ตอนที่ 185 สองแม่ลูกบ้าอำนาจ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 185 สองแม่ลูกบ้าอำนาจ

หลี่หมิงเฉิงเฝ้ามองแผ่นหลังของฟางถิงที่เดินสะบัดสะบิ้งออกไปด้วยความกังวล “ผู้หญิงบ้านั่นไม่ควรเอาเรื่องไร้สาระพวกนี้ไปฟ้องคุณหมอฟางนะ”

“หล่อนเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแน่ แต่ต้องทำให้จั๋วหรานเชื่อคำพูดของหล่อนให้ได้ก่อน”

ใช่ว่าฟางจั๋วหรานไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหลี่หมิงเฉิงกับเธอเสียหน่อย เพราะแบบนี้หลินม่ายจึงไม่กลัวว่าฟางถิงจะวิ่งโร่ไปฟ้องเขาอย่างไรบ้าง

ฟางถิงตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลผู่จี้ภายในชั่วอึดใจเดียว พยายามตามหาฟางจั๋วหราน แต่เพื่อนร่วมงานของเขากลับบอกแค่ว่าเขาเดินทางไปประชุมที่ต่างเมือง

หล่อนครุ่นคิดอยู่ครู่หรึ่ง จากนั้นก็ตรงไปที่บ้านของเพื่อนสาวคนหนึ่งชื่อฟางฟาง

ฟางฟางแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมาหาตัวเองถึงที่

ถึงแม้ทั้งสองจะเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่กลับไม่สู้ดีนัก

เป็นเพราะพวกหล่อนต่างเป็นคนสวย จึงมักจะแก่งแย่งชิงดีกันอยู่เสมอ ทำให้ไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่นัก

พอฟางฟางเห็นว่าฟางถิงทำท่าทางเหมือนถูกใครทำให้หัวร้อนมา จึงถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ลมอะไรหอบเธอมาถึงบ้านฉันได้ล่ะ?”

ฟางถิงรู้จักนิสัยของฟางฟางเป็นอย่างดี จึงคิดจะใช้ประโยชน์จากอีกฝ่าย

หล่อนแค่ต้องการใช้ฟางฟางเป็นเครื่องมือแทนตัวในการทำสงครามประสาทกับหลินม่าย

“เมื่อกี้ฉันเพิ่งเดินผ่านห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียว เห็นแม่ค้าคนหนึ่งมาตั้งแผงลอยขายเสื้อผ้า แถมเสื้อผ้าที่หล่อนเอามาขายก็สวยจริง ๆ เสียด้วย งานเลี้ยงรุ่นคราวก่อนฉันได้ยินเธอคุยกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ว่าเธอจะอยากได้ชุดเหมือนดาราฮ่องกง ไหน ๆ แม่ค้าคนนั้นก็เอามาขายแล้ว เธอไม่คิดจะออกไปดูหน่อยเหรอ?”

สายตาของฟางฟางเป็นประกายขึ้นมาทันที “รอให้แม่ฉันกลับมาจากช้อปปิ้งก่อนเถอะ ฉันจะพาแม่ออกไปดู”

ริมฝีปากของฟางถิงกระตุกเล็กน้อย พอรู้ว่าเป้าหมายของตัวเองบรรลุแล้ว ก็หาข้ออ้างเพื่อขอตัวจากไป

ความจริงแล้วหล่อนไม่ได้ไปไหนไกล แต่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมอับสายตาของเขตชุมชนเพื่อรอดูฟางฟาง

ไม่นานนัก ฟางฟางกับแม่ของเธอก็เดินออกมา ตรงไปที่แผงลอยของหลินม่ายพร้อมกัน

ฟางถิงเห็นพวกเธอจากระยะไกลแล้ว สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย แค่นเสียงลอดไรฟันออกมา “ยัยคนชั้นต่ำ คอยดูเถอะว่าใครกันแน่ที่หัวเราะทีหลังแล้วดังกว่า!”

พูดจบแล้วก็หันหลังเดินจากไป

หล่อนไม่จำเป็นต้องตามไปดูผลลัพธ์ เพราะพอจะคาดเดาได้อยู่บ้าง

พวกเขาตั้งแผงขายเสื้อผ้าอยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวมาตั้งแต่สิบโมงเช้า

จนกระทั่งกิจการดำเนินไปถึงเที่ยงวัน หลินม่ายสามารถขายเสื้อผ้าได้มากกว่าหนึ่งร้อยตัว ธุรกิจใหม่นี้เฟื่องฟูเกินความคาดหมายของเธอเสียอีก ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี

ถึงตอนนี้จะเป็นช่วงเที่ยงวันแล้ว แต่แผงลอยของเธอก็ยังคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เนื่องจากมีพนักงานที่พักเบรกช่วงกลางวันออกมาจับจ่ายซื้อของกันมากขึ้น

หลินม่ายวางแผนว่าจะขายเสื้อผ้าจนกว่าจะหมดช่วงพักกลางวัน ตอนนั้นเองฟางฟางกับแม่ของเธอก็เดินมาถึง

หลินม่ายสังเกตเห็นพวกเธอเข้าพอดี

คนเป็นแม่ดูเหมือนเป็นแม่บ้านที่ยังดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ส่วนคนที่เป็นลูกสาวยังสาวสะพรั่ง แถมยังมีรูปร่างหน้าตาสวยมาก

สองแม่ลูกคู่นี้แต่งตัวดีทีเดียว คาดเดาว่าฐานะทางการเงินของพวกเธอคงดีพอประมาณ ถ้าเป็นลูกค้าคงเป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงมากแน่ ๆ

เธอหันไปร้องเรียกทั้งสองด้วยความกระตือรือร้น “เร่เข้ามา เร่เข้ามา เสื้อผ้าแฟชั่นล่าสุดจากกว่างโจวจ้า ไม่แวะซื้อแล้วจะเสียใจภายหลังนะจ๊ะ”

สองแม่ลูกปรายตามองเธอแค่แวบเดียว จากนั้นก็เริ่มหันไปเลือกเสื้อผ้า

พวกเธอรื้อเสื้อผ้าบนรถสามล้อของหลินม่ายตัวแล้วตัวเล่า อาจเป็นเพราะกังขาว่าราคาอาจแพงเกินไป คิดว่าเนื้อผ้ามีคุณภาพต่ำ หรือรังเกียจที่เสื้อผ้าเป็นรอยยับเพราะไม่ได้รีดก็เป็นได้

ยุคสมัยนี้ นอกเหนือจากห้างสรรพสินค้า เสื้อผ้าที่ขายอยู่ในตลาดมืดล้วนไม่ผ่านการรีดทั้งนั้น

คนที่เข้ามาเลือกชมสินค้า ในที่สุดก็กลายเป็นลูกค้าของเธอทั้งนั้น ยิ่งพวกเธอจู้จี้จุกจิกมากแค่ไหนก็ยิ่งจ่ายหนักเท่านั้น

ดังนั้นหลินม่ายจึงไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ออกมาเมื่อเห็นการกระทำของพวกเธอ

พอลองเปรียบเทียบเสื้อผ้าตรงหน้ากับเสื้อผ้าที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียว ฟางฟางกับแม่ของเธอถึงกับพูดไม่ออก

สองแม่ลูกช่วยกันหยิบเลือกเสื้อผ้าต่อไป ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกชุดเดรสสีแดงสด

แม่ของฟางฟางเขย่าชุดในมือพลางถามด้วยน้ำเสียงถือตัว “เธอขายชุดนี้เท่าไหร่?”

หลินม่ายเหลือบมองชุดเดรสตัวนั้น ความจริงแล้วราคาของมันอยู่ที่ตัวละสิบหยวน

แต่เพราะเธอคาดเดาว่าสองแม่ลูกคู่นี้คงมีทักษะในการคำนวณราคาที่สูงพอตัว จึงชูสามนิ้วขึ้นมาพลางตอบว่า “ตัวละสามสิบหยวนค่ะ”

การรับมือกับลูกค้าที่มีนิสัยช่างต่อรองอย่างตระหนี่ถี่เหนียว เธอจำเป็นต้องตั้งราคาขายแพงไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเกิดอีกฝ่ายต่อรองขึ้นมา เธอจะกลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ

แม่ฟางฟางได้ยินราคานี้ก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที โยนชุดเดรสในมือลงบนรถสามล้อของหลินม่ายอย่างไร้เยื่อใย “เนื้อผ้าก็เป็นแค่เนื้อผ้าธรรมดาทั่วไป ดีไซน์ก็งั้น ๆ เธอยังคิดจะขายมันในราคาสามสิบหยวนอีกเหรอ นี่ไม่ขูดรีดกันเกินไปหน่อยหรือไง?”

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณป้าคะ ในเมืองหรือแม้แต่ภายในประเทศของเรายังไม่มีเสื้อผ้าชุดไหนที่ตัดเย็บด้วยเนื้อผ้าประเภทนี้ด้วยซ้ำ ในห้างสรรพสินค้าก็ใช่ว่าจะมีนะคะ ถ้ามีจริง ด้วยสถานะทางการเงินของคุณ คุณคงไม่มาเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ร้านของฉันตั้งแต่แรกหรอก คุณเองก็คงหาซื้อเสื้อผ้าแบบนี้จากที่อื่นไม่ได้จริงไหมคะ? ฉันไปรับเสื้อผ้าพวกนี้มาจากกว่างโจว ราคาทุนก็ไม่ใช่น้อย ๆ ไม่อย่างนั้นฉันคงให้คุณต่อรองราคาโดยดีไปแล้ว”

ในใจของหลินม่ายคิดอยากจะด่าพวกหล่อนเป็นพันครั้ง แต่คำพูดที่ออกจากปากกลับหวานฉ่ำราวน้ำผึ้งเพราะเต็มไปด้วยคำเยินยอ

ถึงแม้สองแม่ลูกจะพึงพอใจกับคำเยินยออย่างปากหวานของหลินม่าย แต่สติปัญญากลับไม่ได้โอนอ่อนผ่อนตาม

แม่ฟางฟางพูดหยั่งเชิง “เธอขายชุดนี้ให้ฉันสิบห้าหยวนได้ไหมล่ะ?”

ถ้ายอมขายในราคานั้นจริงหลินม่ายก็ยังพอได้กำไรจากมันห้าหยวน แต่เหตุผลหลักคือหลินม่ายไม่คุ้นหน้าคุ้นตาแม่ฟางฟางเลยแม้แต่น้อย

เธอพร่ำบ่นในใจเงียบ ๆ ‘ฉันจะขายให้พวกคุณราคานี้แหละ ถ้าไม่ซื้อ ฉันก็แค่ไม่ขาย’

สีหน้าของเธอยังคงเปื้อนยิ้มขณะพูดว่า “ราคาที่ว่ายังไม่คุ้มราคาทุนด้วยซ้ำค่ะ ต้องขอโทษด้วย ฉันคงขายให้คุณไม่ได้จริง ๆ”

แม่ฟางฟางโกรธจนหน้ามืดหน้าดำเหมือนก้นหม้อ ยกมือขึ้นชี้หน้าหลินม่าย “แล้วเธอจะเสียใจที่ไม่ยอมขายให้ฉัน!”

หลินม่ายมองสองแม่ลูกด้วยความสับสน นึกสงสัยขึ้นมาว่าพวกหล่อนมั่นใจอะไรขนาดนั้น

ต่อให้หล่อนไม่ซื้อชุดเดรสตัวนี้ คนอื่นก็ยังต้องการซื้อมันอยู่ดี กิจการของเธอออกจะขายดิบขายดีแบบนี้ ยังต้องกลัวว่าชุดเดรสตัวนี้จะขายไม่ออกอีกหรือ!

เธอไม่มีอะไรต้องเสียใจ สองแม่ลูกคู่นี้ต่างหากที่ต้องเสียใจทีหลัง

หลินม่ายยังคงส่งยิ้มให้เหมือนไม่สะทกสะท้าน

ฟางฟางออกปากขู่ “ยิ้มเข้าไปเถอะ คุณน้าของฉันทำงานอยู่ในหน่วยงานเทศกิจ ถ้าเธอไม่ยอมขายเดรสตัวนี้ให้แม่ของฉันในราคาที่ว่า ฉันจะเรียกคุณน้ามาที่นี่เดี๋ยวนี้แหละ ให้เขามาจับเธอไปซะ ถึงตอนนั้นเธอจะไม่เหลืออะไรเลย!”

หลินม่ายเข้าใจในตอนนั้นเองว่าทำไมสองแม่ลูกคู่นี้ถึงได้วางตัวเย่อหยิ่งนัก ที่แท้ก็เพราะมีญาติรับราชการอยู่ในหน่วยงานเทศกิจนี่เอง

ลูกค้าหลายคนที่เข้ามาเลือกซื้อเสื้อผ้าพร้อมกันกับพวกหล่อนอดรนทนไม่ไหว กลอกตามองไปทางสองแม่ลูกทันที

“ลำพังคนขายของหาเช้ากินค่ำก็ลำบากพออยู่แล้ว พวกคุณยังอาศัยบารมีคนอื่นเพื่อกดราคาสินค้าของคนอื่นอีกหรือ คิดจะวางอำนาจบีบบังคับการซื้อขายรึไง?”

“พวกใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ!”

สองแม่ลูกทำได้แค่เดินสะบัดจากไปด้วยความโกรธเคืองเมื่อถูกลูกค้าคนอื่นตำหนิหนักข้อขึ้น

เด็กสาวคนหนึ่งที่เพิ่งจะออกตัวปกป้องหลินม่ายชี้ไปยังชุดเดรสสีแดงสดที่สองแม่ลูกเลือกไว้เมื่อกี้ เสนอขึ้นมาว่า

“เถ้าแก่เนี้ย ฉันอยากได้เดรสตัวนี้ คุณช่วยลดราคาให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ ขายให้ฉันในราคายี่สิบแปดหยวน”

ตอนแรกหลินม่ายตั้งราคาชุดเดรสตัวนี้ไว้สูงลิบ ถ้าขายให้เด็กสาวคนนี้ในราคายี่สิบแปดหยวน เธอจะได้กำไรจากมันสิบแปดหยวนเลยทีเดียว

แต่เพราะเด็กสาวคนนี้อุตส่าห์ยืนหยัดเพื่อปกป้องความยุติธรรมให้เธอ จึงตัดสินใจลดราคาให้เพิ่มอีกสามหยวน “เห็นแก่น้ำใจอันดีของคุณผู้หญิง ฉันจะขายให้คุณในราคายี่สิบห้าหยวนก็แล้วกันค่ะ”

เด็กสาวคนนั้นดีใจมาก หยิบเงินจ่ายค่าชุดเดรสก่อนจะเดินจากไป

หลังจากเธอเดินออกไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ฟางฟางกับแม่ของหล่อนก็เดินวกกลับมาอีกครั้ง

ฟางฟางถามหลินม่ายด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงสะบัด “เธอลดราคาให้ฉันอีกสักหยวนได้ไหม?”

หลินม่ายแบมือออก “กระโปรงที่คุณเลือกไว้เมื่อกี้นี้มีลูกค้าอีกคนซื้อไปแล้วค่ะ ฉันคงขายให้คุณไม่ได้แล้ว”

ฟางฟางถึงกับตกตะลึง เพราะนึกไม่ถึงว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายจะขายดีขนาดนี้

แม่ฟางฟางโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง “ขายชุดนั้นไปแล้วแล้วจะเป็นไรไป หาอีกชุดหนึ่งมาขายให้ฉันสิ!’”

หลินม่ายตอบกลับยิ้ม ๆ “เดรสตัวนั้นเป็นเดรสคุณภาพไฮเอนด์ค่ะ แถมยังมีราคาแพง ฉันไม่สามารถรับมาขายมากกว่าหนึ่งตัวได้ ในร้านมีแค่ตัวนั้นตัวเดียว ขายแล้วขายเลยไม่มีตัวอื่นอีก”

เสื้อผ้าบางประเภทที่มีแนวโน้มว่าจะขายดี เช่น กางเกงขากระดิ่ง เสื้อปีกค้างคาว และกางเกงยีน หลินม่ายจะเลือกรับมาขายหลายตัวหน่อย

แต่สำหรับเสื้อผ้าบางประเภท เธอแค่สุ่มเลือกมาแค่แบบละสองสามตัวเท่านั้น เพราะกลัวว่าดีไซน์ของมันอาจไม่เป็นที่นิยม ถ้าเอามามากเกินไปอาจเสี่ยงขายไม่ออก

ฟางฟางโกรธจนสีหน้าคล้ำเข้มเหมือนตับหมู “ใครบอกให้เธอขายให้คนอื่นกัน ฉันยังไม่ทันได้ซื้อ ดันขายให้คนอื่นตัดหน้าฉันงั้นเหรอ!”

หลินม่ายยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แต่ในใจกำลังวิพากษ์วิจารณ์สองแม่ลูกคู่นี้

‘หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงหรือไง ตัวเองผละออกจากร้านไปก่อนแท้ ๆ ทำไมฉันจะขายให้คนอื่นไม่ได้!’

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เอ้า ก็ไม่ซื้อเองอะ เขาจะขายให้คนอื่นก็ไม่ผิดนี่ ของซื้อของขาย จะมากั๊กไว้ได้ไง

ไหหม่า(海馬)