ตอนที่ 147 ภูผานทีพังทลาย สิงโตคำราม
แสงอ่อนเหนือศีรษะ ยันต์ที่ลอยล่องสลายเป็นเถ้าถ่าน
หนิงอี้ที่พิงผนังหินมีสีหน้าหลากหลาย
แววตาเขามองตามยันต์ที่เหลือครึ่งหนึ่งนั้นลอยลงมาช้าๆ
เวลาช้าลง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เจ็ดแปดลมหายใจ
ภายในวิหารใหญ่สุสานแห่งนี้ยังดังก้องไปด้วยเสียงของหนิงอี้
‘เจียงหลิน อยากรู้หรือไม่ว่าสององค์ชายต้าสุยนั่นทำอะไรในภูเขาแดงกันแน่’
ทว่ายอดปีศาจหนุ่มนั่นให้คำตอบที่ตรงไปตรงมามาก
‘ไม่อยาก’
เจียงหลินพูดจบก็เดินหนึ่งก้าว นี่เป็นก้าวที่ช้าและยาก มองออกได้ว่าร่างกายเขายังแบกรับพลังที่เหลือจากปราณกระบี่ เดินเข้ามา พายุสายฟ้าระเบิดในกาย ใบหน้าเจียงหลินสุขุมและสงบนิ่ง เขาโยนความเจ็บปวดพวกนั้นไว้ข้างหลังแล้ว
แต่เขาไม่ได้เดินไปหาหนิงอี้
เจียงหลินไม่รู้ว่าหนิงอี้ยังมีกลอุบายอะไรอยู่หรือไม่ การปาดาบสังหารของตนสังหารหนิงอี้ไม่ได้ แต่เผยเกราะเกล็ดของอีกฝ่ายมา เด็กหนุ่มต้าสุยคนนี้เหมือนเป็นคลังสมบัติที่เปิดออกไม่หยุด ตั้งแต่เจอกันที่หุบเขาภูเขาแดงจนถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่ตนทุ่มกำลังสังหารจะกดดันจนเผยไพ่ตายหนิงอี้ออกมาอย่างหนึ่ง มาไม่ขาดสาย…ครั้งนี้เขาไม่อยากเสี่ยงอีก
เดินไปก้าวแรกเจียงหลินหยุดเล็กน้อย หน้าเขาซีดขาวนิดๆ สายเลือดกิเลนไหลเวียน ต่อต้านปราณกระบี่พินิจเหมันต์ พรสวรรค์นี้สูงยิ่ง ยอดปีศาจหนุ่มเก่งกาจในอนาคตสูดลมหายใจเข้าลึก เขาพยายามให้สองขาตนเดินไปได้เร็วขึ้นในแดนผนึกแสงดารานี่ หลังจากหยุดไปช่วงสั้นๆ เขาเดินก้าวที่สอง
หนิงอี้ที่ทุกคำพูดจุกในลำคอเห็นภาพนี้แล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย
แววตาหนิงอี้สงบนิ่งมาตลอด
เรื่องมาจนถึงตอนนี้ พูดมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ เขาพิงผนังหิน รู้สึกว่าแรงในกายตนฟื้นกลับมาทีละนิด ตื่นขึ้น แต่ไม่พอให้ตนออกหนึ่งกระบี่…ต่อให้ออกหนึ่งกระบี่แล้วจะทำอะไรได้ เขาฆ่าเจียงหลินไม่ตาย สถานการณ์จะเข้าสู่ช่วงยืนกรานอีกครั้ง ผลของการต่อสู้ด้วยพละกำลังตัดสินแพ้ชนะแล้ว ความสามารถในการฟื้นฟูที่มาจากพรสวรรค์ของยอดปีศาจนี่เหนือกว่าตนขั้นหนึ่ง หลังจากสองฝ่ายสู้กันจนหมดแรงแล้ว เจียงหลินจะต้องฟื้นกำลังกลับมาก่อนแน่นอน
สวีชิงเยี่ยนสังเกตเห็นว่าหนิงอี้ที่พิงผนังหินปักกระบี่ช้าๆ เตรียมจะลุกขึ้น นี่เป็นการขยับที่ยาก หนิงอี้ทำช้ามาก สองมือกดด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ หลังงอขึ้น แต่ก็ไม่อาจลุกขึ้นนั่งได้ ดังนั้นจึงดูเหมือนนักคิด
พิงผนังหิน ความคิดลอยออกไปไกลพร้อมกับยันต์ลอยลิ่ว…
อีกด้านหนึ่ง
เจียงหลินสาวเท้ายาวไปข้างหน้า ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นทีละหย่อม ทุกครั้งจะหยุดชะงัก แต่ช่องว่างจะสั้นลงเรื่อยๆ…เขามีเป้าหมายชัดเจนมาก ข้ามเผ่าปีศาจพันภูเขาหมื่นธารน้ำมาภูเขาแดงก็เพื่อดึงราชสีห์ขาว ดาบยาวนั่นปักอยู่ตรงกลางสุดของแท่นบวงสรวง
เจียงหลินหรี่ตาลง ยันต์ที่ลอยลงมาพวกนั้นถูกพัดมาทางตน กระดาษยันต์ที่อยู่ในสภาพดีสลายเป็นเถ้าถ่านในทันทีที่สัมผัสตน เดิมทียันต์พวกนี้น่าจะล้อมอยู่รอบแท่นบวงสรวง ในกาลเวลาหลายพันปีมานี้ไม่ยอมให้ราชสีห์ขาวในแท่นบวงสรวงเปื้อนฝุ่น…อะไรที่ทำให้พวกมันฉีกขาดกัน
เป็นการเปิดสุสานอย่างเหนือความคาดหมายหรือ
หนิงอี้กำลังครุ่นคิดถึงคำถามนี้เช่นกัน…เขามองไปตามยันต์ลอยล่องพวกนั้น ในจวนเมืองหลวง เขาเคยเรียนค่ายกลยันต์กับเด็กสาวมาช่วงหนึ่ง เคยเห็นรูปแบบของยันต์มาบ้าง และยังเคยได้ฟังนางอธิบายความรู้เล็กๆ น้อยๆ
ตอนนี้ยันต์ที่เผาตัวเองกลายเป็นเถ้าธุลีพวกนี้…ระดับไม่ต้องพูดถึง ความสามารถก็ตามประเภท น่าจะอยู่ในหมวด ‘กำราบเทพ’ หนิงอี้มาถึงสุสานแห่งนี้ก่อนเจียงหลิน เขารู้ว่าที่นี่เป็นแดนเทวาบำเพ็ญของผู้สูงศักดิ์สวรรค์เทพผู้ขจัดความทุกข์ เขายังรู้ด้วยว่ากระบี่เซียนทัณฑ์ล้ำเลิศลอยอยู่บนวิหารใหญ่ วัดกันที่ตำแหน่งและชัยภูมิ ราชสีห์ขาวอยู่ข้างล่าง ทัณฑ์ล้ำเลิศลอยอยู่บนฟ้า มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นลำดับสำคัญและลำดับรอง แต่เหมือนการกำราบไว้มากกว่า
ยันต์ ‘กำราบเทพ’ พวกนี้ เหมือนใช้กำราบบางอย่าง อย่างเช่นดาบยาวนั่นที่ปักกลางแท่นบวงสรวง
……
ขณะเวลาผ่านไปช้าๆ
หนิงอี้นึกไปถึงศิลาหินนั้นที่ตนพิงหลังตอนนั่งขัดสมาธิทะลวงพลัง
อักษรโบราณแถวนั้น
‘ข้าเคยยินดีติดตามท่าน พันปี หมื่นปี จวบจนนิรันดร์’
เขาเกิดความไม่แน่ใจนิดๆ เหมือนดอกไม้ไฟเบ่งบาน
รูปปั้นหินเคียงกระบี่ ตอนคืนชีพก็ต้องใช้ความเป็นเทพ เพราะกายเนื้อยังอยู่ สติปัญญายังอยู่ เพียงแค่กายและจิตเหือดแห้ง ไม่อาจฟื้นกลับมาได้เป็นธรรมชาติ…ความเป็นเทพคือสิ่งที่หายากที่สุดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์ต้าสุยหรือเผ่าปีศาจแดนอุดร ยังมีการสืบเสาะต่อความเป็นเทพได้อ่อนเยาว์มาก มีน้อยคนมากที่จะรู้ว่าใช้ความเป็นเทพอย่างไร ใช้มันทำอะไรกันแน่
แต่หนิงอี้รู้
หนิงอี้เคยคิดถึงคำถามนี้ในใจ
หากความเป็นเทพเพียงพอ จะให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นกลับมาใหม่ได้หรือไม่
ผู้บำเพ็ญหลังจากนิพพาน สิ่งที่ฝึกบำเพ็ญคือเส้นทางนั้นที่ไปสู่ความเป็นอมตะ
หลังกลายเป็นอมตะ จะเหมือนกับดาราบนฟ้า ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนพื้นที่มีสายเลือดคนธรรมดาไหลเวียนอีก แต่อาบความเป็นเทพ เป็นอมตะชั่วนิรันดร์
เช่นนั้นถ้าใส่ความเป็นเทพเข้าไปในร่างที่ตายแล้ว จะทำให้คนตายเป็นอมตะได้หรือไม่
ไม่ว่าบทสรุปเป็นอย่างไร โลกนี้ก็ไม่มีทางมีความเป็นเทพมากขนาดนั้น…แต่ความคิดนี้เกิดขึ้นมาแล้ว โครงสร้างความคิดทุกอย่างก็สมเหตุผล
ตอนนี้เองในความคิดหนิงอี้เกิดความคิดที่ฟังดูเหลวไหลขึ้น แต่ก็เป็นความคิดที่ใช้ได้
เมื่อความเป็นเทพมากพอ เช่นนั้นคนตายลืมตาตื่น จะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้หรือไม่
ยืมเวลาชั่วพริบตาหนึ่งของฟ้าดิน ก็เท่ากับคืนชีพมาเช่นกัน
สิ่งที่ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณอยากทำมาตลอดคือการทะลวงผิวทะเลพลิกผัน จนกระทั่งเขาตายไปก็ยังทำไม่ได้
หนิงอี้หรี่ตาลง จ้องยันต์ที่ลอยอยู่ไกลๆ มุมสุดท้ายสลายเป็นเถ้าถ่าน มองเห็นไม่ชัด
ยันต์นอกแท่นบวงสรวงเริ่มหลุดลอกหลังจากตนดึงกระบี่เซียนทัณฑ์ล้ำเลิศ
หนิงอี้ก็เติมเรื่องราวไปอีกสองสามคำ
ติดตาม หักหลังและกำราบ
แน่นอนว่ายังมีการต่อต้านสุดท้ายรวมถึงความพ่ายแพ้
ดังนั้นจึงมีสุสานก้นทะเลแห่งนี้ กระบี่เซียนทัณฑ์ล้ำเลิศที่เคยปรากฏมาในโลกครั้งหนึ่งหายไปในพริบตา ผู้แข็งแกร่งสำนักเต๋ามากมายออกตามหาก็ยังไม่พบ ผู้สูงศักดิ์สวรรค์เทพผู้ขจัดความทุกข์หลังนั่งลืมสำเร็จไม่รู้ไปที่ใด ราชสีห์ขาวของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณนั่นถูกทัณฑ์ล้ำเลิศลอยอยู่สูงเหนือหัว
ทั้งสุสานก้นทะเลแปะยันต์ผนึกเต็มไปหมด เปิดไม่ได้
ทางเข้าภูเขาแดงก็เช่นกัน
ต้าสุยหลายพันปีมานี้เปิดภูเขาแดงมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ทุกครั้งจะใช้ความเป็นเทพเป็นราคาต้องจ่าย คนใหญ่คนโตของสามกรมคิดว่านี่เป็นเงื่อนไขจำเป็นในการเปิดภูเขาแดง แต่ไม่รู้ว่าในสุสานของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณซ่อนวิหารสุสานมหึมาเช่นนี้ไว้
พวกเขายิ่งไม่รู้ว่าความเป็นเทพจำนวนมากที่ตนใส่เข้าไป สุดท้ายไปที่ใด
หนิงอี้ลมหายใจกระชั้นขึ้น
เขามองยอดปีศาจหนุ่มนั่นเดินไปทางแท่นบวงสรวงทีละก้าว
เจียงหลินมาตรงใจกลางสุดของแท่นบวงสรวง
เขามองราชสีห์ขาวที่ห่อหุ้มอยู่กลางแสงอ่อนนั้น มือข้างหนึ่งคว้าด้ามดาบช้าๆ ไม่หนัก แต่เบาสบายมาก…ดาบยาวนี้ถูกวางไว้ที่นี่ หลายพันปีผ่านมา ไม่ได้มีร่องรอยเสียหายเลย หาได้ยากมาก
มีอย่างหนึ่งที่เจียงหลินไม่ค่อยเข้าใจ ราชสีห์ขาวถูกแท่นบวงสรวงผนึก ตอนนี้ตนจับไว้ อาวุธเทพปกติจะมีจิตของเจ้าของ ต่อให้เจ้าของตายไปก็ยังไม่ยอมรับนายใหม่ง่ายๆ ต้องผ่านความลำบากมากมายถึงจะคลายความลับสวรรค์มาเสี้ยวหนึ่ง แต่ราชสีห์ขาวตอนนี้ให้ความรู้สึกว่าตน ‘กำราบได้สบาย’
เจียงหลินหรี่ตาลง มือข้างหนึ่งจับถุงสวยงาม…ยืนบนแท่นบวงสรวง เขามั่นใจได้ว่าสิ่งที่ทำให้ตนรู้สึกไม่ปลอดภัยคือดาบยาวนี่ หากตนดึงราชสีห์ขาว จะมีเวลาให้ตนไม่มาก หลังกวัดแกว่งดาบสังหารหนิงอี้ เขาจะใช้ถุงสวยงามไปจากภูเขาแดง กลับใต้ฟ้าเผ่าปีศาจอย่างรวดเร็ว
ยอดปีศาจหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก
เขาเพ่งมองเด็กหนุ่มต้าสุยที่พิงผนังหิน หนิงอี้ยังตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น ตัวกระบี่พินิจเหมันต์เล่มนั้นสั่นไหวเบาๆ เศษหินรอบตัวลอยขึ้น รวมเป็นเขตแดน…
เจียงหลิงจับราชสีห์ขาวมือเดียวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
สุสานก้นทะเล แผ่นดินมืดมิดที่อยู่มีแสงสว่างสายหนึ่งปรากฏออกมา แผ่นดินก็แตกระแหง แสงสว่างพุ่งออกไป ส่องสว่างก้นทะเลมืดมิด ถาโถมเข้าไป
ทั้งภูเขาแดงสั่นสะเทือนตามการดึงดาบราชสีห์ขาวอย่างแน่วแน่ของยอดปีศาจกิเลน
มีเสียงที่อัดอั้นมาหลายพันปีดังขึ้นจากใต้ดินช้าๆ
“ราชสีห์คำราม…” หนิงอี้ประคองพินิจเหมันต์ ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก สวีชิงเยี่ยนประคองเขา เด็กหนุ่มหน้าซีดขาวพึมพำเสียงเบา พูดปลงอนิจจัง “กว่าข้าจะมีแรงหนึ่งกระบี่ไม่ใช่ง่ายๆ เล่นแบบนี้ จะให้ข้าทำอย่างไร”
บนแท่นบวงสรวง น้ำเสียงของเจียงหลินมีความหนักเสี้ยวหนึ่ง เขาดึงราชสีห์ขาวครั้งแรกก็รู้สึกเบาสบายมาก ตอนดึงออกมาครึ่งหนึ่งก็รู้สึกว่าใต้เท้าตนเหมือนเหยียบภูเขาใหญ่หมื่นชั่ง ดาบยาวนี่เกิดมาพร้อมกับภูเขาใหญ่ ฝังรากลึกลงไป
แสงสวรรค์โอ่อ่าปรากฏขึ้นมาในโลกมนุษย์พร้อมกับเสียงคำรามของราชสีห์ขาว
รอบนอกแท่นบวงสรวง ยันต์ทั้งหมด ตอนนี้ระเบิดกระจายหายไป
ผนังหินสุสานก้นทะเล หัวสิงโตเก้าหัวนั้น ในดวงตาจุดแสงมืดหม่นขึ้นอีกครั้ง อ้าปาก น้ำทะเลสั่นสะเทือน ผนังหินสุสานยักษ์หลุดลอก ยันต์หลายพันหลายหมื่นระเบิดพุ่งออกไปเหมือนปลาเวียนว่าย เสียพลังกำราบเทพไปก็แตกกระจาย จมไปในน้ำทะเล
เจียงหลินถือดาบยืนด้วยสองมือ ร่างกำยำเหมือนภูเขาเล็ก เส้นผมยาวกับชุดคลุมขาวปลิวไสว ภาพหยุดนิ่ง เหมือนเทพสวรรค์มาเยือนโลกมนุษย์
ถือดาบข้ามศีรษะ จากนั้นฟันลงมาอย่างฉับพลัน
ดาบนี้
ภูผานทีพังทลาย สิงโตคำราม