ตอนที่ 154 ต้าหนิว ฆ่าพวกมันให้หมด

ก่อนที่ทุกๆคนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นต้าหนิวก็เริ่มลงมือแล้ว แม้มันจะใช้มือเพียงข้างเดียว แต่ก็ไม่มีใครต้านทานพละกําลังของมันได้เลย

” ปัง!”

ในตอนที่เสียงดังกึกก้องขึ้นมานั้นทุกๆคนที่กําลังล้อมรอบต้าหนิวเอาไว้ต่างก็กระเด็นไปคนละทิศทางเพราะฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ฟาดออกมาและมีอยู่หนึ่งคนที่ศีรษะหักบิดกลับด้านจนสิ้นใจล้มลงไปที่พื้น

ด้วยคําสั่งของมู่อี้ที่บอกให้ฆ่าทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ ต้าหนิวจึงสามารถลงมือได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป

“ฆ่ามัน รีบฆ่ามันเร็วเข้า”

เมื่อชายหนุ่มผิวขาวได้เห็นต้าหนิวแสดงพลังของมันออกมา เขาก็ไม่คิดจะจับมันกลับไปที่เมืองอีกเลยและรีบตะโกนเสียงดังออกมาทันที

ด้วยคําสั่งของชายหนุ่ม กลุ่มคนก็เริ่มตีวงล้อมรอบต้าหนิวเอาไว้อีกครั้งแต่ยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ พวกเขาแต่ละคนถือคันธนูเอาไว้ในมือและเล็งไปที่ต้าหนิวอย่างพร้อมเพียงกัน

พลังป้องกันของต้าหนิวแม้ว่ามู่อื้อยากจะทําร้ายมันก็ยากที่จะทําได้ ไม่ต้องพูดถึงลูกสมุนของชายหนุ่มที่เป็นเพียงคนธรรมดาเลย ลูกธนูที่แหลมคมเหล่านั้นพุ่งเข้าไปหาต้าหนิวและเด้งกลับมาอย่างรวดเร็วโดยที่ร่างกายของต้าหนิวไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย

สถานการณ์ในตอนนี้ทําให้ทุกๆคนต่างก็รู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น พวกเขาคิดเพียงอย่างเดียวว่าสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าด้วยในตอนนี้คือปีศาจที่แท้จริง

” ท่านชายขอรับ เจ้ายักษ์ตัวนี้คือปีศาจ รีบหนีไปเร็วเข้า” ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มผิวขาวนั้นก็พูดขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าที่ดูหวาดกลัวทันที ปีศาจที่คมอาวุธไม่สามารถทําอะไรได้นอกจากเรื่องเล่าที่เคยได้ฟังมาแล้ว ก็เป็นวันนี้ที่เขาได้เห็นด้วยตาของตนเองใช่ไหม?

ในขณะเดียวกันนั้นเจ้ายักษ์ที่อาวุธของทุกๆคนไม่อาจทําอะไรได้ก็ตามไล่ล่าสังหารทุกคน ใครก็ตามที่ถูกมันจับได้มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่

“ใช่ เจ้ายักษ์นี้เป็นปีศาจแน่นอน แต่ชายคนนั้นคือผู้ที่ออกคําสั่งมันได้ รีบฆ่าเขาเร็วเข้า” ชายหนุ่มคนนั้นดูเหมือนตระหนักถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และชี้มาที่มู่ทันที เพราะตั้งแต่มู่อี้เข้ามาที่นี่ต้าหนิวก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกันแล้วมู่อี้ก็ดูเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

กลุ่มคนที่หนีไปก่อนหน้านี้และกังวลว่าตนเองจะโดนลงโทษ เมื่อได้ยินคําสั่งของผู้ที่เป็นเจ้านายของตนเอง พวกเขาก็เห็นหนทางที่จะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ จึงรีบวิ่งเข้าไปหามู่อี้พร้อมกับดาบในมือทันที

สีหน้าของมู่ลี้ยังคงสงบนิ่ง ความจริงแล้วนอกจากครั้งแรกที่เขาเห็นว่าต้าหนิวโดนรังแกจนรู้สึกโกรธขึ้นมาความโกรธของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เมื่อเห็นว่าผู้คนกําลังวิ่งเข้ามาหาตนเองเขาก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย

เมื่ออยู่ต่อหน้าคนกลุ่มนี้มู่อี้ไร้ซึ่งความเมตตาใดๆทั้งสิ้นเพราะเขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้เต็มไปด้วยความคับแค้นในใจ พวกเขาทําเรื่องที่เลวร้ายมามากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลั่นแกล้งทําร้ายคนอื่นๆ ในตอนนี้ความคับแค้นในใจได้กลืนกินความคิดของพวกเขาไปจนหมดแล้ว

มู่อี้ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ เผชิญหน้ากับชายที่เข้ามาใกล้เขาเป็นคนแรกและฝ่ามือของเขาก็สัมผัสไปที่หัวใจของชายคนนั้นเบาๆ ก่อนที่ดาบขนาดใหญ่ในมือของชายคนนั้นจะฟันเข้ามาที่ร่างกายของเขา ดวงตาของชายคนนั้นก็เบิกกว้างขึ้นและกระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง

“หืม!”

แสงสะท้อนจากใบดาบนั้นเจิดจ้าในสายตาของทุกๆคน แต่หลังจากนั้นเลือดจํานวนมากก็ไหลออกมาจากปากของเขา

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจมู่อี้ก็ฝ่าเข้าไปในกลุ่มคนมากมาย ด้านหลังของเขานั้นมีศพจํานวนมากที่นอนอยู่บนพื้นและเลือดก็ยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ทางด้านต้าหนิวนั้นศัตรูคนสุดท้ายของมันก็ถูกมันฟาดกับพื้นจนตายแล้ว

“อย่าคิดว่าเจ้าจะหนีรอดไปได้” สําหรับชายหนุ่มผิวขาวนั้น มู่อี้ที่เดินตรงเข้ามาหาตนเองพร้อมกับมีดสั้นที่อยู่ในมือนั้นเหมือนกับปีศาจที่ออกมาจากขุมนรก สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเขาพยายามหนีออกไปจากที่นี่ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใดร่างกายของเขาก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย

“ข้า ข้าจะให้เงินท่านตามที่ท่านต้องการ ข้ามีเงินมากมายเลยนะ ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ”

“ฉัวะ!”

เมื่อเห็นว่ามู่อี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆและม้าที่เขาขอยู่นั้นก็ไม่ฟังคําสั่งของเขาอีกต่อไป ชายหนุ่มคนนั้นก็เลือกที่จะกระโดดลงมาจากหลังม้าทันที เขาพยายามที่จะวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ แต่กลับพบว่าร่างกายของตนเองรู้สึกอ่อนแรงและไม่สามารถยืนขึ้นมาได้อีก ทันใดนั้นเขาก็พบว่านดินด้านล่างนั้นเริ่มมีความเปียกแฉะขึ้นมา

“นายท่านของข้าคือ ” ในตอนนี้ก็มีชายคนหนึ่งมาขวางหน้าชายหนุ่มคนนั้นเอาไว้ แม้ว่าสีหน้าของเขาจะมีความหวาดกลัวอยู่บ้างแต่เขาก็พูดออกมาด้วยความกล้าหาญ

แต่ก่อนที่เขาจะพูดให้จบประโยค ใบมีดที่ส่องแสงประกายก็ฟาดฟันผ่านร่างกายของเขาไปทันที ร่างกายของเขาค่อยๆล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับปากที่อ้ากว้างเหมือนกําลังจะพูดอะไรออกมา

“เจ้า เจ้า ” ชายหนุ่มคนนั้นยืนนิ่งด้วยความหวาดกลัวและรู้สึกพูดไม่ออกในตอนนี้

แต่มู่อี้ก็ไม่ปล่อยให้ชายคนนั้นรอดไปได้และมีดสั้นในมือของเขาก็ตรงเข้าไปจบชีวิตของอีกฝ่ายทันที

“ไปกันเถอะ” มู่ ไม่แม้แต่หันกลับไปมองร่างของชายหนุ่มคนนั้น เขาเพียงแค่เก็บมีดสั้นของตัวเองกลับไปและหันไปพูดเบาๆกับต้าหนิวเท่านั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่อี้ได้สังหารคนธรรมดา แม้จะบอกได้ว่าคนเหล่านี้สมควรตายแต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย

ท้ายที่สุดนั้นมู่อี้ก็ก้าวเดินออกมาพร้อมกับต้าหนิวที่ตามหลังเขามาติดๆและตรงไปที่รถม้าทันที มู่อี้ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คําเดียว

” พี่ชายคนขับรถม้า ออกเดินทางต่อได้เลย”

คนขับรถม้าถือว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้เห็นต้าหนิวแต่เขาก็รีบออกเดินทางต่อโดยไม่ถามอะไรแม้แต่คําเดียว

ต้าหนิวนั่งอยู่ที่มุมของรถม้าและจ้องมองไปที่ต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ในมือของมัน ในขณะเดียวกันนั้นมู่อี้ก็จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างของรถม้า

ในจิตใจของเขายังคงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ การลงมือครั้งนี้เขาถือว่าเป็นคนที่โหดเหี้ยมและไร้ปรานี้หรือไม่? อย่างน้อยก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตนเองจะกลายเป็นคนที่โหดเหี้ยมและสามารถสังหารคนอื่นๆได้โดยไม่กระพริบตา

ถ้าหากศัตรูเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับความชั่วร้ายเขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ครั้งนี้ศัตรูเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น นอกจากนี้ตัวตนของเขาและต้าหนิวก็ยังไม่ถูกเปิดเผยออกไปด้วย ทําไมเขาต้องฆ่าคนกลุ่มนั้นทั้งหมด?

ความจริงแล้วสิ่งที่ทําให้มู่อี้รู้สึกสับสนไม่ใช่เพราะเขาได้ฆ่าคนมากเกินไปแต่เป็นเพราะเขารู้สึกได้ว่าจิตใจของตนเองเริ่มเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ และไม่ว่าเขาจะทําอย่างไรก็ไม่อาจทําให้ความรู้สึกที่เย็นชาหายไปได้เลย

มู่อี้สามารถใช้ทุกๆอย่างมาเป็นเหตุผลที่เขาต้องลงมือฆ่าทุกๆคนในครั้งนี้ได้ แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาได้ลงมือฆ่าคนธรรมดาไปได้

” ท่านปู ท่านเคยบอกไว้ว่าไม่ว่าเรื่องใดๆก็ตามถ้าหากทําบ่อยๆหลายครั้งเข้าก็จะรู้สึกว่ามันธรรมดาไปเอง แต่นี่มันเป็นการฆ่าคนไม่ใช่หรือไง?” มู่อี้จ้องมองลงมาที่ฝ่ามือของตนเอง ฝ่ามือของเขายังคงเป็นสีขาว ไม่มีแม้แต่คราบเลือด แต่ในสายตาของเขากลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น

มู่อี้จ้องมองที่ฝ่ามือของตนเองอยู่นานและในที่สุดเขาก็ปิดตาของตนเองลงด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า

มู่อี้จากไปแล้วแต่เขาไม่รู้เลยว่าตนเองได้ทําให้ทั่วทั้งเมืองลั่วหยางเกิดความวุ่นวายมากเพียง

แม้ว่าโลกใบนี้จะเกิดความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาและมีคนจํานวนไม่น้อยที่ต้องตายไปในแต่ละวัน แต่ตําแหน่งใกล้ๆกับเมืองลั่วหยางนั้นมีเหตุฆาตกรรมที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้น นี่คือการฆาตกรรมครั้งใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายหนุ่มผิวขาวที่ตายไป ตัวเขาเองไม่ได้มีความสําคัญอะไรมากนัก เพียงแต่ว่าบิดาของเขาคือขุนนางตําแหน่งใหญ่คนหนึ่ง เพราะในปีนี้เหตุการณ์ในเมืองหลวงไม่ค่อยสงบนิ่งสักเท่าไหร่ เขาจึงพาลูกชายที่รักของตนเองกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านเกิด

ด้วยพลังอํานาจของเขา ทุกๆคนในเมืองลั่วหยางต่างก็ไม่มีใครกล้าทําอะไรลูกชายของเขา แม้แต่เจ้าเมืองก็ต้องเลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่งและได้แต่หวังว่าพ่อลูกคู่นี้จะอาศัยอยู่ในเมืองลั่วหยางอย่างมีความสุขและกลับไปพูดถึงชื่อเขากับทางราชสํานัก เพราะไม่ว่าอย่างไรแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าเมืองแต่เขาก็ถือเป็นข้าราชการคนหนึ่งและต้องการความดีความชอบด้วยเช่นกัน

คาดไม่ถึงเลยว่าก่อนที่ความดีความชอบของเขาจะมาถึงนั้นกลับมีมรสุมที่มาเยือนเสียก่อนและลูกชายของขุนนางใหญ่ท่านนั้นถูกฆ่าตายไป

หลังจากได้ทราบเรื่องนี้ทั่วถังเมืองลั่วหยางก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที เจ้าหน้าที่มากมายรีบออกตามหาฆาตกรที่ลงมือ แม้ว่าพวกเขาจะตามหาตัวมู่อี้ไม่เจอแต่ไม่ต้องเดาเลยว่ามู่อี้ก็อยู่ในรายชื่อผู้ต้องสงสัยด้วยเช่นกัน

เพราะลู่อี้ปกปิดตัวตนในขณะที่เข้าเมืองมาและทําการเช่ารถม้าออกจากเมืองไปทันที มีคนเห็นว่าทิศทางที่มู่อื้ออกเดินทางไปนั้นเป็นทิศทางเดียวกับที่ลูกชายของขุนนางใหญ่ท่านนั้นถูกฆ่า

แม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่คนที่ลงมือก็ตามแต่มู่อี้ก็ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยด้วยเช่นกัน

ในขณะเดียวกันภายในเมืองลั่วหยางนั้น โม่หรูเยียนจ้องมองมาที่ท่านลุงไฉเงียบๆ ” ท่านแน่ใจหรือ?”

“จากข้อมูลที่ข้าได้รับมา มีร่องรอยบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุและไม่อาจถูกลบไปได้” ท่านลุงไฉพูดต่อไปด้วยรอยยิ้มเงื่อนๆ “ดูเหมือนในครั้งนี้เขาจะเคลื่อนไหวเสียงดังจนหลายๆ คนเริ่มรู้สึกได้แล้ว นอกจากเรื่องกุญแจแล้วตอนนี้เขายังเป็นศัตรูกับทางราชสํานักด้วยเช่นกัน โลกใบนี้กําลังจะตกอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้งขอรับ”

” ข่าวเรื่องกุญแจนั้นออกมาจากชวี่ยี่จวงใช่ไหม?” โม่หรูเยียนพยักหน้าและถามต่อ

ย่อมต้องใช่แน่นอนขอรับ” ท่านลุงไฉตอบกลับมา

“หึ ชวี่ยี่จวง อีกไม่นานหรอกข้าจะไปแก้แค้นให้เหล่าพี่น้องที่ตายไป” โม่หรูเยียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ความจริงแล้วตั้งแต่นางเข้ามาในเมืองลั่วหยางนางก็ได้สอบถามผู้คนไปมากมาย แต่ในตอนนั้นนางก็ยังไม่แน่ใจ 100% เต็มและในตอนนี้เมื่อมีข่าวของกุญแจหลุดออกมานางก็รู้สึกมั่นใจเต็มที่

“นายหญิงน้อยขอรับ ท่านอย่าเพิ่งประมาทไป เรื่องเช่นนี้พวกเราต้องจับตาดูกันอีกยาวนาน” ท่านลุงไฉรู้สึกกลัวและรีบพูดออกมาทันที แม้ว่าสํานักคุ้มกันโม่หยวนจะถือว่ามีชื่อเสียงแต่เมื่อเทียบกับชวี่ยี่จวงแล้วมันก็เหมือนกับหิงห้อยกับดวงอาทิตย์

ในความคิดของเขานั้นแม้ว่าจะรวบรวมคนทั้งหมดของสํานักคุ้มกันโม่หยวนก็ยังไม่อาจเอาชนะชวี่ยี่จวงได้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าโม่หรูเยียนจะหุนหันพลันแล่นและทําอะไรโง่ๆออกไป

“ท่านลุงไฉ วางใจเถอะ ข้าไม่ยอมตายแน่นอน อย่างน้อยที่สุดข้าก็จะรอจนกว่าตัวเองจะมีพลังมากพอ” โม่หรูเยียนตอบกลับมา นางย่อมรู้ดีว่าความต่างของตนเองกับชวี่หยางนั้นกว้างใหญ่มากเพียงใด แม้ว่านางอยากจะล้างแค้นแต่ก็คงไม่ทําอะไรโง่ๆแน่นอน

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ท่านลุงไฉพยักหน้า

” ท่านลุงไฉ กลับไปครั้งนี้จงไปบอกท่านพ่อว่าข้ามีสิ่งสําคัญที่ยิ่งใหญ่ที่จะมอบให้กับเขาในปีหน้า” โม่หรูเยียนพูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรมากนะ

“รับทราบขอรับ” ท่านลุงไฉพยักหน้าตอบกลับมาแต่ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น “นายหญิงน้อย ท่านจะไม่เดินทางกลับไปพร้อมกับพวกเราหรือขอรับ?”

“ไม่ ข้าจะออกเดินทางฝึกฝนด้วยตนเองและจะกลับไปหลังจากที่พลังของข้ายกระดับขึ้นมาได้สําเร็จแล้ว” โม่หรูเยียนตอบกลับมาตามตรง

“ถ้าหากนายหญิงน้อยไม่กลับไป นายท่านจะต้องโกรธแน่นอนขอรับ” ท่านลุงไฉพูดแนะนําพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

“ข้าจะใช้เวลาวันสองวันนี้ไปหาซื้อสิ่งของบางอย่างก่อน ท่านจงมอบของชิ้นนั้นให้กับน้องชายของข้า เขารู้ดีว่าต้องทําเช่นไร” โม่หรูเยียนตอบกลับมาอย่างเฉยเมย

“นายหญิงน้อย ท่านจะทําแบบนี้จริงๆหรือขอรับ?” ท่านลุงไฉสายศีรษะของเขาและถามขึ้นมาอีกครั้ง

” แน่นอน” โม่หรูเยียนยืนยันอีกครั้ง

มู่ลี้ย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองลั่วหยาง แต่แม้ว่าเขารู้เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจอยู่ดี

รถม้าของเขาเดินทางออกมาจากเมืองลั่วหยางเรื่อยๆและแต่ถนนนั้นก็มีความขรุขระอยู่บ้าง ทําให้ความเร็วของรถม้านั้นไม่ได้เร็วมากนัก มู่อี้เอนหลังของเขาพิงผนังของรถม้าและปิดตาลงพร้อมกับลมหายใจที่สงบนิ่ง ราวกับว่าเขากําลังหลับลึกในตอนนี้

ความจริงแล้วมู่อี้ไม่ได้หลับลึกหรือทําสมาธิ เขาเพียงแค่นึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น