ตอนที่ 154 แสงสีม่วงในตอนนั้น

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ตอนที่154 แสงสีม่วงในตอนนั้น

“จิตวิญญาณดวงนั้นดูดกลืนพลังวิญญาณเพียงพอแล้วรึยัง? หากอิ่มแล้วก็ไปกันเถอะ”

อาหานชี้ไปที่เสี่ยวฮั่วที่กำลังเอร็ดอร่อยกับพลังวิญญาณเสือโคร่งเหมันต์ฝูงใหญ่ หันมาเอ่ยถามเซียถงในเวลานี้มีสภาพไม่ต่างจากหิน

เซียถงเหลือบมองไปที่เสี่ยวฮั่ว กลุ่มแสงสีม่วงส่องประกายจ้าสว่างเกินปกติไปมาก ไม่นานกลุ่มแสงสีม่วงก้อนนั้นก็บินกลับเข้ามาในห้วงความคิดของนางอีกครั้ง สุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วเอ่ยดังขึ้นว่า

“นายท่าน ข้าอิ่มแล้ว’

เซียถงพยักหน้าเดินติดตามอาหารกลับไป ทั้งสองเดินจากอาณาเขตบึงในป่าลึกมาด้วยกัน

โม่ซวนทื่กำลังยืนเฝ้าอยู่บริเวณขอบนอกชั้นหมอกขาว ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าตรงออกออกมาจากทิศทางหมอกดังกล่าว เขาก็เงี่ยหูฟังอย่างระมัดระวัง พอแยกแยะรอยได้ว่าเป็นเสียงเท่าของคนสองคน ก็รีบกระโดดเข้าพุ่มป่าด้านข้างที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลโดยไวเพื่อซ่อนตัว

หลังเดินฝ่าหมองสีขาวชั้นหนาออกมาได้ เซียถงพลันกวาดสายตาว่องไวมองปราดไปรอบหนึ่ง ดูเหมือนว่าก่อนหน้าที่จะออกมา นางเห็นเงาคนยืนอยู่แถวนี้ แต่ไฉนเงาดังกล่าวถึงหายไปทันทีที่นางออกมา? เคลื่อนสายตามองไปรอบทิศทางอีกสักพักหนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอันใด ก็เลยมองข้ามไม่สนใจอีกต่อไป

“มีอะไรงั้นรึ?”

เห็นทีท่าอีกฝ่ายคล้ายมีความผิดปกติ อาหานจึงเอ่ยถามนาง

“เหมือนข้าจะเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนี้ แต่กลับหายไปเสียแล้ว”

เซียถงกล่าวตอบพลางกวาดสายตาปรายมองอีกสักครา

“เจ้าตาฝาดแล้ว”

อาหานแสร้งทำเป็นมองไปโดยรอบ กล่าวตอบกลับไปปนน้ำเสียงไม่ค่อยใส่ใจนัก

เซียถงแลมองอาหานไปทีหนึ่งโดนมิได้เอ่ยกล่าวอันใด แม้นางจะมั่นใจว่า สัมผัสของตนไม่น่าผิดเพี้ยน แต่เรื่องที่ไม่มีนัยสำคัญเฉกเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องสืบสาวกล่าวต่อให้เสียเวลาเปล่าเช่นกัน นางเงยหน้ามองท้องฟ้า ปรากฏแสงจันทร์นวลประดับค้างกลางราตรี ยามนี้เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เกรงว่าถึงคราวต้องแยกย้ายกลับกัน ดังนั้นจึงหันไปกล่าวกับอาหานว่า

“ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”

อาหานพยักหน้าให้ เฝ้ามองร่างของเซียถงเดินลาลับจากออกไปสุดสายตา และไม่นานเกินรอ ก็มีเงาร่างหนึ่งกระโจนออกมาจากป่าด้านเคียงข้าง โม่ซวนโค้งคำนับพร้อมเรียนถามวาจาสุภาพว่า

“นายท่าน ท่านทราบเหตุผลที่นางมายังบึงแห่งนี้แล้วกระมัง?”

“โม่ซวน เจ้าจดจำแสงวิเศษสีม่วงที่เราเคยไล่ล่าตามหากลางป่าลึกในครั้นก่อนหน้าได้หรือไม่?”

“ข้าน้อยย่อมจำได้ แต่สิ่งวิเศษดังกล่าวกลับไม่เคยปรากฏเห็นอีกเลย แล้วไฉนจู่ๆ นายท่านถึงยกเรื่องราวนี้ขึ้นมา?”

โม่ซวนเอ่ยถามเจือผสมสีหน้าฉงนสงสัย แต่ชั่วอึดใจต่อมา ดวงตาคู่นั้นพลันเป็นประกายเปล่งปลั่งขึ้นมาทันที เขาอุทานคำโตด้วยความประหลาดใจยิ่งว่า

“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เมื่อครู่นายท่านได้พบมันอีกครั้ง?”

อาหานพยักหน้า ประกายเร้นลึกล้ำพราวสว่างเล็ดลอดเปล่งออกจากดวงตาของเขา

“ใช่ ข้าเจอมันแล้ว”

“หรือว่า…อยู่กับนาง?”

อาหานพยักหน้าอีกครั้งหนึ่ง ทันทีทันใด ท่าทีการแสดงออกที่สุดแสนจะซับซ้อนพลันเผยปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“แล้วนายท่านจะทำอย่างไรต่อไป?”

โม่ซวนเอ่ยถามเสียงแผ่ว ท่าทางดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

อาหานปิดปากเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง แหงนศีรษะขึ้นเชยชมพระจันทร์ส่องสว่างค้างกลางนภาหาวเหนือหัว มุมปากกระตุกเล็กน้อยเผยแสดงรอยยิ้มสีจางออกมา

“ในเมื่อสรวงสวรรค์กำหนดโชคชะตาเช่นนี้แล้ว ก็ลืมมันไปเถอะ แล้วเราค่อยไปเจรจากับพวกจักรวรรดิตะวันตกใหม่อีกที ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็คงต้องยอมรับเท่านั้น”

“ขอรับ”

โม่ซวนพยักหน้าไม่มีข้อคัดค้าน

เซียถงเดินทางกลับไปยังห้องพักของตนตามปกติ ทางฝั่งอิ๋งเอ๋อร์เองก็ค่อนข้างคุ้นชินแล้วกับสภาพเช่นนี้ของคุณหนู ที่บ่อยครั้งมักจะกลับมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สะบักสะบอม มีบาดแผลเต็มตัว ซึ่งในครั้งนี้ก็เช่นกัน สิ่งแรกที่อิ๋งเอ๋อร์ลงมือทำทันทีที่เห็นสภาพของคุณหนูคือ ไปเตรียมน้ำร้อนเทใส่อ่างไม้และแช่สมุนไพรนานาชนิดไว้รอ

ถอดชุดเสื้อผ้าแพรพรรณและลงแช่ตัวในอ่างไม้สมุนไพร เซียถงก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า บริเวณต้นแขนและไหล่ของตนมีลอยกรงเล็บของพวกเสือโคร่งเหมันต์ฝากฝังอยู่ค่อนข้างลึก โชคยังดีที่นางเป็นนักหลอมโอสถคนหนึ่ง มิฉะนั้นแล้ว บาดแผลสาหัสสากรรจ์ขนาดนี้ เกรงว่านางต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นานกว่าจะหายเป็นปกติได้

แผ่กายยืดเหยียดนอนแช่น้ำสมุนไพรในอ่างไม้ได้สักพัก เซียถงพลางหันศีรษะไปทางฉากกั้นไม้ระหว่างตัวอ่างกับประตูห้องน้ำ ทันใดนั้นนางพลันค้นพบความผิดปกติในบัดดล เพราะช่องว่างระหว่างรอยต่อของฉากกั้นกลับมีดวงตาสีแดงสดใสข้างหนึ่ง ทอแสงส่องประกายวิบวับกำลังจับจ้องมาทางนี้ ชนิดที่ว่าไม่มีกะพริบเลยแม้แต่น้อย

“หลิวซู!!”

เซียถงรีบชักเรียวขาอ่อนกลับเข้าตัวอ่างไม้โดยไว ยกมือไม้ขึ้นปิดป้องบริเวณเนินอกสีขาว ก่อนคว้ากระบวยตักน้ำข้างอ่างขว้างใส่ทางหลิวซูที่แอบมองอยู่หลังฉากกั้นสุดแรงเกิด

ชั่วขณะต่อมา เสียงฉากกั้นล้มดังโครมคราม หน้าผากของหลิวซูบวมเป่งเป็นลูกมะนาวในพริบตา

มันยกมือขึ้นลูบมะนาวลูกน้อยบนหน้าผากของตนด้วยเจ็บแสบ กระโจนขึ้นจากพื้นห้องน้ำวิ่งไปหยุดเบื้องหน้าเซียถง จับจ้องนางเขม็งทั้งยังยกสองมือขึ้นเท้าสะเอวอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก คำรามเสียงแผดดังแทบจะมีไฟพ่นออกมาจากปาก

“นังหนูเหม็นสาบ! กล้าดียังไงมาขว้างกระบวยตักน้ำใส่หัวข้า! หากยังมีกิริยาต่ำทรามเช่นนี้อีก วันหลังข้าจะไม่ให้เจ้าหยิบใช้กระบี่ทัณฑ์ฟ้าอีกแล้ว!”

เซียถงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทว่าเสี้ยวพริบตาต่อมา นางพุ่งมือไปจิกหัวของหลิวซูและจับกดลงในอ่างไม้ที่นางกำลังแช่อยู่อย่างดุเดือดเสมือนหนังฆาตกรรมก็มิปาน

“ปล่อย บุ๋มๆ … ปล่อย…ปล่อยข้า!”

หลิวซูพยายามดิ้นสู้สุดกำลัง อยากจะเงยหน้าโผล่ขึ้นจากน้ำแทบตาย แต่เซียถงก็ยังจับกดไว้แน่น จนกระทั่งได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยปากขอร้องแถมยังสำลักน้ำกลืนเข้าไปหลายอึก ยามนั้นถึงค่อยคลายมือปล่อยอีกฝ่ายออกไป

“เจ้าแอบดูข้าแช่น้ำอีกแล้วรึ?”

เซียถงมองอีกฝ่ายยกหัวขึ้นพ้นจากอ่างไม้ สีหน้าการแสดงออกเย็นเยียบ

หลิวซูรีบยกมือกุมศีรษะ กระแอมไออย่างหนักหลายที มันส่ายหัวสวนตอบไปทันที

“ใครจะไปแอบดูเจ้าแช่น้ำกัน!”

แต่ยังไม่ทันพูดจบดี มันก็ถูกเขกหน้าผากอีกรอบ

“อย่าเพิ่งตี! อย่าเพิ่งตี! เจ้าใจเย็นก่อนตกลงไหม?”

หลิวซูยกมือขึ้นป้องกันค้างเติ่งกลางอากาศ รีบเปล่งเสียงโวยวายทันทีที่เห็นว่า อีกฝ่ายเตรียมจะยกกำปั้นเตรียมเขกกระบาลตนอีกครา