ตอนที่ 218 ก่อวินาศกรรมหรือขโมยทักษะ
ตอนที่ 218 ก่อวินาศกรรมหรือขโมยทักษะ
หลินเซี่ยพองแก้มจนป่องโต ใบหน้าเล็ก ๆ ปรากฏสีหน้าดุดันเล็กน้อย เฉินเจียเหอเหลือบมองไปนอกประตูด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ก่อนยื่นมือออกไปเพื่อดึงเธอเข้ามา แล้วจับใบหน้าเธอไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นขอให้เธอมองมาที่เขาอย่างจริงจัง “ฟังนะหลินเซี่ย ผมขอพูดจริงจังตรงนี้เลยว่าไม่เคยมีแฟนเก่าอะไรทั้งนั้น คุณเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่ผมรัก”
เดิมทีชุนฟางรู้สึกเศร้าโศกเพราะกลัวจะถูกหลิวลี่ลี่บีบให้ตนลาออก แต่คราวนี้กลับถูกป้อนอาหารสุนัขเข้าเต็มปาก จึงรีบหันหลังกลับและเดินออกประตูไปอย่างเขินอาย
หลินเซี่ยเห็นว่าใบหน้าของเขาดูจริงจังมาก และคำพูดของเขายังคลุมเครือมากด้วย จึงยกมือขึ้นเพื่อปัดมือเขาออกและจ้องมองตาแข็ง “ในที่สาธารณะแบบนี้คุณละอายใจบ้างไหมเนี่ย? ชุนฟางถึงกับเดินหนีไปเลยเห็นไหม”
เฉินเจียเหอถือโอกาสบีบแก้มสาวน้อยตรงหน้าเบา ๆ และตอบกลับเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณบังคับให้ผมทำแบบนี้เองนะ”
“หยุดบีบแก้มฉันตลอดเวลาได้ไหม? ตอนนี้เราอยู่ที่ทำงาน ฉันคือนายหญิงของที่นี่นะ”
“นายหญิงเหรอ?” ดวงตาของเฉินเจียเหอเป็นประกายอย่างอันตราย พลางจ้องมองมายังเธอ
วิธีที่เขามองเธอนั้นคล้ายคลึงกับวิธีที่เขาต้องการสอนบทเรียนหลังจากหู่จือทำผิด จนหลินเซี่ยรู้สึกหวั่นเกรง ต้องเปลี่ยนระดับการพูดอย่างรวดเร็ว
“ก็เถ้าแก่เนี้ยไง” เธอถามแล้วผลักเขาเบา ๆ “แล้วฉันไม่ใช่เจ้าของร้านนี้รึไงล่ะ?”
ดวงตาของเฉินเจียเหออ่อนลงทันที “ใช่ คุณเป็นเจ้าของร้าน”
“พูดตามตรงนะ เมื่อกี้นี้หลิวลี่ลี่เข้าไปที่ร้านของถังหลิง ดูเหมือนว่าคนพวกนี้ตั้งใจร่วมมือกันสร้างปัญหาให้ฉัน”
เธอหยิบพัดมาเพื่อพัดให้เกิดลมเอื่อย ๆ และบ่นถึงอีกฝ่ายด้วยความโกรธ “บังเอิญว่าฉันเพิ่งติดประกาศรับสมัครงานบนเสาโทรศัพท์ ไม่นานหลิวลี่ลี่ก็มาถึงหน้าประตู แถมยังกล้ามาสมัครงานกับฉัน”
เฉินเจียเหอไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงเหล่านั้นเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าทำไมถังหลิงต้องพยายามเปิดร้านเสริมสวยฝั่งตรงข้ามชนกับร้านของภรรยาเขาด้วย แถมเมื่อกี้นี้ยังส่งคนของตัวเองมาสมัครงานอีก?
เขาแสดงทัศนคติที่ชัดเจนว่าไม่สนใจหล่อน และจดทะเบียนสมรสแล้ว ดังนั้นหล่อนจึงไม่มีประเด็นที่จะเข้ามาพัวพันอะไรกับเขาอีก
เขาเดาว่าผู้หญิงคนนั้นคงส่งคนมาที่นี่เพื่อบ่อนทำลายธุรกิจของคู่แข่งมากกว่า
เขาตอบกลับ “ถ้างั้นแค่ปฏิเสธและเพิกเฉยพวกหล่อนไปก็ได้”
“ฉันไม่ได้อยากรับ แต่ประเด็นคือฉันปฏิเสธตรง ๆ ไม่ได้ไง”
ผู้หญิงนิสัยแย่อย่างหลิวลี่ลี่มักถูกใช้เป็นหน่วยกล้าตายทุกครั้ง
คราวนี้ต้องเป็นถังหลิง เสิ่นเสี่ยวเหมย และคนอื่น ๆ ร่วมกันคิดวางแผนแน่
ถ้าหล่อนได้เข้ามาทำงานจริง ๆ หล่อนคงก่อวินาศกรรมหรือขโมยทักษะของร้านเธอไป
หลินเซี่ยยังคงครุ่นคิดเรื่องธุรกิจอยู่ แต่แล้วก็ถามเฉินเจียเหอ
“คุณโทรหาเซี่ยไห่หรือยัง?”
“ยังไม่ได้โทรเลย คุณกินข้าวไปก่อน เดี๋ยวผมออกไปโทรตอนนี้เลย” ทันทีที่หลินเซี่ยเตือนเขา เฉินเจียเหอก็จำธุระนี้ได้ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน” หลินเซี่ยตักข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“รอฉันกินเสร็จก่อน เดี๋ยวค่อยไปด้วยกันทีเดียวเลย”
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกป้อนอาหารสุนัขอีก ชุนฟางจึงเลี่ยงออกไปตากผ้าเช็ดตัวข้างนอก
หลินเซี่ยบอกหล่อนว่า “ชุนฟาง ฉันจะออกไปข้างนอกสักพัก ถ้ามีคนมาตัดผม เธอจะรอฉันก่อนกลับมาก็ได้ หรือถ้าพวกเขาไม่สะดวกรอก็อาสาตัดให้ลูกค้าได้เลย ฝากร้านด้วยล่ะ”
“อืม”
ชุนฟางไม่มีโอกาสถามเรื่องหลิวลี่ลี่เลย เพราะไม่แน่ใจว่าหลินเซี่ยมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
ทั้งสองไปที่ร้านค้า เฉินเจียเหอหยิบโทรศัพท์สาธารณะและกดหมายเลขของเซี่ยไห่
เซี่ยไห่ตอบกลับ “ยังไม่แน่ใจเลย”
“มีความคืบหน้าอะไรบ้างไหม?” เฉินเจียเหอถาม
“ก็คืบหน้านิดหน่อย”
หลังจากได้ฟังคำตอบของเซี่ยไห่ ดวงตาของเฉินเจียเหอก็สว่างขึ้นเล็กน้อย และพูดด้วยความอยากรู้ “เล่าให้ฟังอย่างละเอียดที”
“ตอนนั้นฉันเจอหัวหน้าที่เคยดูแลกองทหารกองหนึ่ง พวกเขาจำพี่ใหญ่ของฉันได้ แต่บอกว่าเขาตายไปแล้ว”
“แล้วอิงจื่อล่ะ?”
“ฉันลองถามดูแล้ว พวกเขาบอกว่าตอนนั้นในค่ายมีผู้หญิงชื่อกุ้ยอิง ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ใหญ่ หล่อนมักจะมาส่งไวน์ให้เขาบ่อย ๆ ฉันเลยสงสัยว่าหล่อนจะใช่อิงจื่อที่พี่ใหญ่พูดถึงหรือเปล่า
ฉันเจอครอบครัวของกุ้ยอิงเมื่อคืนก่อน แต่ครอบครัวนั้นกลับปฏิเสธที่จะพูดถึงหล่อน และยังห้ามฉันตามสืบต่อด้วย ก็เลยไม่ได้รับข้อมูลอื่นเพิ่มเติมมาสักพักแล้ว”
น้ำเสียงของเซี่ยไห่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดูเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก “ฉันไม่คุ้นเคยกับที่แบบนี้เลย ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนตาบอดที่คลำหาอะไรไม่เจอ
ถ้าฉันรู้ก่อนหน้านี้คงพาคนตามมาที่นี่ด้วย อย่างน้อยก็น่าจะพาหลินจินซานหรือเฉียนต้าเฉิงมา พวกเขาคงพอช่วยฉันได้บ้าง ชีวิตฉันคงถูกกำหนดให้เป็นเจ้าคนนายคน ไม่ถนัดทำงานประเภทสืบข่าวจริง ๆ เมื่อวานฉันเดินทั้งวันจนเท้าพองไปหมด”
เฉินเจียเหอพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เหล่าเซี่ย ฟังฉันนะ คนในยุคนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้มีความสัมพันธ์แบบเปิดเผย ถึงพี่ใหญ่ของนายและอิงจื่อจะเคยคบกัน แต่ฉันเกรงว่าอาจมีคนนอกไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ สมาชิกในครอบครัวของหล่อนอาจไม่รู้เหมือนกันก็ได้ ยิ่งเมื่อเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว นายลองไปถามจากคนอื่นที่เกี่ยวข้องแทนก็ได้ อย่าลืมให้ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นสินน้ำใจพวกเขาด้วยล่ะ ถ้าเขาถามก็บอกว่านายเป็นแค่เพื่อนที่เคยรู้จักเซี่ยเหลย ก็เลยมาที่นี่เพื่อตามรอยวิถีชีวิตของเขา แล้วนายก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก”
แม้คนในชนบทจะมีนิสัยนินทาชาวบ้านและปากตลาดหน่อย ๆ แต่โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะระวังตัวมาก ถ้าจู่ ๆ มีคนแปลกหน้าเข้ามาสอบถาม ก็ใช่ว่าพวกเขาจะยินดีเล่าเสมอไป
ไม่ค่อยมีคนแปลกหน้าที่ไหนเข้าหาเหล่าเพื่อนบ้านและชาวบ้านคนอื่น ๆ เพื่อถามหาคนเท่าไหร่นัก คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นั่นต่างก็เป็นคนพื้นถิ่นมาหลายชั่วอายุคน
ดังนั้นจึงเป็นการยากที่คนแปลกหน้าจะได้ข้อมูลสำคัญ ๆ จากปากพวกเขา
“นายนี่สมกับเป็นเพื่อนฉันจริง ๆ ความคิดนายมักจะเข้าท่าเสมอ ฉันเพิ่งออกมาจากร้านขายของชำแถวนั้น และซื้อของติดมือมาเยอะเลย ตอนนี้ฉันตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมบ้านของอดีตผู้บังคับบัญชากองทหารของเขาหน่อย”
เซี่ยไห่ยืนอยู่ข้างถนนตรงข้ามร้านค้าในเมืองซีเหอ เมื่อมองภาพรวมของเมืองเล็ก ๆ ที่ล้าหลังและไม่คุ้นเคย ก็ให้รู้สึกหดหู่เสียจริง ๆ “เหล่าเฉิน นายว่าต่อให้ฉันจะเจอคนชื่ออิงจื่อจริง ๆ แต่ตอนนี้หล่อนก็คงแต่งงานใหม่หรือมีลูกไปแล้วก็ได้ ทีนี้ฉันจะบอกเรื่องพี่ใหญ่ยังไงล่ะ?
จู่ ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าการตามหาคนมันดูไร้ประโยชน์มาก ฉันคงไม่อาจบอกให้หล่อนเชื่อจนยอมจากบ้านจากสามีและตามฉันกลับมาง่าย ๆ หรอกนะ หล่อนจะยอมรับแฟนเก่าที่ตอนนี้กลายเป็นคนพิการความจำเสื่อมได้ยังไง? สามีใหม่กับลูก ๆ ของหล่อนคงไม่เห็นด้วยแน่ เผลอ ๆ หล่อนอาจไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้สามีคนปัจจุบันรู้ด้วยซ้ำ ถ้าจู่ ๆ ฉันบุกไปเยี่ยม มันจะไม่เป็นการทำลายความสัมพันธ์ของครอบครัวพวกเขาเหรอ?“
ต้องบอกว่าเซี่ยไห่คิดรอบคอบมากทีเดียว
เขาเป็นคนซื่อสัตย์และมีจิตใจดี จะไม่ดื้อรั้นทำลายความสงบสุขของผู้อื่นตามเพื่อเห็นแก่ความปรารถนาของตัวเขาเองอย่างเด็ดขาด
เฉินเจียเหอทำหน้าที่เพื่อนสนิทช่วยเขาแก้ปัญหา “แล้วนายจะไปเล่าให้หล่อนฟังตรง ๆ ทำไมล่ะ? เวลานายถามก็ถามให้มันมีชั้นเชิงหน่อยสิ บอกว่าพี่ชายของนายคิดถึงเพื่อนเก่าที่เคยคบหาในสมัยเป็นทหาร แล้วไม่ต้องพูดเรื่องอื่น ตอนนี้หาใครสักคนให้เจอก่อนเถอะ ถ้าสุดท้ายผู้หญิงที่ชื่ออิงจื่อเป็นม่ายหรือหย่าร้างไปแล้ว เราค่อยก้าวไปทีละก้าว”
เซี่ยไห่ตอบกลับ “อืม ฉันจะไปลุยต่อแล้ว เดี๋ยวค่อยว่ากัน ถ้าเจอเมื่อไหร่ฉันจะจ่ายไม่อั้นเลยเพื่อให้หล่อนยอมกลับมาหาพี่ใหญ่พร้อมฉัน บางทีอาจจะกระตุ้นความทรงจำบางส่วนของเขาให้กลับคืนมาได้”
“รีบไปตามสืบเร็ว ๆ แล้วฉันจะโทรหานายอีกทีตอนบ่าย”
“อืม”
หลังวางสาย ทั้งคู่ก็ออกมาจากร้าน
“เซี่ยไห่เจอครอบครัวของแม่ยายแล้ว”
เฉินเจียเหอพูดกับหลินเซี่ย “ตอนนี้เขากำลังไปที่บ้านของหัวหน้ากองทหาร จากนั้นเขาอาจได้รับข้อมูลอะไรมาบ้าง ไว้ผมจะโทรหาเขาอีกครั้งช่วงบ่าย ถ้าจำเป็น ผมจะบอกเขาตามตรงเกี่ยวกับประสบการณ์ของแม่ยาย แล้วปล่อยให้เขาตัดสินใจ”
หลินเซี่ยเห็นด้วยกับความคิดของเฉินเจียเหอ ”ดีเหมือนกัน มีไม่กี่คนที่รู้ความจริงเกี่ยวกับแม่ฉันที่มาแต่งงานกับพ่อขณะตั้งท้องลูกของแฟนเก่า ยี่สิบปีผ่านมาแล้ว คงไม่มีใครรู้ยกเว้นลุงของฉัน ตอนนั้นพวกเขาถึงขั้นตัดสัมพันธ์กับแม่เพราะเห็นแก่หน้าตาของครอบครัว แน่นอนว่าไม่มีวันบอกเรื่องนี้ให้คนนอกรู้แน่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเซี่ยไห่ที่จะสืบรู้เรื่องของแม่ฉัน
ถ้าเขารู้เรื่องแม่ฉันเมื่อไหร่ คุณลองเล่าประสบการณ์ชีวิตของฉันให้เขาฟังก่อนก็ได้ เขาเป็นคนฉลาด ต้องรู้แน่ว่าต้องทำยังไงต่อไป”
“ได้ ไว้ผมจะบอกเขาอีกทีเมื่อเขารู้ชื่อจริงของแม่ยายแล้ว”
หลินเซี่ยพูดเสริม “ถึงเซี่ยไห่จะยังไม่กลับมา แต่สองวันนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีเพื่อให้แม่ได้มีเวลาแยกแยะและทบทวนการตัดสินใจของตัวเอง”
“ถ้าอย่างนั้นผมกลับโรงงานก่อนนะ” เฉินเจียเหอเดินไปที่ประตูร้านตัดผ มแล้วพูดเบา ๆ “หัวหน้านัดตรวจสอบงานในตอนบ่าย เวลาเลิกงานของผมอาจจะไม่แน่นอน คุณไม่ต้องรอผมก็ได้ วันนี้ถึงเวลาเลิกเรียนเมื่อไหร่ก็ไปรับหู่จือได้เลย”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บางทีเรื่องบางเรื่องมันก็ต้องใช้เวลาล่ะนะ ความรู้สึกของคนใช่ว่าจะจัดการให้เป็นไปตามใจนึกได้ง่ายๆ แต่ก็ขอให้พ่อแม่หลินเซี่ยได้มาเจอกันเร็วๆ ล่ะ
ไหหม่า(海馬)