ตอนที่ 64 คู่หมั้น

ครั้งนี้จะใจกว้างเกินไปกระมัง

แต่อีกฝ่ายเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ มีกิจการร้านยาใหญ่โตในเครือของตระกูลมากมาย ทองคำกล่องเล็กๆ เท่านี้อาจไม่มีค่าอันใดในสายตาของนาง

เดิมทีด้วยนิสัยของตน การต้มตุ๋นเอาเงินจากอีกฝ่ายนับเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ทว่าประการแรกอีกฝ่ายมิเคยทำสิ่งใดผิดต่อนาง มิว่าจะเป็นการบังคับซื้อเสี่ยวไป๋หรือปฏิเสธไม่รับรักษา ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการกระทำโดยพลการของฝังมามา สิ่งที่อีกฝ่ายทำมีเพียงการไม่ทวงความยุติธรรมให้นางเท่านั้น แต่นางไม่ได้เป็นอะไรกับอีกฝ่าย อีกฝ่ายจะไม่เข้าข้างนางก็เข้าใจได้ ประการที่สองนางไม่ชอบอีกฝ่ายจริงๆ และไม่ต้องการมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายทั้งสิ้น

“สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับสือชีเป็นเรื่องของพวกเจ้าสองคน สือชีไม่ใช่เด็กๆ เขามีวิจารณญาณของตัวเอง ข้าจะไม่ทำผิดมโนธรรมหลอกลวงเขาเพราะเงินเพียงเล็กน้อย”

“แต่เรื่องในคราวที่แล้ว เกิดขึ้นเพราะเจ้าชัดๆ! ลูกสาวของเจ้าให้สือชีไล่พวกเราออกไป!”

เสียงของเฉียวอวี้ซีดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้แต่ตัวนางเองยังนึกไม่ถึง นางเติบโตขึ้นมาในอารามเต๋า ได้รับการฝึกฝนอบรมจนเรียกได้ว่าใจเย็นกว่าสตรีทั่วไป ทว่าทุกครั้งที่พบหญิงชาวบ้านคนนี้กลับถูกบีบให้รู้สึกร้อนรน

ในทางตรงกันข้ามเฉียวเวยใจเย็นกว่ามาก เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ลูกสาวของข้าเพียงบอกว่าเสียงดัง แต่นางไม่ได้บอกให้สือชีทำอะไร เหตุใดสือชีจึงโยนเจ้าออกไปแต่ไม่โยนข้า คุณหนูเฉียว หรือจะเป็นเพราะเจ้านิสัยย่ำแย่จนเหลือจะทน”

“เจ้า…” เฉียวอวี้ซีถูกยอกย้อนจนหน้าแดง

ซิ่งจู๋ทราบมาก่อนแล้วว่าหญิงชาวบ้านผู้นี้ ‘ไม่รู้จักชั่วดี’ ครั้งก่อนตนได้รับคำสั่งจากคุณหนูให้เชิญนางไปเป็นแม่ครัวในจวนเอินปั๋ว เพราะทราบอยู่แล้วว่านางเคยขัดแย้งกับคุณหนูของตน ตนจึงอุตส่าห์คิดแผนการปกปิดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย แต่นาง กลับปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด

ยามนี้นางปฏิเสธคุณหนูจนหมดท่า ซิ่งจู๋จึงไม่แปลกใจสักนิด ซิ่งจู๋กลับคิดว่าถ้าอีกฝ่ายทำตามถึงจะเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ

เถ้าแก่โรงรับจำนำชูเงินขึ้นอย่างเงอะงะ “แม่นาง เจ้ายังต้องการแลกจี้ทองคำอีกหรือไม่”

“แลก!” เฉียวเวยยื่นจี้ทองคำให้เขาแล้วหยิบเงินใส่ถุงเงิน จากนั้นเดินผ่านเฉียวอวี้ซีโดยไม่มองหน้านาง

ถนนแคบ ทั้งเฉียวอวี้ซียังไม่ยอมหลีกทาง เฉียวเวยจึงเดินชนไหล่นาง กระแทกนางออกไปด้านข้าง

นางตัวเซไปหลายก้าว นางจับไหล่ข้างที่โดนกระแทกด้วยความเจ็บปวดพลางกัดริมฝีปากมองแผ่นหลังของเฉียวเวย “ทำเช่นนี้ดีต่อเจ้าเช่นไร เจ้าคิดว่ามีสือชีหนุนหลังเจ้าแล้วเจ้าจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาได้หรือ”

เฉียวเวยรู้สึกขบขัน หันกลับมามองนางแล้วพูดว่า “ข้าว่าเจ้าเป็นคนประหลาดจริงๆ ข้าจะเห็นเจ้าอยู่ในสายตาหรือไม่ มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า ข้าขวางทางเจ้าหรือ เพราะเจ้าคือคุณหนูแห่งจวนเอินปั๋ว ดังนั้นทุกคนในใต้หล้าต้องเคารพยำเกรงเจ้าหรือไร

อีกอย่าง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดจะทำสิ่งใด คนที่เจ้าต้องการเอาใจจริงๆ ไม่ใช่สือชี แต่เป็นคุณชายหมิง น่าเสียดายคุณชายหมิงไม่ให้โอกาสเจ้าประจบประแจง เจ้าถึงได้หันมาประจบสือชีแทน

แต่เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคุณชายหมิงต่างหากที่เป็นเจ้านายของสือชี ข้าเป็นเพียงสหายของสือชี เจ้าคิดว่า…สือชีจะเชื่อฟังผู้ใดมากกว่ากัน

พูดอีกอย่างก็คือสือชีเป็นองครักษ์ของคุณชายหมิง เรื่องที่เขาปฏิบัติเช่นนั้นต่อเจ้า คุณชายหมิงจะไม่ทราบเชียวหรือ เขาเคยลงโทษสือชีหรือไม่ ถ้าหากไม่ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่บอกเจ้าด้วยความเสียใจว่าทุกสิ่งที่สือชีปฏิบัติต่อเจ้าล้วนได้รับการอนุญาตจากคุณชายหมิงแล้ว แม้ว่าข้าเต็มใจช่วยพูดกับสือชีแทนเจ้า สือชีก็อาจไม่สนใจเจ้าเช่นเดิม

ข้าพูดชัดเจนพอหรือไม่ ต่อไปคงไม่มารบกวนข้าอีกแล้วกระมัง”

เฉียวอวี้ซีโกรธจัดจนเลือดสูบฉีดทั่วร่างกายอย่างรุนแรง แทบอยากจะกรีดร้องออกมาในบัดนั้น อารมณ์อันคุกรุ่นทำให้นางถึงขั้นลืมถามเฉียวเวยว่าเหตุใดจึงเรียกอีกฝ่ายว่าคุณชายหมิง แต่เนื่องจากชื่อของท่านอัครมหาเสนาบดีมีคำว่าหมิงจริงๆ นางจึงฟังเข้าใจ

นางกระซิบ “เจ้าจะไปรู้อะไร ใต้เท้าเขา…เพียงเอ็นดูสือชีมาก! เขาถือว่าสือชีเป็นลูกของเขามาโดยตลอด เขาทนไม่ได้ที่จะลงโทษสือชี”

“ถ้าเจ้าต้องการจะคิดเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูด” เฉียวเวยยิ้ม “เอาที่เจ้าสบายใจก็แล้วกัน”

หลังจากออกจากโรงรับจำนำ เฉียวเวยไม่ได้กลับไปที่โรงตีเหล็ก แต่ไปเรือนสี่ประสานบนถนนชิ่งเฟิง

นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายมาหาจีหมิงซิวก่อน

จีหมิงซิวไม่อยู่ที่นี่

คราวก่อนได้ยินลี่ว์จูพูดว่าเขาไม่ค่อยมาอยู่ที่นี่นัก

เมื่อครู่คุณหนูจวนเอินปั๋วเรียกเขาว่า ‘ใต้เท้า’ ฐานะของเขา…อาจสูงกว่าที่นางคิด เรือนเช่นนี้น่าจะปล่อยว่างไว้ ปีหนึ่งคงมาเพียงไม่กี่หนกระมัง

ลี่ว์จูเชิญนางไปที่เรือนตะวันออกด้วยท่าทางเคารพ จากนั้นชงชาร้อน นำขนมมาให้ และพูดด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดฮูหยินจึงมาคนเดียวเจ้าคะ จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเล่า”

“พวกเขาอยู่กับน้องชายข้า” เฉียวเวยถือถ้วยน้ำชาขึ้นมาพลางเหลือบมอง ห้องยังคงเหมือนกับตอนที่นางจากไป ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น

ลี่ว์จูมองนางพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “หลังจากฮูหยินจากไป บ่าวก็ทำความสะอาดทุกวันเจ้าค่ะ”

คำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ เฉียวเวยเพียงยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ในเวลานี้นางไม่รู้ว่านางเป็นผู้หญิงคนแรกที่จีหมิงซิวพากลับมาที่เรือนสี่ประสานแห่งนี้ ไม่ว่านางจะเคยออกเรือนแล้วหรือไม่ก็ตาม ในใจของลี่ว์จูจึงถือว่านางเป็นผู้หญิงของเจ้านายตนแล้ว

นางยิ้มและพูดว่า “ฮูหยินเจ้าคะ เชิญท่านนั่งก่อนเถิด ข้าจะส่งคนไปแจ้งนายท่าน คุณชายหลัวอาศัยอยู่ที่ใด ให้ข้าส่งคนไปรับพวกเขาหรือไม่เจ้าคะ”

เฉียวเวยกล่าวว่า “ไม่ต้องวุ่นวายปานนั้น ประเดี๋ยวข้าก็จะกลับแล้ว”

“รีบถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ” ลี่ว์จูถาม

พรุ่งนี้เช้านางต้องไปทำการค้าย่อมต้องรีบอยู่แล้ว นางไม่เหมือนคุณหนูจวนเอินปั๋วที่บ้านร่ำรวย แม้ไม่ทำงานทำการก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง

เฉียวเวยหยิบกล่องออกมาจากห่อผ้า “เจ้าช่วยมอบสิ่งนี้ให้คุณชายแทนข้าที ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอยู่ในนั้น เจ้าช่วยขอบคุณเขาแทนข้าด้วยที่ช่วยแก้วิกฤตให้ข้า”

ลี่ว์จูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วผลักกล่องคืนไป “ฮูหยินรอให้นายท่านกลับมาแล้วค่อยมอบให้เขาด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”

“เอ่อ…”

“ฮูหยินไม่อยากพบนายท่านหรือเจ้าคะ หลังจากที่ฮูหยินกลับไปแล้ว นายท่านก็มักจะมาที่ห้องของฮูหยินบ่อยๆ นายท่านคิดถึงฮูหยินมากนะเจ้าคะ”

อย่างนั้นหรือ

นางเป็นเพียงหญิงม่ายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขาจะถึงคิดถึงนางทำไม

น่าสนใจ…

มุมปากของเฉียวเวยยกโค้งขึ้น ไม่ว่าจะเม้มไว้อย่างไรก็ไม่สามารถหุบยิ้มได้ ครั้นแล้วจึงยืดหลังตรง กล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “คืนเงินต่อหน้านั้นจริงใจกว่าจริงๆ”

ลี่ว์จูเม้มริมฝีปากยิ้ม

เฉียวเวยพูดอีกครั้งเหมือนจะนึกอะไรได้ “จริงสิ ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย ถ้าเจ้าไม่สะดวกก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถาม”

ลี่ว์จูกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “เชิญฮูหยินพูดเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยใช้ฝาถ้วยเขี่ยใบชาที่ลอยอยู่ แล้วพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ ว่า “วันนี้ข้าพบคุณหนูจวนเอินปั๋วระหว่างทาง นางพูดจาแปลกๆ กับข้า ข้าไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่านาง…หมายความว่าอะไร”

ลี่ว์จูตอบอย่างดูแคลน “ฮูหยินมิต้องสนใจนางเจ้าค่ะ นางเป็นเพียงคู่หมั้นในนามเท่านั้น ในใจของนายท่านไม่เคยเห็นว่านางเป็นคนของตนเลย”

เฉียวเวยรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นจัดเทราดใส่ตัว เกิดความรู้สึกชาดิกจากภายนอกเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ “เจ้าบอกว่า…นางเป็นคู่หมั้นของนายท่านเจ้าหรือ”