ตอนที่ 292 ฉีกผ้าที่ปิดเรื่องเน่าเฟะออก

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 292 ฉีกผ้าที่ปิดเรื่องเน่าเฟะออก

เซียวจั่นรุ่ยเห็นฉินหลิวซีเข้ามาในจวนแล้วให้พ่อบ้านไปเตรียมสิ่งที่ต้องการใช้ก็กลัวจนใจเต้นรัว รีบไปรายงานท่านพ่อกับท่านแม่

ผู้ตรวจการเซียวกำลังกังวลว่าจะดูแลมู่ซื่อจื่อผู้นี้อย่างไร เมื่อได้ยินเรื่องนี้จึงนึกได้ว่ามีเรื่องใหญ่ที่สำคัญกว่าในจวนของเขา ซ้ำมู่ซื่อจื่อก็อยู่ที่จวน ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความมืดมนเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนอื่นเขากลัวว่ามู่ซื่อจื่อจะเห็นเรื่องน่าขันแล้วเอาไปพูดทั่วเมืองหลวง เช่นนั้นตระกูลเซียวของเขาก็ไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว แม้ว่าบุตรสาวจะได้สติคืนกลับมา แต่ต่อไปในภายภาคหน้าก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างโดดเดียวบนเส้นทางพระพุทธศาสนาไปตลอดชีวิต

หากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่สู้ปล่อยให้หันเอ๋อร์ป่วยหนักต่อไปเสียจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องนำความอับอายมาสู่ตระกูลเช่นนี้

ยิ่งผู้ตรวจการเซียวคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ใบหน้าที่ไว้หนวดเคราของเขาก็ยิ่งมืดมนขึ้นเท่านั้น

ช่วงนี้ฮูหยินเซียวก็มาป่วยเพราะเรื่องของบุตรสาว ตอนนี้กำลังฝืนร่างกายที่เจ็บป่วยฟังรายงานจากบุตรชาย สายตาก็มืดมนอีกครั้ง แทบจะเป็นลมล้มไป ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “ท่านอาจารย์ผู้นั้นคงจะไม่ได้ตั้งใจเพิ่มค่าตัวของตัวเองจึงได้พูดอะไรที่ร้ายแรงเช่นนั้นหรอกกระมัง”

“ท่านแม่ เรื่องที่เรือนของน้องหญิงร้ายแรงอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวหรือไม่ ในใจท่านรู้ดี” เซียวจั่นรุ่ยก็เป็นทุกข์จนพูดไม่ออกเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทุกข์ใจนี้ ลูกๆ ของเขาจึงหลบไปอยู่ที่เรือนของท่านย่าเป็นการชั่วคราว ดังนั้นเขาจึงหวังว่าในเรือนจะกลับมาสู่ความสงบสุขเหมือนแต่ก่อน

เมื่อฮูหยินเซียวนึกถึงสิ่งสกปรกที่เรือนของบุตรสาวก็ร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง

“เอาล่ะ อย่าร้องไปเลย ในเมื่อท่านอาจารย์มาถึงที่นี่ ย่อมได้เตรียมการไว้แล้ว คาดว่าคงมั่นใจว่าจะสำเร็จอยู่บ้าง” ผู้ตรวจการเซียวโบกมืออย่างเหลืออด กล่าวว่า “เหล่าอวี๋ก็ไม่ใช่คนพูดจาไร้ความน่าเชื่อถือเช่นนั้น ในเมื่อเขาแนะนำคนผู้นี้แสดงว่าสามารถเชื่อใจเขาได้ พวกเราแค่รอดูความสามารถของเขาก็พอแล้ว”

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะทำอะไรได้อีก ฮูหยินเซียวทำได้เพียงพยักหน้าทั้งน้ำตา

เพื่อแสดงความเคารพต่อฉินหลิวซี ทั้งครอบครัวจึงไปพบอีกฝ่ายที่เรือนรับรองแขก มู่ซีเองก็อยู่ที่นั่น แขกผู้มีเกียรติมาถึงที่จวน เจ้าบ้านก็ไม่ควรที่จะหนีหายไม่มาพบ

ฉินหลิวซีกำลังวาดยันต์อย่างใจจดใจจ่อ นี่ไม่ใช่ยันต์ป้องกันธรรมดา แต่เป็นยันต์ปราบผีร้าย ซ้ำยังมียันต์ปราบสิ่งชั่วร้ายเจ็ดประการ ยันต์สายฟ้าและอื่นๆ

นางยังไม่รู้แน่ชัดว่าฝูเซิงผู้นั้นมีที่มาอย่างไรกันแน่ แต่ควรเตรียมพร้อมเอาไว้จะดีกว่า นางจะไม่สู้รบโดยไม่ได้เตรียมตัว นี่เป็นการรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ

ภายใต้ยันต์แต่ละแผ่นที่พึ่งวาดสดๆ ใหม่ๆ หน้าผากของฉินหลิวซีปกคลุมไปด้วยเหงื่อเม็ดบางๆ ใบหน้าซีดเล็กน้อย

หากคนที่รู้จักนางดีอยู่ที่นี่ จะรู้ได้ว่านางระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการเรื่องของตระกูลเซียว ไม่ได้ผ่อนคลายและประมาทเหมือนเมื่อก่อน

ฉินหลิวซีเองก็แอบมีความรู้สึกว่าสิ่งชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในเรือนหลังนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ระมัดระวังไว้จะดีกว่า

จะเป็นอะไรนั้น ต้องรอให้เห็นก่อนจึงจะรู้

หลังจากวาดยันต์แผ่นสุดท้ายเสร็จแล้วนางก็วางพู่กันลง มองออกไปข้างนอก เซียวจั่นรุ่ยกำลังเดินมาพร้อมกับผู้ตรวจการเซียวและท่านแม่ของเขา

ฉินหลิวซียืนขึ้น พอดีกับที่เซียวจั่นรุ่ยเอ่ยขอเข้าพบพอดี นางจึงเดินไปที่ประตูและพยักหน้าให้พวกเขา

เมื่อฮูหยินเซียวเห็นว่าฉินหลิวซีอายุน้อยเช่นนี้ก็อดตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้ เห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้าซีดขาวและท่าทางดูอ่อนแอเล็กน้อย หัวใจก็เริ่มรู้สึกหมดหวัง

คนผู้นี้ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเหมือนกับนักพรตเต๋าที่มาก่อนหน้านี้ จะสามารถช่วยบุตรสาวได้จริงๆ หรือ

“ท่านอาจารย์ พวกเรามาด้วยเรื่องของน้องหญิง สะดวกให้เข้าไปคุยด้านในหรือไม่ขอรับ” เซียวจั่นรุ่ยเอ่ย

ฉินหลิวซีหลีกทางให้ “เชิญ”

ทั้งสามคนเดินตามเข้ามา

ฉินหลิวซีเดินเข้ามา ทุกคนโค้งคารวะซึ่งกันและกันแล้วนั่งลง

“ท่านอาจารย์ เมื่อเห็นว่าท่านสั่งให้พ่อบ้านไปเตรียมของบางอย่าง ในใจข้าก็เกิดรู้สึกไม่มั่นใจเรื่องของน้องหญิงขึ้นมา ท่านพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้ามาหรือ” เซียวจั่นรุ่ยเอ่ยถามก่อน

พวกเขายังไม่ได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ของน้องหญิง แต่ฉินหลิวซีดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือว่าจะทำนายได้จริงๆ

ฮูหยินเซียวเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “ท่าอาจารย์ ข้ามีบุตรสาวเพียงคนเดียว ท่านต้องช่วยนางนะเจ้าคะ นางพึ่งจะทำพิธีปักปิ่นปีนี้ แต่กลับ…แค่กๆ”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ฉินหลิวซี “หากฮูหยินกังวลเกี่ยวกับอนาคตของนาง เช่นนั้นก็ควรสงบสติอารมณ์ไว้ก่อน หากท่านรู้สึกหดหู่ใจเช่นนี้ เมื่อไฟร้อนระอุขึ้นเกรงว่าโรคหัวใจจะกำเริบได้”

ทุกคนตกตะลึง

“ท่านรู้ว่าข้าเป็นโรคหัวใจ” นางเป็นโรคหัวใจหลังจากให้กำเนิดบุตรสาว ตอนนั้นนางมีภาวะคลอดบุตรยาก หลังจากให้กำเนิดบุตรสาวหมอก็ตรวจไม่พบอะไร แต่ต่อมาเมื่อแม่สามีหาอนุภรรยางดงามมาให้สามีของนาง หัวใจของนางก็เต้นรัวเป็นครั้งคราว

โชคดีที่ตระกูลแม่ของนางมีอำนาจ และผู้ตรวจการเซียวก็ต้องการการสนับสนุนจากตระกูลเย่ว์ แม้ว่าจะมีอนุภรรยางดงาม แต่ก็ไม่ได้โปรดปรานมากนัก จึงไม่ได้มีเหตุการณ์ที่โปรดปรานอนุจนละเลยภรรยาเอก

ดังนั้นแม้ว่านางจะไม่ใช่สตรีเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างกายสามี แต่หลายปีมานี้นางก็ผ่านมาได้ นางเองก็ใส่ใจดูแลร่างกาย ดังนั้นนอกจากอาการจะกำเริบเป็นครั้งคราวเวลาที่ตื่นเต้นหรือโกรธ ที่เหลือก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร

ฉินหลิวซีกลับเห็นได้ในพริบตาเดียว ทำให้นางประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ผู้ตรวจการเซียวคิดในใจ ‘หรือว่าแม้แต่เรื่องนี้เหล่าอวี๋ก็เล่าให้ฟัง’

“ในเสวียนเหมินก็มีหมอ ข้าพอเข้าใจบ้างเล็กน้อย ริมฝีปากท่านดำคล้ำ สีหน้าหม่นหมอง รอบดวงตาบุ๋มเล็กน้อย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญญาณที่บอกว่าหัวใจไม่ดี หยุดเรื่องนี้ไว้เท่านี้ก่อน” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “กลับไปที่เรื่องคุณหนูของจวนพวกท่าน อย่างอื่นข้าจะไม่ถามมาก แค่อยากถามใต้เท้าว่าท่านเอาร่างของฝูเซิงผู้นั้นไปโยนไว้ไหนแล้ว”

ผู้ตรวจการเซียวโกรธหน้าแดงขึ้นมาทันที เขาเป็นข้าราชการมาหลายปี แต่ในเวลานี้ถูกคนฉีกผ้าที่ปิดเรื่องเน่าเฟะของเขาออกอย่างไม่ลังเล ท่าทางเต็มไปด้วยอำนาจ สายตาแฝงไว้ด้วยเจตนาฆ่า

ฉินหลิวซีไม่กลัวเลยแม้แต่นิด

ผู้ตรวจการเซียวอดกลั้น ก่อนจะเอ่ยว่า “คนต่ำช้าเช่นนั้นจะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร แน่นอนว่าถูกม้วนกองรวมกันโยนไปในหลุมศพหมู่ที่สุสานร้างแล้ว”

ฉินหลิวซีลดสายตาลง ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อผู้ตรวจการเซียวสั่งฆ่าฝูเซิงอย่างทรมาน ย่อมไม่มีทางเมตตามอบโลงศพให้นาง

สุสานร้างมีวิญญาณเร่ร่อนจำนวนมาก ซ้ำยังมีสุนัขจรจัด แม้ว่าฝูเซิงผู้นั้นจะตายแล้ว เกรงว่ายากที่จะจัดเรียงทั้งร่างได้

ไม่แปลกที่นางจะเคียดแค้น

แต่ก็อาจจะไม่ใช่ ยังไม่ทันได้เห็น ไม่รู้ว่าจะเป็นฝูเซิงหรือไม่

“ใต้เท้าเซียวโปรดส่งคนไปเก็บกระดูกของฝูเซิงมาใส่โลงเถิด”

“เหลวไหล!” ผู้ตรวจการเซียวตบโต๊ะพลางลุกขึ้น เอ่ยว่า “นักแสดงผู้ต่ำช้านั่นตายไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว จะไปหามาได้อย่างไร นางคู่ควรหรือ”

ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “แม้ว่าจะเหลือเพียงกระดูกก็สามารถหาเจอได้ ซ้ำยังเป็นกระดูกสดใหม่ ตอนนี้อากาศหนาว ที่หลุมฝังศพเย็นยะเยือก ต่อให้เน่าเสียก็อาจจะไม่สลายไปทั้งหมด อย่างน้อยก็ยังสามารถระบุเสื้อผ้าได้”

หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำอธิบายนี้ก็มีภาพเข้ามาในหัวโดยปริยาย เริ่มรู้สึกคลื่นไส้

“ส่วนจะคู่ควรหรือไม่นั้น หากอยากให้คุณหนูเซียวปลอดภัย เช่นนั้นนางก็คู่ควร”

“ท่านยังไม่ได้พบบุตรสาวข้า ใครจะไปรู้ว่านางถูกวิญญาณของฝูเซิงผู้นั้นทำร้ายหรือไม่”

“ใต้เท้าเซียว แม้ว่าข้าจะเป็นคนของเสวียนเหมินแต่ก็รู้คำที่กล่าวว่าความรักไม่รู้ว่าเริ่มจากตรงไหน แต่ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งลึกซึ้ง” ฉินหลิวซีมองเขาพลางเอ่ย “หากความรักที่ต้องพลัดพรากจากกันของคุณหนูเซียวไม่มีบทสรุป เช่นนั้นข้าช่วยนางกลับมาได้ก็เป็นเพียงแค่ศพเดินได้เท่านั้น”

ผู้ตรวจการเซียวกำหมัดแน่น ใบหน้าจากที่โกรธเปลี่ยนเป็นกังวล

ฮูหยินเซียวดึงแขนเสื้อของเขา เอ่ย “ท่านพี่ ฟังท่านอาจารย์เถิดเจ้าค่ะ”

ผู้ตรวจการเซียวสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป

ฮูหยินเซียวเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขอโทษ “ท่านอาจารย์อย่าได้ถือสา เป็นเพราะท่านพี่เป็นห่วงบุตรสาว ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ขุ่นเคือง”

ฉินหลิวซีกลับไม่ได้สนใจ หากต้องการดับความแค้น ศพของฝูเซิงจะต้องถูกรวบรวมและฝังใหม่ หากไม่ยอมเช่นนั้นตนก็หมดปัญญาแล้ว