ตอนที่ 196 ในที่สุดก็มีที่ให้ปักหลักแล้ว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 196 ในที่สุดก็มีที่ให้ปักหลักแล้ว

อู๋คงกลับมาที่ร้านค้า สอบถามพนักงานในร้านว่าผู้อาวุโสเฉินอยู่ที่ไหน จากนั้นเดินตรงเข้าไปในโถงด้านใน มายังด้านนอกห้องพักของเจ้าสำนัก

เมื่อได้รับอนุญาตเขาก็เข้าไปด้านใน ก่อนจะเห็นเจ้าสำนักกำลังหารือเรื่องงานกับผู้อาวุโสทั้งหลายอยู่ ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังคุยเรื่องอะไรอยู่ แต่ทันทีที่เขาเข้าไป ทุกคนต่างก็จ้องมาที่เขา

หลังจากอู๋คงทำความเคารพทุกคนแล้ว ผู้อาวุโสเฉินถิงซิ่วก็ลุกขึ้นยืน เอ่ยถามว่า “ขายสุราหมดแล้วหรือ?”

อู๋คงพยักหน้า “ขายหมดแล้วขอรับ สามไหเป็นเงินหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญทอง” เขาหยิบตั๋วแลกทองหลายแผ่นออกมา ก่อนจะประคองส่งให้ด้วยสองมือ

เฉินถิงซิ่วรับตั๋วแลกทองมานับดูอย่างรวดเร็ว รีบถามอีกครั้งว่า “ไหละห้าร้อยเหรียญทอง พวกเขาไม่รู้สึกว่าแพงไปหรือ?”

อู๋คงตอบอย่างเคารพนอบน้อม “เรียนผู้อาวุโส ข้าจัดการตามคำสั่ง ไหหนึ่งที่เปิดแล้วใช้เป็นสินค้าทดลองชิม อีกสามไหที่เหลือลองนำไปเสนอขายให้ร้านค้าสามแห่ง เมื่อได้ยินว่าราคาไหละห้าร้อยเหรียญทอง ทุกร้านต่างก็ติว่าแพงไป แต่หลังจากได้ลองชิมดู ต่างก็บอกว่าเป็นสุราดี พากันแสดงความต้องการว่าอยากจะซื้อไว้สักสองสามไห ข้าบอกว่าสุรานี้ผลิตได้ยากยิ่ง ตอนนี้ไม่มีของ พวกเขาก็พากันแสดงท่าทีว่าอยากสั่งจองไว้ บ้างก็จองไว้สิบไห บ้างก็จองไว้ร้อยไห ศิษย์ไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัด จึงไม่กล้ารับปากพวกเขาขอรับ!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ภายในห้องต่างเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา

เฉินถิงซิ่วหัวร่อออกมา โบกมือพลางเอ่ยว่า “เอาล่ะ เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

“ขอรับ!”

หลังจากอู๋คงออกไปแล้ว เฉินถิงซิ่วก็หันหน้ากลับมาทันที กล่าวกับเผิงโย่วไจ้ว่า “ท่านเจ้าสำนัก พวกเรากังวลกันเกินไปแล้วขอรับ ดูเหมือนราคาห้าร้อยเหรียญทองจะยังต่ำไปหน่อย สามารถเรียกราคาให้สูงขึ้นได้อีกหน่อยขอรับ”

เผิงโย่วไจ้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งลุกขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านเจ้าสำนัก ข้าว่าเรื่องนี้คุ้มค่าที่จะทำ ต่อให้ขายในราคาห้าร้อยเหรียญทอง เราก็ยังได้กำไรไหละสามร้อยเหรียญทอง ถ้าขายหนึ่งหมื่นไห ปีนึงก็จะตกเป็นเงินสามล้านเหรียญทองต่อปี! อย่าว่าแต่จังหวัดกว่างอี้และจังหวัดชิงซานเลยขอรับ ต่อให้เก็บเงินจากสี่ห้าจังหวัดรวมกันปีนึงก็ยังไม่แน่ว่าจะหาเงินได้มากขนาดนี้เลย”

เผิงโย่วไจ้มองผู้อาวุโสที่เหลือ “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวว่า “เจ้าสำนัก ข้าว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ขอรับ”

เฉินถิงซิ่วเองก็พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เจ้าสำนักขอรับ ธุรกิจนี้คุ้มค่า สามารถตอบตกลงกับเขาได้ เดี๋ยวข้าจะไปเรียกเขาเข้ามานะขอรับ ”

“ช้าก่อน!” เผิงโย่วไจ้ยกมือห้ามไว้ เมื่อได้รับความเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยไปว่า “ไม่ต้องรีบร้อน บอกไว้แล้วว่าจะให้คำตอบเขาพรุ่งนี้ หากพวกเรารีบร้อนเกินไปมันจะดูไม่ดี ไม่จำเป็นต้องตอบวันนี้ก็ได้ ให้เขารอไปก่อน”

มีเหตุผล ทุกคนพากันพยักหน้าเห็นด้วย

จู่ๆ เฉินถิงซิ่วพลันถอนใจแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าทางเฟิ่งหลิงปอคงต้องทนรับความคับข้องใจหน่อยแล้ว”

เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็เงียบไป เฟิ่งหลิงปอปกครองจังหวัดกว่างอี้ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เขามีทั้งผลงานและความมานะทุ่มเท การริบอำนาจเขามาเช่นนี้ดูไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไร อีกทั้งเฟิ่งหลิงปอก็เป็นลูกเขยของเจ้าสำนักด้วย หรือต่อให้ไม่ใช่ลูกเขยของท่านเจ้าสำนัก สำนักหยกสวรรค์ไม่อาจทำเรื่องที่ไร้เหตุผลขนาดนี้ได้

เผิงโย่วไจ้โบกมือพลางเอ่ยว่า “ข้าเป็นเจ้าสำนักหยกสวรรค์ เขาเป็นลูกเขยของข้า เพื่อผลประโยชน์ของสำนักหยกสวรรค์แล้ว หากเขาไม่เสียสละแล้วจะให้ผู้ใดเสียสละ? กับคนอื่นอาจจะพูดลำบาก แต่การที่เขาจะเสียสละเพื่อสำนักหยกสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว! ทางอวี้หลานกับเฟิ่งหลิงปอพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมพวกเขาเอง”

พอได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างทราบแก่ใจดี เรื่องราวได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เขาเสียสละเพื่อสำนักหยกสวรรค์ ในอนาคตทางสำนักย่อมต้องตอบแทนเขาเป็นอย่างดี

วันต่อมา เจ้าสำนักเซียนสถิตและสำนักต่างๆ มารวมตัวกันที่ร้านค้าของสำนักหยกสวรรค์อีกครั้ง เงื่อนไขที่หนิวโหย่วเต้าเสนอไป สำนักหยกสวรรค์ตอบตกลงทั้งหมด

ทั้งสามสำนักค่อนข้างอ่อนแอ เมื่อต้องเจรจาเรื่องสำคัญที่เกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตของสำนักตนเองต่อหน้าสำนักที่แข็งแกร่งอย่างสำนักหยกสวรรค์แล้ว เงื่อนไขที่พูดกันเพียงปากเปล่าบางอย่างไม่สามารถนำกลับไปอธิบายต่อเหล่าศิษย์ในสำนักได้ จนกระทั่งรบเร้าขอให้สำนักหยกสวรรค์ลงนามในหนังสือสัญญาสำเร็จ พวกเขาถึงได้วางใจ

นี่คือข้อตกลงที่อาจเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของมณฑลหนานโจวทั้งมณฑล พวกเฮยหมู่ตานที่เฝ้ามองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบแอบรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ สายตาที่มองหนิวโหย่วเต้าล้วนเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง มีความเคารพยำเกรง รู้ซึ้งแล้วว่าในอดีตพวกตนเล็กจ้อยเพียงใด

ขณะเดียวกันก็รู้สึกสนิทใจยิ่งขึ้น ความลับเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้ากลับมิได้ปิดบังพวกเขาเลย ให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตา

อีกทั้งมีความรู้สึกเลื่อมใสอยู่ด้วยเช่นกัน เต้าเหยี่ยเพียงพลิกมือก็เรียกเมฆเพียงคว่ำมือก็เรียกฝนได้ คนกลุ่มหนึ่งยกโขยงมาสังหารเต้าเหยี่ย พริบตาเดียวกลับถูกเต้าเหยี่ยดึงมาเป็นพวกเสียอย่างนั้น

ในความเป็นจริงแล้ว การเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรของแต่ละสำนักมาทำการหารือกันลับหลังเช่นนี้ มาทำการตัดสินใจที่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนในมณฑลหนานโจวไปมากน้อยเท่าไรเช่นนี้ ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น ไม่รู้ว่าในมณฑลหนานโจวจะมีคนมากน้อยเท่าไรที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด

หากเฟิ่งหลิงปอที่ปกครองจังหวัดกว่างอี้มานานหลายปีทราบเรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ไม่รู้ว่าจะนึกเสียใจหรือไม่ที่ ‘พาหมาป่าเข้ามาในบ้าน’

หลังจากหารือกับหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง สมาชิกของทั้งสามสำนักก็จากไป ต่างเร่งกลับไปเตรียมการโดยเร็ว

เผิงโย่วไจ้ก็เตรียมจะเดินทางกลับเช่นกัน ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนัก เขาไม่อาจออกมาจากศูนย์กลางของสำนักเป็นเวลานานเกินไปได้

แต่ก่อนจะจากไป เขายังคงมาหาหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง เอ่ยถามว่า “เจ้าเตรียมจะกลับจังหวัดชิงซานเมื่อไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “อย่างไรเสียตอนนี้ข้าก็ยังไม่อาจเผยตัวในจังหวัดชิงซานอย่างเปิดเผยได้ จะกลับเร็วขึ้นหรือช้าลงก็ไม่ต่างกัน”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยเสียงขรึม “เรื่องกลั่นสุราไม่อาจล่าช้าได้ รีบกลับไปเถอะ ส่วนความปลอดภัยระหว่างทาง…เจ้าสร้างปัญหาเอาไว้ไม่น้อย จะให้ข้าทิ้งคนจำนวนหนึ่งไว้คุ้มกันเจ้ากลับไปหรือไม่?”

เมื่อทางนี้มั่นใจแล้วว่าเรื่องนี้เป็นลู่ทางทำเงินมหาศาล พวกเขาจึงรู้สึกค่อนข้างร้อนใจขึ้นมา อยากให้หนิวโหย่วเต้ารีบกลับไปช่วยกลั่นเหล้าให้พวกเขาใจแทบขาด จากนั้นพวกเขาจะได้ร่ำรวยขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เรื่องคุ้มกันนั้นไม่จำเป็น อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปที่หอหิมะเหมันต์อีก เรื่องความปลอดภัยระหว่างทาง เดี๋ยวทางหอหิมะเหมันต์จะจัดการให้ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

มิน่าถึงกล้าเที่ยวก่อเรื่องไปทั่วโดยไม่ได้มีความเกรงกลัวแม้แต่นิดเดียว! มุมปากของเผิงโย่วไจ้กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย บ่นพึมพำอยู่ในใจ เจ้านี่มันเกี่ยวข้องกับหอหิมะเหมันต์อย่างไรกันแน่?

จนปัญญาที่ไม่สะดวกจะถาม แล้วก็ถามออกไปไม่ได้ด้วย จึงทำได้เพียงปล่อยผ่านไป

เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าหอหิมะเหมันต์จะจัดการให้ เขาก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาเช่นกัน แต่ยังคงเอ่ยเร่งรัดอีกเล็กน้อย “รีบกลับแล้วกัน เรื่องงานสำคัญ”

“ตกลง!” หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อยพลางพยักหน้ารับ

เผิงโย่วไจ้หันหลังก้าวอาดๆ เดินจากไป

เมื่อภายในห้องไม่มีคนอื่นแล้ว ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของหยวนกัง หนิวโหย่วเต้าก้าวเดินไปอย่างช้าๆ หยิบกระบี่ที่วางอยู่บนชั้นด้านข้างมาถือไว้ในมือ ชักกระบี่ที่วาววับส่องประกายออกมาส่องดูตนเอง เอ่ยเนิบๆ ว่า “เจ้าลิง กลับไปครั้งนี้ พวกเราถึงจะนับว่ายืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ขอเพียงอยู่ในจังหวัดชิงซาน หากในด้านความปลอดภัยไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรเกิดขึ้นมาอีก อย่างนั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ในที่สุดพวกเราก็จะมีที่ให้ปักหลักแล้ว”

หยวนกังเงียบไป รู้ดีว่าครั้งนี้เต้าเหยี่ยทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อยกว่าจะสร้างแผนการนี้ขึ้นมาได้ ตั้งแต่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จนมาถึงตอนนี้ น่าจะยังไม่ถึงครึ่งปีดีกระมัง ในที่สุดก็สามารถปักหลักอยู่ท่ามกลางอันตรายที่รุมเร้าเข้ามาได้อย่างมั่นคงแล้ว นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ

หยวนกังเองก็ทราบแก่ใจดีว่าหากเปลี่ยนเป็นตน ตนไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ ความสามารถในด้านนี้ของตนห่างชั้นกับเต้าเหยี่ยเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นการช่วยเหลือสองพี่น้องตระกูลซางด้วย คิดว่าหลังจากทราบเรื่องนี้แล้ว พี่น้องคู่นั้นคงจะดีใจเป็นอย่างมากกระมัง?

ภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่ต่อสู้อยู่ท่ามกลางป่าดงแวบเข้ามาในหัวของเขา คนกลุ่มนั้นช่วยชีวิตเขาไว้ ก่อนตายกวนเถี่ยจับมือขอร้องอ้อนวอนเขา…

หยวนกังสลัดภาพอันวุ่นวายออกจากหัวไป เอ่ยถามว่า “จะลงมือเอาของนั่นเมื่อไรครับ?”

“ตอนนี้ยังลงมือไม่ได้ อย่างน้อยก็ลงมือในระหว่างที่พวกเรายังอยู่ในหอหิมะเหมันต์ไม่ได้ รอฟังข่าวจากเว่ยตัวแล้วค่อยดูอีกที ไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หนิวโหย่วเต้าสอดกระบี่กลับเข้าฝัก หันกลับไปมองเขา

……

วันต่อมา ทั้งกลุ่มปลอมตัวแล้วเดินทางออกจากหอหิมะเหมันต์

ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยหิมะ ทั้งกลุ่มเหินทะยานออกไป ร่างของหยวนกังพุ่งออกมาจากยอดเขาหิมะลูกหนึ่ง ละอองหิมะฟุ้งกระจายอยู่ด้านหลัง เขาพุ่งลงมาจากภูเขาอย่างรวดเร็ว ไล่ตามอยู่ด้านหลังคนทั้งกลุ่ม

เวลานี้พวกเฮยหมู่ตานถึงได้รู้สึกประหลาดใจ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหยวนกังจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ได้มากไปกว่าพวกเขาสักเท่าไร แต่กลับมาโต้ลมหนาวอยู่ในพื้นที่ที่อุณหภูมิต่ำเช่นนี้ พวกเขานึกภาพไม่ออกเลยว่าหยวนกังอาศัยกายเนื้อนี้ต้านทานความหนาวเหน็บเช่นนี้ได้อย่างไร

ทั้งห้าร่อนลงพื้น ร่อนลงบนเนินหิมะลูกหนึ่ง จากนั้นดีดตัวทะยานไปข้างหน้าอีกครั้ง

หยวนกังที่ตามหลังลงมาอย่างรวดเร็วพุ่งขึ้นไปบนเนินหิมะ ไถลไปตามความชันของเนิน ก่อนจะถลาขึ้นไปในอากาศ ทะยานขึ้นสู่ท้องนภา ลอยเหินได้สูงกว่าคนทั้งกลุ่ม

พวกเฮยหมู่ตานเงยหน้ามองขึ้นไปพร้อมกัน เห็นหยวนกังเหยียบอยู่บนไม้กระดานสองแผ่น ลำตัวโน้มไปด้านหน้า สองมือขัดกันไว้ด้านหลัง เคลื่อนที่ไปเบื้องหน้าในอากาศ

ด้านหน้าคือหุบเขาแห่งหนึ่ง หลังจากเหินทะยานข้ามหุบเขาแล้วร่อนลงสู่พื้น ทุกคนก็พากันหันกลับไปมอง แต่ละคนต่างรู้สึกหวั่นใจแทนหยวนกัง นี่ถ้าหากพลาดท่าร่วงตกลงไปในหุบเขาแล้วจะยังรอดชีวิตได้อีกหรือเปล่า?

ทว่าร่างของหยวนกังกลับลอยข้ามศีรษะพวกเขาไป ลอยคว้างข้ามหุบเขา ตกลงมาจากบนอากาศ ไม่ได้เกิดเหตุการณ์ที่กระแทกลงไปในหิมะหรือล้มคว่ำกระเด็นกระดอนอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้ มีเพียงเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายขึ้นมาจากบนพื้น จากนั้นทะยานไปตามสภาพภูมิประเทศ ทิ้งห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีการหยุดชะงักแต่อย่างใด เมื่อเจอเนินหิมะก็ลอยเหินขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง พลิ้วไหวสง่างาม

พวกเฮยหมู่ตานพากันอ้าปากค้าง รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก!

หนิวโหย่วเต้าอมยิ้ม พบว่าเจ้าลิงกำลังทำเท่อยู่ชัดๆ จึงย่อตัวแล้วทะยานไล่ตามไป

…..

หลังออกจากเขตหิมะ ก็พบทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง ทั้งคณะหยุดเดินทาง ไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในป่าเขารกร้าง แล้วก็ไม่ได้ไปที่ตัวเมืองที่คึกคักด้วย หากแต่หยุดอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงตำบลเล็กๆ ที่อยู่ติดริมแม่น้ำ

พวกเฮยหมู่ตานไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะทำอะไร เหตุใดถึงไม่เดินทางต่อ?

แต่ถามไปก็ไม่ได้ความ หนิวโหย่วเต้าบอกเพียงว่าเดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง

คนอื่นๆ ก็ไม่รู้เช่นกันว่าหยวนกังกำลังทำอะไร อีกฝ่ายมักจะขังตัวอยู่ในบ้านหลังหนึ่งอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่กันแน่

ส่วนหนิวโหย่วเต้า ถ้ามิได้บำเพ็ญเพียรก็จะไปเดินเตร่ในหมู่บ้านที่มีคนอาศัยอยู่ไม่มากนักแห่งนี้

ไปซื้อสุราในตัวตำบล ร่ำสุราพูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน เล่นกับเด็กน้อยในหมู่บ้าน บางครั้งก็ถือคันเบ็ดไปตกปลาริมแม่น้ำ

พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือน

ภายใต้แสงตะวันยามเย็น หนิวโหย่วเต้าที่ถือคันเบ็ดและข้องใส่ปลาเดินเอื่อยๆ กลับมา เด็กน้อยในหมู่บ้านส่งเสียงโห่ร้องวิ่งกรูเข้าไปหา ทุกคนล้วนทราบดีว่าเขาตกปลาเก่งเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ปลาทั้งข้องจึงถูกแบ่งปันให้เหล่าเด็กน้อยจนเกลี้ยง เด็กน้อยที่ได้ปลาก็วิ่งกลับบ้านไปอย่างมีความสุข ทุกครั้งล้วนแต่เป็นเช่นนี้

หยวนกังนั่งอยู่บนกำแพงบ้านมองดูตะวันตกดิน สีหน้าคล้ายกำลังย้อนระลึกถึงความหลัง

หนิวโหย่วเต้าถืออุปกรณ์ตกปลายืนอยู่ด้านล่างกำแพง เงยหน้าถาม “เสร็จแล้วเหรอ?”

หยวนกังพยักหน้ารับ “ใกล้แล้ว” เขากระโดดลงมาจากกำแพง รับของจากมือหนิวโหย่วเต้าไป ก่อนจะล้วงเอาม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้อีกฝ่าย “เว่ยตัวส่งข่าวมาแล้ว”

“โอ้!” หนิวโหย่วเต้ารับม้วนกระดาษไป เดินเข้าไปในบ้าน คลี่กระดาษออกอ่าน ยิ่งอ่านรอยยิ้มตรงมุมปากก็ฉีกกว้างขึ้นเรื่อยๆ

อันที่จริงในกระดาษก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่บอกเล่าข้อมูลโดยทั่วไปของเซ่าผิงปอเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นเซ่าผิงปอยังมีน้องสาวแม่เดียวกันอยู่หนึ่งคน แม่ของเขาจากไปนานแล้ว อนุที่บิดาของเขาแต่งเข้ามาให้กำเนิดบุตรชายสองคน ถูกเซ่าผิงปอข่มเอาไว้จนไม่อาจทำอะไรได้

“น่าสนใจ” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยพึมพำ ค่อยๆ เก็บกระดาษที่อยู่ในมือ เอ่ยขึ้นว่า “ไปตามอู๋ซานเหลี่ยงมาที”

หยวนกังออกจากบ้านไปทันที เพียงครู่เดียว อู๋ซานเหลี่ยงก็มาถึง ประสานมือคารวะ “เต้าเหยี่ย!”

…………………………………………………………..