เขียนหนังสือเล่มเก่าเสร็จและหยุดพักสักระยะก็นับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ คนเราต้องมีพักสมองกันบ้าง นักเขียนทุกคนก็ทำเช่นนี้

สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือ ‘ผลงานชิ้นต่อไปของอาจารย์ฉู่ขวงเป็นหมวดไหนครับ’

‘ไม่รู้ครับ’

หลินเยวียนตอบไปด้วยความสัตย์จริง

หยางเฟิงพลันตกอยู่ในความเงียบงันทันทีที่เห็นคำตอบของหลินเยวียน

ผ่านไปนานโข กว่าเขาจะเอ่ยถามขึ้น ‘จะเขียนเทพเซียนกำลังภายในต่อหรือเปล่าครับ’

‘ยังไม่รู้ครับ’

หลินเยวียนยังคงตอบไปเหมือนเดิม เขาไม่รู้จริงๆ เรื่องนี้ต้องรอดูสิ่งที่เรียกว่าการผลิตแบบสุ่มของระบบว่าจะมอบผลงานอะไรมาให้

‘โอเคครับ’

หยางเฟิงจนปัญญา

หลังจากความโชติช่วงของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ในตลาดก็เกิดกระแสเทพเซียนกำลังภายใน นักเขียนชื่อดังรุ่นเก๋าถึงกับเลือกตามกระแสของฉู่ขวง หนำซ้ำยังปรากฏผลงานใหม่แนวเทพเซียนกำลังภายในที่ยอดเยี่ยมออกมาอีกเป็นจำนวนมาก!

การบุกเบิกตลาดนิยายหมวดใหม่ของฉู่ขวงในครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าแนวการแข่งขันกีฬาซะอีก!

นั่นทำให้สมญานาม ‘ผู้บุกเบิก’ ของฉู่ขวงตราตรึงในใจของผู้คนยิ่งขึ้น

ถึงกับที่มีบรรณาธิการในวงการพูดติดตลกว่า

นิยายสองแนวที่ฉู่ขวงสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น หล่อเลี้ยงชีวิตนักเขียนนับไม่ถ้วน

ลองนึกถึงนักเขียนเฮ่อหมิงเซวียนที่โด่งดังเป็นพลุแตกขึ้นมาเพราะนิยายแนวกีฬาบาสเกตบอล…

เขาก็เริ่มต้นเพราะตามกระแสของฉู่ขวงไม่ใช่หรือ

ก่อนหน้านั้นเขาตกที่นั่งลำบากถึงขั้นที่ไม่มีใครยินดีตีพิมพ์นิยายด้วยซ้ำไป

และนักเขียนที่เป็นเหมือนกับเฮ่อหมิงเซวียนนั้นมีตั้งเยอะแยะ ดังนั้นนักเขียนเหล่านี้ควรขอบคุณฉู่ขวงมากกว่าใครเพื่อน…

ทว่าฉู่ขวงแม้ว่าจะดี แต่น่าเสียดายที่เขียนสั้นเกินไปหน่อย

นิยายทั้งสองเรื่องซึ่งปล่อยออกมาติดต่อกันล้วนเป็นนิยายขายดีแท้ๆ แต่ดันเลือกเขียนจบภายในไม่กี่เล่ม นักเขียนแบบนี้ถูกกำหนดชะตามาให้ทางสำนักพิมพ์ทั้งรักและเกลียดในเวลาเดียวกัน

ส่วนเหตุผลที่หลินเยวียนไม่คิดจะเปิดหนังสือเรื่องใหม่ อันที่จริงก็เป็นเพราะเขาต้องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่

หลินเยวียนไม่รู้ว่าหลังจากที่เปิดกล้องถ่ายทำเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ ตนจะเหลือเวลามากพอหรือไม่

ต่อให้ความเร็วในการพิมพ์นิยายของเขาจะเร็วกว่านี้ แต่การพิมพ์สองแสนตัวอักษรภายในเวลาหนึ่งเดือนก็ยังกินเวลามากอยู่ดี

‘งั้นคุณเปิดหนังสือเรื่องใหม่โดยเร็วที่สุดเถอะครับ’

ในตอนสุดท้ายหยางเฟิงเอ่ยเตือนประโยคหนึ่ง ‘เพราะการแข่งขันของตลาดในตอนนี้ดุเดือดมาก ตลาดนักอ่านจากทั้งมณฑลฉินและฉีรวมกันอย่างเป็นทางการ ทำให้มีนักเขียนจำนวนมากอยากคว้าโอกาสออกตัวก่อนเพื่อให้คนอ่านรู้จักตัวเอง’

“ครับ”

หลินเยวียนตอบ ในใจกลับไม่เห็นด้วย

เพราะไม่ใช่แค่ตลาดหนังสือ ทุกสายอาชีพก็อยู่ในสภาวะเดียวกัน

จะใช้สำนวนว่ามีซากปรักหักพังมากมายรอให้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ มาอธิบายแต่ละสายงานสายอาชีพก็อาจไม่ค่อยเหมาะสม แต่ทุกวงการล้วนแต่เล่นเกมแย่งชิงโจมตีกันไปมาเพื่อปกป้องฐานทัพของตนไปรอบหนึ่งแล้ว หลังจากที่ตลาดขยายกว้างขึ้น ทุกคนล้วนอยากคว้าโอกาสซึ่งในชีวิตนี้อาจมีเพียงครั้งเดียว และกลายเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มลองความหอมหวานของความสำเร็จ

……

แม้ว่าหลินเยวียนจะไม่ได้รีบร้อนเริ่มเขียนหนังสือเรื่องใหม่ แต่ในช่วงตรุษจีนนี้ เขาก็ไม่ได้นิ่งดูดายไม่ทำอะไร

ระยะนี้ เขาค้นพบของดีชิ้นหนึ่งในพื้นที่เก็บไอเทมพิเศษของระบบ

ก่อนหน้านี้หลินเยวียนคิดว่าคลังเก็บไอเทมพิเศษของระบบ จะมีแค่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ เมื่อลองดูดีๆ แล้วถึงได้พบว่าที่นี่มีทุกอย่างพรั่งพร้อม เยี่ยมไปเลย!

มีของหลากหลายละลานตา

ตัวอย่างเช่นสิ่งที่มีชื่อว่า ‘แคปซูลความทรงจำ’

เมื่อกินแคปซูลความทรงจำเข้าไปแล้ว ในเวลาหนึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น ความทรงจำก็จะดีขึ้นมาอย่างไร้ขีดจำกัด

หรือพูดง่ายๆ ก็คือถ้ากินเจ้านี่ลงไป เมื่ออ่านหนังสือแล้วก็จะไม่ลืม!

หรือจะให้เทียบกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ยาชูกำลัง’ ก็คงได้

เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะมีกำลังวังชาไปหนึ่งชั่วโมง ไม่ว่าทำอะไรก็จะมีพลังไร้ขีดจำกัด แทบรู้สึกว่าตนเองไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

นอกจากนั้นก็ยังมี ‘ยาเรียกน้ำตา’ คนที่กินเจ้าสิ่งนี้เข้าไป นึกอยากจะร้องไห้ออกมาเมื่อไหร่ น้ำตาก็หยดเปาะๆ ลงมาทันที

โอ้พี่ชาย…

แล้วความสำคัญของของเหล่านี้คืออะไรน่ะเหรอ

ถ้าพยายามแถให้สีข้างถลอกสักหน่อย ก็คงจะเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์?

ตัวอย่างเช่น ถ้านักแสดงร้องไห้ไม่ออก ก็กินไปหนึ่งเม็ด?

คำถามคือ มีนักแสดงมืออาชีพคนไหนที่ร้องไห้ไม่ออกบ้าง ถ้าร้องไห้ยังร้องไม่ออก นักแสดงคนนี้ก็คงอ่อนหัดเกินไปแล้วล่ะมั้ง ขนาดคนที่ไม่มีพื้นฐานการแสดงแกล้งบีบน้ำตาออกมายังทำได้เลย

อีกอย่าง

ใช้หอมใหญ่ไม่ง่ายกว่าเหรอ

หรือใช้น้ำตาเทียมก็ไม่ง่ายกว่าหรือไง

เอาเถอะ ใช้หอมใหญ่กับน้ำตาเทียมก็สนุกสู้เจ้าของเล่นชิ้นนี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ปัญหาคือระบบนี้ต้องเรียกเก็บเงิน ไอเทมในนี้ไม่มีชิ้นไหนที่ราคาถูกๆ ราคาขายไม่ได้เริ่มด้วยหลักหมื่น!

ตัวอย่างเช่นยาเรียกน้ำตา…

เชื่อไหมล่ะว่าเจ้านี่ราคาชิ้นละหนึ่งแสน

กินเข้าไปไม่ได้เศษเสี้ยวของกระเพาะ ยังขูดรีดแพงอีก?

แต่ถึงอย่างไรหลินเยวียนก็ไม่ได้ใช้เงินไปกับของแบบนี้หรอก ระบบรอของค้างสต็อกไปก็แล้วกัน

มีเพียง ‘แคปซูลความทรงจำ’ ที่ไปเตะตาหลินเยวียนเข้า

จะไม่ให้เตะตาเขาได้ยังไง ก็ช่วงนี้ต้องถ่ายภาพยนตร์ หลินเยวียนเป็นมือใหม่ที่มีความรู้พื้นฐานด้านการถ่ายทำภาพยนตร์ระดับงูๆ ปลาๆ ถ้าอยากให้กองถ่ายดำเนินการไปในทิศทางที่เขาต้องการ เขาจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นถึงจะถูก

ดังนั้นในช่วงนี้เขาถึงอ่านตำราเกี่ยวกับภาพยนตร์อยู่ตลอด

แต่ลำพังการอ่านตำรานั้นประสิทธิภาพต่ำเกินไป แถมไม่ใครอธิบายให้ฟัง ฉะนั้นหลินเยวียนคร่ำเคร่งศึกษาอยู่ตั้งนานหลายวัน บางครั้งคิดว่าตนเองเข้าใจแล้ว แต่เมื่อลองขบคิดอย่างละเอียดก็รู้สึกว่าตนไม่เข้าใจอะไรเลย

จะทำยังไงดีน่ะหรือ

กินแคปซูลความทรงจำ!

ราคาของไอเทมพิเศษแต่ละชิ้นแตกต่างกันออกไป แคปซูลความทรงจำหนึ่งเม็ดราคาขายคือสองแสนหยวน ถ้าเป็นเมื่อก่อนหลินเยวียนไม่มีทางสนใจแน่นอน

แต่ถึงอย่างนั้นต่อให้เป็นคนที่ตระหนี่ถี่เหนียวแค่ไหน หลังจากหาเงินมาได้ ก็ยากที่จะข่มกลั้นความรู้สึกอยากใช้เงิน

หลินเยวียนรู้สึกว่าตนก็คือคนที่หลังจากหาเงินมาได้แล้วก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากใช้เงิน

เขาถึงกับซื้อแคปซูลความทรงจำจากระบบ!

ขณะที่สั่งซื้อแคปซูลความทรงจำจากระบบ ในใจของหลินเยวียนพร่ำสะกดจิตตนเอง

‘เสียเงินไปแต่ได้ของดีมา’

‘มีได้ก็ต้องมีเสีย’

‘เงินทองเป็นของนอกกาย’

‘ผู้หญิงที่ฉลาด…ผู้ชายที่ฉลาดเขาก็เปย์ให้ตัวเองกันทั้งนั้น’

‘ในตำรามีโฉมตรู ในตำรามีโฉมตรู[1]’

‘…’

การสะกดจิตแล้วซ้ำเล่าไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่ หลินเยวียนรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับถังปั๋วหู่ทะเลาะกับหวาฮูหยิน[2] ในเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ

‘ท่านซื้อสิ!’

‘เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าซื้อหรือไง’

‘กล้าซื้อท่านก็ซื้อเลยสิ!’

‘ซื้อก็ซื้อ!’

‘ซื้อให้ข้าดูตอนนี้เลยสิ’

‘ซื้อให้เจ้าดูตอนนี้เลย…เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง จะให้ซื้อ? ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!’

อึก

ระบบราวกับกลายร่างเป็นถังปั๋วหู่ รีบยัดเเคปซูลความทรงจำลงคอหลินเยวียนทันที ในที่สุดหลินเยวียนก็ซื้อไปแล้ว

ช่วยไม่ได้

สิ่งที่ควรทำ สุดท้ายก็ต้องทำ

ครั้งเดียวก็น่าจะถอนทุนคืนได้แล้ว!

หลินเยวียนทุ่มสุดตัวแล้ว เขาถึงขั้นรีบเปิดหนังสือเล่มแรกในมือ บากบั่นตั้งใจซะยิ่งกว่าตอนเรียนกับหยางจงหมิงซะอีก…

………………………………………………

[1] ในตำรามีโฉมตรู มาจากภาษิตโบราณว่า ‘ในตำรามีบ้านช่อง ในตำรามีโฉมตรู’ เปรียบเปรยว่าถ้าหากตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ภายภาคหน้าย่อมประสบความสำเร็จและมั่งคั่งร่ำรวย

[2] ถังปั๋วหู่ทะเลาะกับหวาฮูหยิน เป็นฉากที่ถังปั๋วหู่กับหวาฮูหยินทะเลาะกันว่ายาพิษของสกุลใครร้ายแรงกว่ากัน ถังปั๋วหู่จึงหยิบยาออกมา ท้าทายและถกเถียงกันอยู่นานว่าจะกินหรือไม่กิน จนสุดท้ายแล้วถังปั๋วหู่ยัดยาใส่ปากของหวาฮูหยิน