ตอนที่ 90 เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของสํานักดาบราชัน!

นอกจากสตรีทั้งสี่ ยังมีชายชราผมสีขาวราวหิมะยืนอยู่ด้วย ยิ่งกว่านั้นชายวัยกลางคนอีกสี่คนยืนอยู่ด้านข้างและอีกหนึ่งสตรี หยางเย่ไม่รู้จักชายวัยกลางคนทั้งสี่ แต่รู้จักสตรีคนนั้น เพราะนางคือซูชิงฉือ

เมื่อหยางเย่เดินเข้าไปข้างใน สายตาทุกคู่มองจ้องมาทางเขา ในตอนแรกเขาสงสัยว่าเหตุใดจึงมีคําสั่งจากผู้อาวุโสขั้นสูงของสํานัก แต่ตอนนี้เข้าใจทันทีที่เห็นเฟิงอี้

พวกเขามาด้วยเจตนาร้าย!

หยางเย่สูดหายใจลึกก่อนจะเดินไปคารวะชายชราตรงหน้า “ศิษย์นอก หยางเย่ คารวะผู้อาวุโสดาบราชัน!”

ชายชราผมขาวพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่กลุ่มของเฟิงอี้ ” พวกท่านคงเดินทางมาไกล ข้าคิดว่าพวกท่านคงเหน็ดเหนื่อยเอาการ ชิงฉือพาแขกทั้งสี่คนไปพักผ่อนเร็ว!”

ซูชิงฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย นางมองไปที่หยางเย่พร้อมลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินไปหาเฟิงอี้ “กรุณาตามข้ามา!”

เมื่อนางสังเกตว่าชายชราไม่ต้องการพวกนางอยู่ที่นี่ หนึ่งในสตรีด้านหลังเฟิงอี้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ขณะที่นางกําลังจะกล่าวบางอย่าง เฟิงอี้ส่ายหัวพร้อมกล่าว “เช่นนั้นพวกเราจะปล่อยให้ท่านสะสางเรื่องกันเอง!”

ซูชิงฉือพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นนางหันหลังพร้อมเดินนําสตรีทั้งสี่ออกไปจากห้องโถง อย่างไรก็ตาม ประกายแห่งความกังวลใจได้ปรากฏผ่านดวงตานางเมื่อเดินผ่านหยางเย่

เฟิงอี้เองก็มองหยางเยเช่นกัน แต่สายตานั้นเป็นสายตาแห่งความเย้ยหยัน

หยางเย่หัวใจจมดิ่งทันทีที่เห็น เวลานี้ชายชราได้เดินเข้ามาทางหยางเย่พร้อมเอ่ยถาม “มารดาเจ้าเป็นศิษย์ของราชวังบุปผางั้นหรือ?”

หยางเย่ระงับความกดดันทั้งหมดไว้พร้อมกําหมัดแน่น “ใช่ขอรับ!”

“ราชวังบุปผาต้องการให้สํานักดาบราชันส่งเจ้าและน้องสาวให้พวกเขา เจ้าคิดเห็นเช่นไร?” ชายชราถามตรงประเด็น

หยางเย่สูดหายใจลึก จากนั้นเขายิ้มเย้ยหยันตนเองพร้อมกล่าว “ผู้อาวุโสดาบราชัน เมื่อท่านได้ตัดสินใจไปแล้ว เช่นนั้นความคิดเห็นของข้าจะสําคัญอย่างไร?”

ชายชราเงียบไปชั่วครู่เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยของหยางเย่ หากมันขึ้นอยู่กับเขาคนเดียว เขาคงไม่ส่งศิษย์ของสํานักให้ผู้อื่น เพราะมันจะทําให้ศิษย์ในสํานักรู้สึกผิดหวังมาก แต่ครั้งนี้เขาหาได้มีทางเลือกไม่ เพราะความแข็งแกร่งของราชวังบุปนั้นแข็งแกร่งกว่าสํานักดาบราชันมาก ทั้งยังมีเหตุผลที่เพียงพอด้วย

แต่หากเขาส่งหยางเยู่ให้ มันจะทําให้ศิษย์ทั้งหลายในสํานักดาบราชันผิดหวัง!

ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนมีจมูกเหยี่ยวเดินเข้ามาด้านข้าง “ศิษย์พ่อหลิน สํานักดาบราชันของเราเป็นเหมือนน้ำและไฟกับสํานักภูตผี คงเป็นการดีหากไม่สร้างความขัดแย้งกับราชวังบุปผาตอนนี้ ยิ่งกว่านั้นราชวังบุปผายังมีเหตุผลที่เพียงพอ หากเราไม่ส่งตัวให้พวกเขาไป เช่นนั้นสํานักดาบราชันกับราชวังบุปผาคงไม่ลงรอยกันแน่นอน มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่ง!”

หลังจากกล่าวจบ ชายวัยกลางคนหันไปมองหยางเย่พร้อมกล่าวอีกครั้ง ”เจ้าหนุ่ม พวกเราต่างเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ข้าไม่ต้องการทําร้ายเจ้าด้วยคําเหล่านั้น ข้าเพียงต้องการจะบอกว่าข้าทําเพื่อสํานักเท่านั้น หากเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดและต้องการแก้แค้นในอนาคต เช่นนั้น เจ้าสามารถมาหาข้าได้เสมอ ข้ามีนามว่าในหัว!”

หยางเย่พยักหน้าก่อนจะกล่าวอย่างไม่ถ่อมตนอีก “ข้าจะจดจําชื่อท่านไว้อย่างดี หากข้าสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ เช่นนั้นข้าจะกลับมาหาผู้อาวุโสในหัวเพื่อทวงถามคําอธิบายเอง!”

เมื่อพวกเขาได้ยิน ชายวัยกลางคนทั้งสี่และอวี่หลินมองไปที่หยางเย่ด้วยความประหลาดใจ “พวกเราประเมินชายหนุ่มคนนี้ต่ำเกินไปเสียแล้ว!”

ชินหัวมองไปที่หยางเย่ด้วยความชื่นชมพร้อมกล่าว “เจ้าหนุ่ม ความกล้าหาญหนักแน่นของ เจ้านับว่าไม่เลว ถ้าไม่ใช่เพราะอนาคตของสํานักข้าคงไม่ส่งตัวเจ้าไปแน่!”

หยางเย่เอ่ยถามเฉียบพลัน “ผู้อาวุโส ข้าขออนุญาตถามสักเล็กน้อย อะไรคือความตั้งใจของผู้ก่อตั้งสํานักดาบราชันเมื่อหลายปีก่อน?”

ชินหัวขมวดคิ้ว “เจ้าต้องการจะบอกอะไร?”

หยางเย่ถามอีกครั้ง “เหตุใดผู้คนมากมายถึงต้องการจะเข้าร่วมสํานัก เพราะไม่เพียงแค่จะได้รับทรัพยากรการบ่มเพาะแล้ว มันยังถือเป็นเกียรติอย่างมาก มันแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นจะไม่ถูกรุกรานจะคนอื่นในอนาคต ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากข้ากลับไปในเมือง และตระกูลทั้งหลายทราบว่าข้าเป็นศิษย์ของสํานักดาบราชัน เช่นนั้นพวกเขาจะปฏิบัติกับข้าด้วยความเคารพ”

“เมื่อบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสํานักไม่อาจถูกใครระรานได้ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงก่อตั้งสํานักดาบราชั้นขึ้นมาล่ะ? ข้าคิดว่านอกจากสืบทอดมรดกวิชาแล้ว เขายังต้องการให้ศิษย์ทุกคนอยู่กันเป็นปึกแผ่น เพราะการเป็นปึกแผ่นกันมันทําให้พวกเขาไม่ถูกระรานจากผู้อื่นเมื่อเขาจากไป”

” กล่าวคือ การที่สํานักช่วยเหลือกัน มันสามารหลีกเลี่ยงการถูกรุกรานจากผู้อื่นได้ ชีวิตของ ข้าหาได้มีค่าพอและก็หาได้กลัวความตายไม่ แต่หากผู้อาวุโสส่งข้าและน้องสาวให้พวกมัน ศิษย์ในสํานักจะคิดกันอย่างไร? ผู้คนด้านนอกจะคิดกันอย่างไร?”

“ผู้อาวุโส พวกท่านคิดว่าจะมีใครอยากเข้าร่วมกับสํานักที่ไม่สามารถปกป้องศิษย์ได้กันบ้างล่ะ? จะมีใครรู้สึกเป็นเกียรติในชื่อของสํานักดาบราชันอีกไหม? จะมีใครฝึกหนักเพื่อสํานักแบบนี้อีก?” ทันทีที่กล่าวจบ หยางเย่สูดหายใจลึก

เขาไม่ต้องการที่จะตาย และไม่ต้องการให้น้องสาวตาย เขาต้องการจะช่วยมารดา ดังนั้นเขาต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอดทุกวิธีทาง หากเขามุ่งมั่นที่จะมีชีวิตรอด อย่างน้อยก็ยังมีโอกาส แต่หากไม่ทําสิ่งใดเลยก็เท่ากับตายแน่นอน

ทุกคนในห้องโถงเงียบกันไปชั่วครู่ หยางเย่กล่าวไปยึดยาว แต่มีเพียงประโยคเดียวที่ทําให้พวกเขาตกอยู่ในภวังค์ มันคือประโยคที่ว่าคงไม่มีใครจะเข้าร่วมสํานักอีกหากสํานักปกป้องศิษย์ไม่ได้ พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับว่าคํากล่าวนี้ว่ามันสมเหตุสมผลอย่างแท้จริง

แต่หากพวกเขาไม่ส่งหยางเย่ให้ เช่นนั้นพวกเขาจะอธิบายกับราชวังบุปผาได้อย่างไร? เพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ผิดอยู่ดี หากพวกเขาไม่ส่งหยางเย่ให้มันก็ราวกับตบหน้าราชวังบุปผาอย่างเย็นชา ยิ่งในช่วงเวลานี้มันไม่เหมาะสมที่จะสร้างความขัดกับราชวังบุปผา หรือกล่าวได้ว่ามันไม่เหมาะที่จะสร้างความขัดแย้งกันเพียงเพื่อศิษย์นอก

เมื่อนึกได้เช่นนั้น ในหัวและชายวัยกลางคนอีกสามคนหันไปมองอวี่หลิน

อวี่หลินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าว “หยางเย่ คํากล่าวของเจ้านับว่ามีเหตุสมผล เหตุผลที่สํานักดาบเรายังคงอยู่มาได้จนถึงปัจจุบันก็เพราะความเป็นปึกแผ่นของสํานัก ดังนั้นสํานักดาบราชันก็หาได้ละทิ้งศิษย์ของสํานักไม่!”

ขณะที่หยางเย่กําลังจะยินดี อวี่หลินได้กล่าวอีกครั้ง “แต่หยางเย่ เจ้ายังไม่ใช่ศิษย์ของสํานักดาบราชัน!”

รอยยิ้มบนใบหน้าหยางเย่แข็งกระด้างทันที “ผู้อาวุโส อย่าบอกนะว่าท่านจะไล่ข้าออกจากสํานักก่อนจะส่งตัวข้าให้ราชวังบุปผา?”

อวี่หลินส่ายหัวพร้อมกล่าว “หากข้าทําเช่นนั้น มันจะแตกต่างจากการส่งเจ้าไปราชวังบุปผาโดยตรงยังไง? ข้าหมายความว่าเจ้ายังไม่ใช่ศิษย์ของสํานักดาบราชันโดยแท้จริง”

หยางเย่กล่าวด้วยเสียงต่ำ “แต่ข้าผ่านบททดสอบสํานักนอกแล้ว!”

อวี่หลินกล่าว “เจ้ามีตราสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนหรือไม่?”

เปลือกตาหยางเย่กระตุกทันทีที่ได้ยิน เมื่อได้ยินคําของชายชรา หยางเย่นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้ไปเข้าร่วมพิธีรับศิษย์ในวันนั้น เพราะเหตุการณ์ทางบ้าน ยิ่งกว่านั้นเขาลืมมันเสียสนิทตั้งแต่ได้มาถึงสํานักดาบราชัน กล่าวคือ เขายังไม่ใช่ศิษย์ของสํานักดาบราชันอย่างเต็มตัว!

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หยางเย่ส่ายหัวพร้อมหัวเราะออกมา เขามองไปยังทุกคนในห้องโถงพร้อมกล่าว “เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกท่านได้ตัดสินใจกันอยู่แล้วสินะ ช่างน่าขันนักที่ข้านึกว่ายังมีโอกาศพลิกสถานการณ์ ช่างน่าขันนัก!”

อวี่หลินถอนหายใจ อันที่จริงเขาไม่ต้องการตัดสินใจเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดที่จะช่วยสํานักได้ สํานักดาบราชันต่างจากในอดีตไปมาก ถึงแม้จะอยู่ในหกมหาอํานาจแต่ก็อยู่ในอันดับต่ำสุด ยิ่งกว่านั้นอํานาจของสํานักยังไม่อาจทัดเทียมราชวังบุปผาได้

ไม่พอ ยังมีความขัดแย้งกับสํานักภูตผี ดังนั้นหากราชวังบุปผาย้ายฝั่งไปอยู่ข้างสํานักภูตผี ความหายนะจะต้องเกิดกับสํานักดาบราชันแน่นอน

สําหรับสิ่งที่หยางเย่ได้กล่าวไว้ว่าจะมีคนผิดหวังกับสํานักก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะหยางเย่กับน้องสาวจะหายไปอย่างไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น!

“ผู้อาวุโส ท่านส่งตัวข้าไปคนเดียวและปล่อยน้องสาวข้าไปได้หรือไม่?” หยางเย่เงยหน้ามองอวี่หลินพร้อมเอ่ยถาม

อวี่หลินส่ายหัว “ราชังบุปผาต้องการพวกเจ้าทั้งคู่!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางเย่สูดหายใจพร้อมปิดตาลงอย่างช้า ๆ จากนั้นไม่นาน หยางเย่เปิดตา ทําให้พลังปราณที่ร้ากาจระเบิดออกเมื่อพลังนี้ปรากฏ ดาบในมือของหยางเยถึงกับสั่นหอนออกมา

หยางเย่มองกวาดไปที่ชายวัยกลางคนทั้งหมดก่อนจะมองไปที่อวี่หลินคนสุดท้าย ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าหยางเยไม่ใช่ศิษย์ของสํานักดาบราชันอีก!”

เมื่อได้ยินว่าอวี่หลินจะไม่ปล่อยน้องสาวไป หยางเย่ได้ยอมแพ้กับสํานักอย่างแท้จริง

เมื่อทั้งห้าคนสังเกตเห็นรังสีพลังปราณแผ่พุ่งออกมาจากตัวหยางเย่ ท่าทีของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างเหลือเชื่อ

อวี่หลินราวกับสูญเสียจิตวิญญาณ เขากล่าวอย่างสั่นเทา “เป็นไปได้ยัง? เป็นไปได้ยังไงกัน? มันคือเจตจํานงแห่งดาบ…”

“ฮ่าฮ่า! เยี่ยม! ดีแล้วที่ไม่เข้าร่วมสํานักอย่างสํานักดาบราชั้น! ฮ่าฮ่า!!” ทันใดชายชราคนหนึ่งหัวเราะดังลั่นขณะเดินเข้ามาในห้องโถง ข้างกายเขายังมีเด็กผู้หญิงอีกคน เด็กผู้หญิงคนนั้นหาได้เป็นคนอื่นไม่ นางคือเปาเอ๋อ!