บทที่ 224 ศัสแผ่นลวงคน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 224 ศัสแผ่นลวงคน

แม้จะเป็นทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ แต่ในตลาดมืดก็มีทั้งมังกรอสรพิษปะปนกัน ต่อให้เจ็ดเนตรโลหิตจะเป็นขั้วอำนาจระดับสูงของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็ตาม แต่ก็ยังคงมีความชั่วร้ายอีกมากมายซ่อนอยู่ตามเงามืด

บวกกับนิสัยของสวี่ชิงที่ระมัดระวังมาตลอด เรื่องที่มาทำในตลาดมืดนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงไม่เพียงแต่ปลอมตัวอย่างรอบคอบ กระทั่งกลิ่นอายก็ยังอำพรางไปด้วยเช่นกัน

ส่วนนายกอง ในฐานะที่เขาเป็นผู้มากประสบการณ์ จึงอำพรางได้ดียิ่งกว่าสวี่ชิงเสียอีก กระทั่งกลายเป็นชายชราหลังค่อมคนหนึ่งไปแล้ว ดูแล้วแม้จะป่วยกระเสาะกระแสะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมายั่วยุได้ง่ายๆ

เมื่อเทียบจุดนี้กับชายกลางคนผอมแห้งที่สวี่ชิงแปลงมาแล้วยังดีกว่ามากนัก

ดังนั้นหลังจากเดินออกจากค่ายกลส่งข้าม สวี่ชิงกวาดตามองนายกอง เขารู้สึกว่าตนเองได้ความรู้มาส่วนหนึ่ง

นายกองกระแอมไอเสียงแห้ง หลังจากกวาดมองในเมืองเหมันต์ทมิฬแล้ว ก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า

“ที่นี่ไม่เลวเลย ข้าเองก็มีของบางอย่างต้องจัดการที่นี่ อีกเดี๋ยวเมื่อพวกเราเสร็จงานก็กลับมารวมตัวที่นี่แล้วกัน” นายกองเอ่ยขึ้น เดินจากแยกออกไปก่อน สายตากวาดมองกลุ่มเด็กที่กำลังจ้องมองเขาตาปริบๆ จากนั้นจึงเลือกเด็กน้อยออกมาคนหนึ่ง

เด็กน้อยคนนั้นตาเป็นประกาย รีบวิ่งตามเข้ามา

สวี่ชิงไม่ได้เลือก เขามีบรรพจารย์สำนักวัชระอยู่แล้ว

บรรพจารย์สำนักวัชระดูคุ้นเคยกับตลาดมืดอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นสวี่ชิงจึงเดินไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สายตามาดร้ายและสำรวจด้านหลังเหล่านั้นมารวมอยู่ที่ตัวเขาประปราย เมื่อสวี่ชิงเดินจากไป สายตาเหล่านั้นก็หายไปกว่าครึ่ง แต่ยังมีอีกหลายสายตาที่ยังคงอยู่โดยตลอด

“แผนนายท่านล้ำเสียจริง ท่านคงรู้อยู่แล้วว่าพวกละโมบโลภมากในตลาดมืดนี้มีอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงจงใจให้พวกเขาจับตาดูสินะ เมื่อเป็นเช่นนี้ พอขายของเสร็จ พวกเรายังสามารถรับของอย่างอื่นมาอีกด้วย

“ข้าแนะนำให้นายท่านอีกเดี๋ยวเผยทรัพย์สมบัติออกมาเสียหน่อย เช่นนี้ขอแค่ควบคุมระดับไว้ให้ดี ก็จะไม่ดึงพวกแก่นลมปราณเข้ามา แต่สามารถดึงดูดพวกขยะสร้างฐานเข้ามาได้

“นายท่าน เจ้าสุนัขป่าพวกนี้ แต่ละตัวก็อวบอ้วนกันหมด”

บรรพจารย์สำนักวัชระเมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ก็เอ่ยปากประจบสอพลอ เขารู้สึกว่าช่วงนี้ตัวตนของตนเองช่างจืดจางเสียเหลือเกิน ด้านหนึ่งก็เพราะเจ้านายกองนั่นอยู่ข้างๆ ตลอด ตนเองเผยตัวตนไม่ได้ อีกด้านหนึ่งก็คือเจ้าเงาโง่นั่นช่วงนี้ก็ดูจะเชิดหน้าชูตาอย่างกำเริบเสิบสานเสียจริง

สิ่งนี้ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระระแวดระวังมาก เขาตัดสินใจว่าจะทำให้ในใจจอมมารสวี่มีบทบาทของตนเองมากขึ้นในตลาดมืดนี้ จะให้ภาพจำว่าตนเองเป็นขยะกับจอมมารสวี่ไม่ได้

“อืม”

สายตาสวี่ชิงมองไปยังร้านรวงและกลุ่มคนรอบๆ ที่นี่มีคนสัญจรจำนวนมหาศาล ส่วนใหญ่ล้วนปิดบังตัวตน สวมชุดคลุมตัวโคร่ง และยังใส่หน้ากากป้องกันไม่ให้คนอื่นตรวจสอบได้อีก และในระหว่างที่สังเกต สวี่ชิงก็ไม่ได้ฟังคำพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระเลย เพียงตอบกลับด้วยเสียงเรียบประโยคเดียวเท่านั้น

แต่การตอบกลับที่เรียบง่ายนี้ กลับทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระที่สัมผัสไวกว่าอะไรดีจิตใจสั่นสะเทือน

‘ตอนที่จอมมารสวี่พูดกับข้าแค่คำเดียวก่อนหน้านี้ คือแสดงว่าไม่สบอารมณ์ หรือว่า…คำพูดของข้าเมื่อครู่มันผิดหรือ หรือว่าจอมมารสวี่ไม่คิดจะขายออกไปง่ายๆ กัน หรือว่าจะไม่พอใจอะไรตัวข้า ไม่ได้การล่ะ ข้าจำเป็นต้องคิดหาวิธีเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้าเป็นเช่นนี้ คงกลายเป็นลางร้ายที่จะเอาข้าไปเป็นเป้าล่อเสียแล้ว!!’

ความรู้สึกวิกฤตที่รุนแรงทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระจิตวิญญาณสั่นสะท้าน รีบร้อนเอ่ยว่า

“นายท่าน ช่วงนี้ข้าเองก็กำลังครุ่นคิดว่าถ้าหากพวกเราจะขายอาวุธเวทออกไป คงขายได้ไม่ถึงคุณค่าของมันเป็นแน่ ข้ามีวิธีการดีๆ อย่างหนึ่ง!”

สวี่ชิงที่กำลังจะเดินเข้าไปในร้านอาวุธเวทแห่งหนึ่งที่มีผู้บำเพ็ญไม่เยอะมาก พอได้ยินก็ลดความเร็วลง ประหลาดใจเล็กน้อย

“พวกเราเป็นคนดีไม่ทำเรื่องลับๆ ล่อๆ ไม่ได้ใช้ของปลอมมาหลอกเป็นของจริง แต่ขายอาวุธเวทที่ดูแล้วเหมือนปกติ ทว่าอันที่จริงกระแทกแรงๆ หน่อยก็จะแตกเสียหายแล้ว!

“ข้าคิดแล้วว่านี่เป็นความพิเศษของพวกเรา ถึงอย่างไรคนที่นี่ก็ซับซ้อนมาก จะความคิดแบบใดก็ล้วนมีอยู่ทั้งสิ้น คนมากมายไม่ได้ซื้อของให้ตนเองใช้ แต่มีความคิดที่จะนำไปลวงผู้อื่น เช่นนั้นอาวุทเวทของพวกเราก็คือตัวเลือกแรกๆ ของพวกเขา!

“ดังนั้นพวกเราจะไม่ไปที่ร้าน แต่เราจะตั้งแผง!” บรรพจารย์สำนักวัชระเค้นสมองคิดหาวิธีอย่างเต็มที่ รีบร้อนเอ่ยขึ้น เมื่อสวี่ชิงฟังจบก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าน่าจะได้

ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งของจะแพงก็ด้วยความหายาก สำหรับคนที่มีความต้องการพิเศษแล้ว บางทีอาจจะเป็นสิ่งของมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งก็ได้ สวี่ชิงจึงเลือกคำแนะนำของบรรพจารย์สำนักวัชระ ออกจากสถานที่นี้ภายใต้การชี้แนะของเขา ตรงไปยังถนนการค้าอิสระของเมืองเหมันต์ทมิฬ

ที่นั่นผู้บำเพ็ญมีมากยิ่งกว่า มังกรอสรพิษปะปนกัน และบรรพจารย์สำนักวัชระเองก็ดูคล่องแคล่วเสียเหลือเกิน นำทางสวี่ชิงตรงไปยังกรมดูแลจัดการของสถานที่แห่งนี้ เช่าแผงมาแผงหนึ่ง ตั้งป้ายไม้ขนาดยักษ์ขึ้นมาแผ่นหนึ่ง

ไม่จำเป็นต้องให้สวี่ชิงทำอะไร บรรพจารย์สำนักวัชระควบคุมเหล็กแหลมสีดำ จัดการตวัดเขียนอักษรสี่ตัวลงไป

ศัสแผ่นลวงคน!

สวี่ชิงมองผาดหนึ่งก็เลิกคิ้วขึ้น ไม่พูดอะไร ขัดสมาธินั่งลงเฝ้ารอเงียบๆ จ้องมองคนสัญจรไปมาในถนนการค้าแห่งนี้

รออยู่ครู่หนึ่ง คนที่เดินผ่านส่วนใหญ่เพียงชำเลืองมอง ที่ตั้งใจมองจริงๆ แทบไม่มี สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกหมดความอดทน

“นายท่านอย่าเพิ่งร้อนรน ทำได้แน่นอน ข้ารู้ซึ้ง และมีความมั่นใจ ต้องรู้ด้วยว่าในอดีตข้าไปตลาดมืดมามาก หาของเช่นนี้โดยเฉพาะ…และของพวกนี้ก็ไม่พบบ่อย ข้าเชื่อว่าคนที่เป็นเช่นเดียวกับข้าก็คงมีไม่น้อยเช่นกัน”

บรรพจารย์สำนักวัชระรีบร้อนเอ่ยปาก เขาไม่ทันสังเกต ว่าเจ้าเงาที่อยู่ข้างๆ อันที่จริงแอบหรี่เนตรเงาอย่างระมัดระวังมาตั้งแต่ต้นแล้ว จ้องที่เขาเขม็งราวกับเผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจ

ขณะเดียวกันก็กำลังเรียนรู้อย่างรวดเร็ว หลังจากได้ยินคำพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระ มันก็เหมือนจะเข้าใจกระจ่าง ราวกับได้เรียนรู้อะไรมาอย่างไรอย่างนั้น

สวี่ชิงพอได้ยินก็ไม่พูด ดวงตาปิดลง แล้วเวลาก็ไหลผ่าน ท่ามกลางความร้อนรนของบรรพจารย์สำนักวัชระ ผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป จู่ๆ ดวงตาบรรพจารย์สำนักวัชระก็เปล่งประกาย สวี่ชิงเองก็สังเกตเห็น ลืมตาขึ้นมา

และเห็นผู้บำเพ็ญร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำทั้งตัวรูปร่างไม่ชัดเจนมาหยุดยืนอยู่หน้าแผงของสวี่ชิง สายตาไปหยุดอยู่ที่อักษรสี่ตัวบนกระดานไม้

“ลวงอย่างไร” เสียงแหบพร่าดังลอดอกมาจากในชุดคลุม

สวี่ชิงไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา ขณะเดียวกันก็ล้วงเอาพัดอาวุธเวทออกมาวางไว้ข้างๆ กดมันไว้ด้วยมือข้างเดียว

คนชุดคลุมดำคนนั้นรับแผ่นหยกไป เมื่ออ่านอย่างละเอียดก็นิ่งเงียบ

เนื้อหาในแผ่นหยกคือสิ่งที่บรรพจารย์สำนักวัชระทำขึ้น ด้านในบรรยายสรรพคุณของพัดอาวุธเวทนี้เอาไว้ครบถ้วน โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องที่ของสิ่งนี้เป็นเพียงเปลือกนอก แต่ไม่ส่งผลกระทบกับการใช้งาน ยิ่งไปกว่านั้นยังตรวจสอบถึงปัญหาได้ยากด้วย มีเพียงจุดเด่นที่จะแตกหักเองเมื่อใช้แรงมากเกินไปในยามวิกฤต

มองจากเนื้อหาในแผ่นหยกแล้ว ก็เหมือนว่าวัตถุประสงค์ที่อาวุธนี้ถูกหลอมขึ้น เพื่อนำมาหลอกลวงคน

“ราคามาตรฐานไม่เกินจริง ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธเวทนี้ก็น่าสนใจดี…” คนชุดดำครุ่นคิด และดูตื่นเต้นมาก สุดท้ายก็ล้วงตั๋ววิญญาณออกมาปึกหนึ่งยื่นให้สวี่ชิง

สวี่ชิงยกมือขึ้นรับ สะบัดชายเสื้อ พัดอาวุธเวทก็ร่อนไปที่มือคนชุดดำคนนั้นอย่างรวดเร็ว จากมือที่ยื่นออกมามองออกว่า นี่เป็นผู้บำเพ็ญหญิงสาวคนหนึ่ง

นางรับพัดไปสำรวจ ดูพึงพอใจมาก รีบร้อนเดินจากไป

พอเห็นว่าขายได้จริงๆ สวี่ชิงก็ดูพึงพอใจมาก บรรพจารย์สำนักวัชระข้างๆ เองก็ถอนใจโล่ง ส่งเสียงต่ำลอดออกมา

“นายท่านวางใจเถิด ข้าเข้าใจคนประเภทนี้มาก ของของพวกเราเป็นอาวุธเวทเฉพาะทาง ในสายตาคนทั่วไปไม่มีค่าใด แต่ในใจคนบางกลุ่ม สิ่งนี้เป็นถึงศัสตราแผนลวงคน ยิ่งไปกว่านั้นยังหาได้ยากด้วย จะป้องกันก็ไม่ได้ หากหาวิธีให้ศัตรูนำของเล่นนี้ไปใช้ได้ จะต้องเล่นงานกระทั่งทีว่าอีกฝ่ายตายไปอย่างไรก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำ”

“ไม่เลว” สวี่ชิงชมขึ้นมา ประโยคนี้ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระตื่นเต้น แอบคิดว่าในที่สุดหนึ่งคำก็เปลี่ยนเป็นสองคำเสียที นี่อธิบายได้ว่าในที่สุดเขาก็เอาตัวรอดสำเร็จแล้ว!

และการพิจารณาของเขาก็ถูกต้อง คนในตลาดมืดไม่ได้มาซื้อของให้ตนเองใช้จริงๆ ในนี้มีอยู่มากมายที่มีเรื่องราวของตนเอง สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งของลวงคนเฉพาะทางเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้บ่อยๆ

ดังนั้นเพียงไม่นาน สวี่ชิงก็พบกับลูกค้ารายที่สอง คนผู้นี้เหมือนจะไม่ใช่เผ่ามนุษย์ เป็นต่างเผ่า หลังจากตรวจสอบแผ่นหยกของสวี่ชิง ก็ซื้อกลับไปสามชิ้นทันทีโดยไม่ลังเล

ตอนที่แสงสายัณห์ของวันนี้ลาลับ อาวุธเวทแปดชิ้นที่สวี่ชิงเตรียมมาก็ถูกขายออกไปจนหมดเกลี้ยงเช่นนี้

เมื่อเห็นว่าขายไปพอสมควรแล้ว สวี่ชิงก็เก็บแผง เดินอยู่ในถนนการค้า เตรียมออกไปหานายกองแล้วกลับสำนัก

แม้เวลานี้จะพลบค่ำ แต่สีท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง ผู้บำเพ็ญที่ไปมาในถนนการค้าก็มีมากยิ่งขึ้น สวี่ชิงเดินไปพลางสอดส่องแผงที่อยู่รอบๆ จู่ๆ สายตาเขาก็จ้องเพ่ง หยุดฝีเท้า จากนั้นเดินไปยังแผงข้างๆ ร้านหนึ่ง

บนแผงนี้ไม่มีของอะไรวางไว้ มีเพียงป้ายไม้ข้างๆ สลักอักษรเอาไว้สองตัว ดึงดูดความสนใจของสวี่ชิง

“ลูกกลอนวิญญาณ?”

เจ้าของแผงเป็นคนชุดดำเช่นกัน มองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง ใบหน้าสวมหน้ากากผีร้ายเอาไว้ สังเกตเห็นสวี่ชิงเดินเข้ามาถามไถ่ เขาก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองเย็นชา

“หนึ่งแสนก้อนหินวิญญาณต่อเม็ด”

สวี่ชิงเลิกคิ้ว เขารู้ว่าลูกกลอนวิญญาณแพงมาก สิ่งนี้ไม่ว่าจะการหลอมศัสตราหรือการเปิดช่องเวทของวิชาฝึกบำเพ็ญเฉพาะทาง หรือกระทั่งวิชาชั่วร้ายอื่นๆ ก็ล้วนต้องการทั้งสิ้น แต่ราคาเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่คุณภาพที่ได้มาตรฐาน ก็คงจะไม่คุ้มค่าเท่าไรนัก

เหมือนจะเดาความคิดของสวี่ชิงได้ เจ้าของแผงจึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“คุณภาพได้มาตรฐาน ล้วนใช้วิญญาณสร้างฐานมาหลอม”

สวี่ชิงครุ่นคิด ถ้าหากใช้วิญญาณสร้างฐานมาหลอม ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีปริมาณจำนวนมาก ถือว่ามีส่วนช่วยในการเปิดช่องเวทของเขาอยู่ โดยเฉพาะเขาในตอนนี้ที่ขาดอีกเพียงสิบเอ็ดช่องเวทก็จะจุดไฟชีวิตดวงที่สามได้

สำหรับสวี่ชิงแล้วยังดูร้อนใจอยู่บ้าง จึงโยนตั๋วหินวิญญาณออกมาม้วนหนึ่ง เจ้าของแผงเหลือบดู จากนั้นก็โบกมือเอากล่องหยกกล่องหนึ่งออกมา

สวี่ชิงรับมาเปิดออก หลังจากชำเลืองมองม่านตาก็หดลงเล็กน้อย

เป็นวิญญาณสร้างฐานจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น…ยังเป็นวิญญาณสร้างฐานของเผ่าสิงซากสมุทรด้วย ด้านในมีวิญญาณรวมปราณบางส่วนปนอยู่ และก็เป็นเผ่าสิงซากสมุทรด้วยเช่นกัน

สวี่ชิงมองเจ้าของแผงผาดหนึ่งอย่างพินิจ ไม่เห็นกลิ่นอายของนายกองบนตัวอีกฝ่าย เช่นนั้นถ้าหากลูกกลอนวิญญาณทั้งหมดของคนผู้นี้เป็นเผ่าสิงซากสมุทรล่ะก็ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเจ็ดเนตรโลหิต

และมีเพียงเจ็ดเนตรโลหิตเท่านั้น ที่เวลานี้จะมีวิญญาณของเผ่าสิงซากสมุทรมากมายขนาดนี้

“ยังมีอีกเท่าไร” สวี่ชิงถามขึ้น ยกมือขวาเหมือนไม่แยแส แต่ก็เคาะๆ อยู่บนเหล็กแหลมสีดำในอก

“มีอีกเยอะ” เจ้าของแผงเงยหน้า มองสวี่ชิงอย่างเย็นชา

สวี่ชิงครุ่นคิด ผ่านไปหลายอึดใจก็ตัดสินใจเด็ดขาด

“ข้าต้องการสี่สิบเม็ด!”

พอคำนี้ออกไป เจ้าของแผงเองก็ตกตะลึง ความเย็นชาหายไป ลมหายใจหอบถี่ ลังเลขึ้นอย่างชัดเจน

“ข้าทางนี้ไม่ได้มีมากถึงเพียงนั้น เจ้ารอข้าครู่หนึ่ง ข้ายังมีเพื่อนคนอื่นอีก พวกเรารวมกันเสียหน่อยก็น่าจะพอ”

“ได้ แต่ข้าซื้อมากถึงเพียงนี้ พวกเจ้าก็ควรจะแถมให้ข้าหน่อย” สวี่ชิงเอ่ยอย่างตั้งใจ

เจ้าของแผงเองก็เป็นคนสบายๆ พอได้ยินก็พยักหน้า ในแขนเสื้อบีบแผ่นหยกเริ่มสื่อเสียง ผ่านไปไม่นาน รอบด้านก็มีผู้บำเพ็ญที่แต่งตัวเหมือนกับเขาอีกห้าหกคนตรงเข้ามา หลังจากมาถึงก็พิจารณาสวี่ชิงตั้งแต่หัวจรดเท้า

ด้านในมีผู้บำเพ็ญร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง กลิ่นอายบนตัวค่อนข้างแข็งแกร่ง จ้องสวี่ชิงก็ค่อนข้างนาน

สวี่ชิงเองก็มองพวกเขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญร่างสูงใหญ่นี้จึงหัวเราะเสียงทุ้ม

“ยอดเขาลำดับเจ็ด?”

“ยอดเขาลำดับหนึ่ง?” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นอย่างสงบ

ผู้บำเพ็ญร่างสูงใหญ่พอได้ยินก็ยิ้มอีกครั้ง ไม่ถามอะไรอีก โบกมือล้วงถุงเก็บของใบหนึ่งออกมาโยนไปทางสวี่ชิง

“สี่สิบสามเม็ด!”

เมื่อสวี่ชิงรับไปก็ตรวจสอบเสียรอบหนึ่ง จากนั้นจึงส่งหินวิญญาณที่ได้มาจากการขายอาวุธเวท หันหลังเดินจากไป

จนกระทั่งเขาเดินจากไป คนชุดดำเหล่านี้ก็นั่งย่อตัวลงอยู่ด้วยกัน มองทิศที่สวี่ชิงเดินห่างออกไป เจ้าของแผงแรกสุดหนึ่งในนั้นคนก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นมา

“ศิษย์พี่สอง เจ้าเด็กยอดเขาลำดับเจ็ดคนนี้เป็นใครกัน รางวัลของสำนักยังไม่ออกมาเลย เขาทำไมถึงมีเงินมากถึงเพียงนี้”

“พูดยาก พวกยอดเขาลำดับเจ็ดแต่ละคนก็ชอบปิดซ่อนกันเสียเหลือเกิน…กลับไปพวกเราก็ตรวจสอบเสียหน่อย มีเงินมากขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องการคนคุ้มกันก็ได้ใช่หรือไม่ ถึงตอนนั้นให้เขาจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อจ้างเราทั้งปีก็พอ ช่วงนี้พวกแพะตัวอ้วนยิ่งน้อยๆ อยู่ เชื่อได้เลยว่าเขาจะต้องจ้างพวกเราอย่างใจกว้างแน่นอน”

“ยังไม่พูดเรื่องนี้แล้วกัน พวกเรารีบขายของทิ้งเถอะ สงครามใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ถ้าขายหมดครั้งนี้ ก็น่าจะไม่ต้องออกไปทำสงครามต่อแล้ว”