บทที่ 150 เทพเจ้ายักษ์ตื่น

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

“รอสักครู่…”

ไป๋ชิวหรานจับหัวกะโหลกจื้อเซียนมาอยู่ตรงหน้าภาพวาด แสงไฟในดวงตาเริ่มตรวจสอบร่างสวรรค์ริษยา

“อ๊ะ?”

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อได้ยินเสียงที่น่าสงสัย ไป๋ชิวหรานจึงอดไม่ได้ที่จะถาม

“นี่มัน… เหตุใดภูมิปัญญาของข้าถึงใช้ไม่ได้?”

เสียงของจื้อเซียนฟังดูเหมือนจะสูญเสียการควบคุมร่างกายไปชั่วขณะ… ถึงแม้จะไม่มีแขนขาก็ตาม

“เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ร่างสวรรค์ริษยาเติบโตในโลกนี้ อย่างไรข้าก็สามารถเรียนรู้ตัวตนของเขาได้ เว้นแต่…”

“เว้นแต่อะไร?”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม

“เว้นแต่… ระวัง!”

ก่อนที่จื้อเซียนจะกล่าวจบ มันดูเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างจึงอุทานขึ้นมาเสียงดัง

ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาหันศีรษะไปทางที่จื้อเซียนมองทันที

ในช่องว่างแห่งจักรวาลนอกปราสาท จู่ ๆ ก็มีกลุ่มดาวหางลากเปลวไฟยาวและพุ่งชนมาที่หอตำรา!

ไป๋ชิวหรานรีบคว้าหลีจิ่นเหยาไว้และรีบนำตัวนางออกมาทันที

ทั้งสองพุ่งทะลุกำแพงของหอตำราออกมาอยู่ในความว่างเปล่าของจักรวาล ต่อมาดวงดาวเหล่านั้นได้ทำลายหอตำราอย่างรุนแรง ซากปรักหักพังที่เหลืออยู่ชนเข้ากับความมืดสนิทของท้องฟ้า

หลังจากตกลงไปในความว่างเปล่า หลีจิ่นเหยาก็รีบเรียกมีดฟันมังกรและให้ใบมีดขยายใหญ่ขึ้นพอที่จะสามารถแบกทั้งสองอยู่ในอากาศได้ทัน

“เกิดอะไรขึ้น?”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยถามจื้อเซียน

“เจ้าบอกว่าพวกเขาตายหมดแล้วไม่ใช่หรือ?”

“เราประเมินพลังของเหล่าทวยเทพต่ำไป… หรือก็เพราะข้าประเมินพลังของเจ้าต่ำไป”

เสียงของจื้อเซียนฟังดูเคร่งขรึม

“พลังปราณของเจ้าเป็นธาตุไม้ซึ่งเป็นพลังแห่งชีวิต หลังจากที่ปล่อยพลังไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในจักรวาล พลังของธาตุไม้จะปลุกเศษวิญญาณบางส่วนของเทพที่ยังไม่ตาย และตอนนี้พวกเขากำลังมาผนึกรวมตัวกัน”

“มันผ่านมาหลายพันปีแล้วนะ?”

หลีจิ่นเหยากล่าวอย่างประหลาดใจ

“ใช่ ผ่านมาหลายพันปีแล้ว พลังปราณของเขาได้ปลุกเหล่าทวยเทพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง”

จื้อเซียนกล่าวเสียงเบา

“ข้าคิดว่าคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วเสียอีก”

“หยุดพูดไร้สาระก่อน จิตวิญญาณของพวกเขาอยู่ที่ใดกัน?”

ชายหนุ่มดูหงุดหงิดเล็กน้อยที่เห็นหอตำราถูกทำลาย

“อืม มองลงไปด้านล่าง”

จื้อเซียนเอ่ยพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ

ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยามองลงไป พวกเขาจึงพบว่าพลังปราณของชายหนุ่มได้ทำให้ดวงดาวเหล่านั้นเริ่มวุ่นวายชุลมุน พวกมันเคลื่อนไหวไปมาอย่างบ้าคลั่ง และไม่นานก็รวมตัวกันเป็นร่างยักษ์ตัวมหึมา!

นัยน์ตาของยักษ์ตัวนั้นเป็นดาวสองดวงที่เปล่งแสงเจิดจ้าไม่สิ้นสุด ขณะที่ดาวดวงอื่นเปลี่ยนเป็นร่างกายที่สูงใหญ่ มันค่อย ๆ เหยียบความมืดมิดของท้องฟ้า

ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแทบไม่อาจรับน้ำหนักจากยักษ์ตัวนั้นได้

“เทพทุกองค์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

หลีจิ่นเหยาพยายามต้านทานพลังที่มาจากคู่ต่อสู้ และในที่สุดก็สามารถทำให้มีดฟันมังกรบินได้อย่างมั่นคง

“บรรพบุรุษของเราเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร?”

“แน่นอนว่าเทพไม่ได้มีพลังร้ายกาจเพียงนั้น”

จื้อเซียนตอบ

“นั่นคือสัตว์ประหลาดที่สร้างขึ้นจากวิญญาณของกลุ่มเทพดาราและพลังของท่านไป๋ ข้าเกรงว่าแม้แต่เหล่าเทพตัวจริงก็ยังไม่อาจสู้มันได้”

“มันแข็งแกร่งขนาดไหน?”

แม้แต่ไป๋ชิวหรานก็ไม่อาจทราบพลังที่แท้จริงของเจ้ายักษ์ตัวนั้น

“เจ้าทุ่มเทพลังลงไปเท่าไร มันจะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”

จื้อเซียนกล่าวเบา ๆ

“เตรียมตัวให้พร้อม ไป๋ชิวหราน อย่างไรเจ้าก็คงไม่มีทางเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้ด้วยพลังหนึ่งในสิบแน่นอน”

“บัดซบ!”

ไป๋ชิวหรานสบถด้วยความโกรธ

ในเวลานี้ เทพเจ้ายักษ์ยืนขึ้นเต็มตัว จากนั้นจึงหันศีรษะไปทางพวกเขา ดวงตาจับจ้องไปที่ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยา

“ม…มนุษย์…”

มันเปิดปากอันกว้างใหญ่เผยให้เห็นจักรวาลอยู่ในปากอีกชั้น!

“แม่นางหลี! เร็วเข้า!”

ไป๋ชิวหรานรีบตะโกน

หลีจิ่นเหยายกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางจึงรีบโคจรพลังปราณในร่างเพื่อพุ่งออกไปจนกลายเป็นแสงสีเงิน ทำให้พวกเขาหลบหลีกการโจมตีจากลำแสงขนาดใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด

แต่ทันใดนั้นกระแสลมก็พุ่งมาจากเหนือศีรษะพวกเขา ทั้งสองเงยหน้าขึ้นและพบว่าฝ่ามือของเทพเจ้ายักษ์กำลังแหวกผ่านท้องฟ้ามา!

“ข้าหลบไม่ได้แน่!”

หลีจิ่นเหยากล่าวอย่างกังวล

“อดทนไว้”

ไป๋ชิวหรานกระทืบเท้าและกระโดดขึ้นจากมีดฟันมังกรแล้วลอยขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นก็ยกขาเตะฝ่ามือของเทพเจ้ายักษ์อย่างแรง

เสียงดังสนั่นระเบิดออกจากจุดที่ปะทะ คลื่นกระแทกขนาดใหญ่ปะทุออกมาจากฝ่ามือยักษ์ ดวงดาวและจักรวาลรอบด้านถึงกับสั่นสะเทือน ฝ่ามือที่ใกล้จะสัมผัสพวกเขาจึงถูกเตะออกไป แต่ขณะเดียวกัน ร่างของไป๋ชิวหรานกำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้าด้วยความเร็วที่หลีจิ่นเหยาไม่อาจรับทัน ทว่านางพยายามเอื้อมมือไปคว้าแขนเสื้อของชายหนุ่มเอาไว้ แต่ไม่กี่ลมหายใจต่อมา… กลับคว้าได้แค่เศษผ้าเท่านั้น ส่วนไป๋ชิวหรานยังคงดำดิ่งลงสู่ห้วงจักรวาล!

หลีจิ่นเหยาร้องอุทานเสียงดังและรีบเร่งความเร็วเพื่อเข้าไปดึงไป๋ชิวหรานกลับมาก่อนจะตกลงไปในทางช้างเผือกที่ไม่สิ้นสุด

“เจ็บเหมือนไปชนกำแพงหินเข้าเลย”

หลังจากที่หลีจิ่นเหยาดึงชายหนุ่มขึ้นมาได้ ไป๋ชิวหรานก็สบถจากความเจ็บปวดเล็กน้อย

เทพเจ้ายักษ์จ้องมองฝ่ามือของตัวเองอย่างว่างเปล่า เป็นเวลานานกว่ามันจะตอบสนอง

จิตสำนึกที่คลุมเครือคิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีการฝึกฝนร่างกายต่ำต้อยสามารถต้านทานฝ่ามือของมันได้อย่างไร

หลังจากมองอยู่สักพัก ทันใดนั้นมันเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้และหันไปมองไป๋ชิวหราน

“สวรรค์… ริษยา!”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ ความแค้น และความกลัวที่ไม่สามารถอธิบายได้

“อ๊ากกกกก!”

ดูเหมือนว่าคำคำนั้นจะทำให้มันคลั่งขึ้นมาทันที ก่อนจะยกมือขึ้นและทุบซากปรักหักพังบนท้องฟ้าเป็นชิ้น ๆ ฝ่ามือนั้นราวกับคว้าบางอย่างได้จากกลางจัตุรัสของสุสานเหล่าทวยเทพ

มันยกแขนขึ้น จากนั้นระฆังทองพลันปรากฏอยู่ในฝ่ามือ

“ท่าไม่ดีแล้ว!”

เมื่อเห็นระฆังทอง จื้อเซียนก็ตะโกนเสียงดังลั่น

“แม่นาง รีบใช้วิชาเคลื่อนย้ายข้ามมิติหนีออกไป!”

“แล้วพวกท่านเล่า?”

หลีจิ่นเหยารีบถาม

“ไม่ต้องห่วงพวกเรา เทพเจ้ายักษ์ตัวนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”

ไป๋ชิวหรานคว้าแขนของหลีจิ่นเหยา

“เจ้าลืมไปแล้วงั้นหรือที่สัญญากันไว้? เชื่อฟังข้า!”

หลีจิ่นเหยากัดริมฝีปากอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นจึงยกมือขึ้นเพื่อเรียกพื้นที่ของซากปรักหักพังมาให้ไป๋ชิวหรานหยัดยืน

แต่ก่อนจะจากไป นางก็หันไปกอดไป๋ชิวหราน

“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ระวังตัวด้วย”

หลีจิ่นเหยาค่อย ๆ คลายกอดและถอยห่างออกไป นางร่ายกระบวนท่าบิดเบือนมิติ และหายตัวไปจากจุดที่ยืนอยู่

ไป๋ชิวหรานโยนเชือกเซียนออกจากกระเป๋าซึ่งผูกไว้กับแท่นหินและกระโดดขึ้น

“ไม่ต้องห่วง แม่นางคนนั้นปลอดภัยแล้ว”

จื้อเซียนกล่าว

“เมื่อใช้วิชานั้นแล้ว จะไม่มีใครทำอะไรได้”

“ดี”

ไป๋ชิวหรานบีบกำปั้นและหันไปมอง

“ระฆังยักษ์นั่นคือสิ่งใดกันแน่?”

“เป็นสมบัติอันศักดิ์สิทธิ์ที่ครั้งหนึ่ง เคยอยู่กับจักรพรรดิสวรรค์องค์สุดท้าย… ระฆังของจักรพรรดิตะวันออก”

จื้อเซียนอธิบาย

“มีความสามารถในการทำลายมิติและเวลา หากมันถูกใช้งาน แม่นางคนนั้นลำบากแน่นอน”