เนื่องจากมีผู้อ่านน้อยนิยายเรื่องนี้จะถูกดรอป และนี่คือตอนสุดท้าย
ตอนที่ 214 ซากอสุภฟ้า
ลั่วเฉินกระโดดขึ้นจากพื้น ลอยแขวนอยู่เหนือวิหารราวร้อยเมตร
กำปั้นทุบลงตรงๆ เพลิงปรภพแปรสภาพเป็นมหาอสูรล้างโลกา สี่สัตว์เทวะเหยียบย่ำซากอสุภดินย่อยยับ กวาดล้างวิหารจนเกลี้ยงเกลาไปรอบหนึ่ง
เมื่อครู่ที่ลั่วเฉินตกอยู่ในห้วงเป็นตาย ระเบิดพลังสายเลือดอสูรออกมา พริบตาที่คลายผนึกออก ส่งผลให้มันสามารถรับรู้สัมผัสถึงความหมายแห่งเอกดำรง ทะลวงทะลุแผ่นหน้าต่างกระดาษสาที่กางกั้นเป็นปราการในใจออกจนสิ้น
ซ่าซ่า!
ทุกที่ทางที่เพลิงปรภพกวาดผ่าน ล้วนปรากฏมหานรกภูมิจิกกระชากบรรดาซากศพเหล่านั้น บดขยี้จนกลายเป็นผุยผง
เพลิงปรภพไร้แก่นสาร ประดุจดั่งสัญญะบัญชาแห่งจอมปรภพเก้านรกภูมิ ภายใต้พื้นโลกา จอมปรภพคือผู้กุมวัฏฏะสงสาร เป็นราชันแห่งแดนบาดาล และเพลิงโลกันตร์ก็คือหายนะของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
ไม่นาน ศิลาดำวิหารก็ถูกเพลิงโลกันตร์แผดผลาญจนเหลือแต่ดินขาว อสุภะปฐพีกลับคืนสู่สุริยัน เข้าสู๋วัฏฏะสังสารไปสิ้น
ไอพลังม่วงเล็กใหญ่ทั้งหลายกลับคืนรวมตัวกันใหม่ สู่สภาพแห่งไอพลังม่วงแห่งหงเหมิงก่อนจักรวาลโดยสมบูรณ์
แบ่งแยก ตัดขาด ผสาน คืนรูป
หลังจากผ่านสภาวะทั้งสี่ ไอพลังม่วงแห่งหงเหมิงก็คืนสู่ชีวิตชีวา รวมรั้งเข้าสู่ร่างของราชันอสุภสวรรค์ หดควบรวมกันเป็นไข่แดงสีซีดจาง ก่อนยุคก่อนจักรวาล ผานกู่เองก็กำเนิดจากสิ่งนี้ แหวกผ่าไข่ออกมาเปิดจักรวาล
ไอพลังม่วงทุกเส้นสาย ล้วนเป็นเอกไม่มีสอง มรรคาเต๋าเองก็เช่นกัน
ส่วนท้องของราชันอสุภพองบวมขึ้น ราวกับกำลังตังครรภ์สิบเดือน ท้องอันบวมเป่งดันเสื้อที่สวมใส่จนหลุดรุ่ย เส้นเลือด่ใต้ผิวหนังปูดพองจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า
คนทั้งสามเมื่อผ่านหายนะสามพันอสุภะดิน ต้องร่างอ่อนยวบลงกับพื้น นอนเหยียดยาวโดยไม่แยแสใดๆ
ฉินจิ่วเกอกระทั่งหนังตายังคร้านจะแหกเปิดขึ้น คลานสี่ขาหอบหายใจบนพื้น เหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจ
“พี่ฉิน พี่ฉิน” ซงเล่อยังพอมีสติ ผลักไสใส่ฉินจิ่วเกอไม่หยุด
ฉินจิ่วเกอตาครึ่งหลับครึ่งลืม ดวงตาอีกครึ่งเลื่อนลอยราวปลาตาย “อย่าเรียกข้า ขอข้าพักนอนสักเดี๋ยว เจ้าไปทางนู้น”
“ไม่ใช่นะพี่ฉิน รีบดูเร็วเข้า” ซ่งเล่อดวงตาแตกตื่น
“อสุภดินโดนกวาดล้างหมดแล้ว ยังดูอันใด ก็แค่เส้นทางกลับเผยโฉมออกมาอีกครั้งเท่านั้น อีกประเดี๋ยวก็เดินออกไปตามทางก็จบแล้ว” ฉินจิ่วเกอต่อให้ตายก็ไม่ยินยอมเปิดสัมปชัญญะอันแจ่มใสออกมา
ต่อให้ตอนนี้ซ่งเล่อมีไฟลนก้อนกองใหญ่ คุณชายฉินที่เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด ยังไม่คิดลุกมาช่วยเหลือ
อย่างมากก็คงลุกขึ้นมาพ่นลมหายใจใส่สองเฮือก ไม่ว่าจะด้วยเจตนาช่วยดับไฟหรือกระพือไฟให้ลุกฮือก็ช่าง มีความปรารถนาดีก็พอแล้ว
ดังนั้นฉินจิ่วเกอไม่คิดสนใจเรื่องภายนอก นอกจากไฟที่ลนก้นตัวเองแล้ว ล้วนไม่มีอารมณ์มากระโดดลุกขึ้นยืนดูอะไรทั้งสิ้น
ลั่วเฉินหมุนกายมา ส่งกำปั้นทุบใส่กลางหลังฉินจิ่วเกอทีหนึ่ง “ลุกขึ้นเร็ว หนี!”
“หนี?” ฉินจิ่วเกอแหกขี้ตาขึ้นมาอย่างลำบากยากเย็น พบว่าลั่วเฉินและซ่งเล่อที่จริงยืนขึ้นแล้ว สองคนยามนี้อยู่บนทางเดินถลาแล่นหนีห่างจากวิหาร ฉินจิ่วเกอค่อยๆ หันไปมองด้านหน้า พบว่าโลงศพสีม่วงทองกำลังขยับเขยื้อนไหว ราชันอสุภะที่อยู่ภายในกำลังจะคืนชีพ!
ราชันอสุภะพุงป่องท้องโต ยามมีชีวิตสมควรมีฉายาว่าราชันพุงป่อง
มีคำกล่าวว่าท้องของผู้ยิ่งใหญ่ควรกว้างไกลจนแล่นเรือได้ ดูท่าราชันอสุภะนี้คงเป็นทั้งมหาอำมาตย์และมหาราชครูใหญ่ พุงของมันใหญ่จนใส่คนเข้าไปทั้งตัวได้
ราชันอสุภะในโลงศพกระโจนออกมาแล้ว มันต่างจากซากอสุภะดินที่เพียงเป็นซากสังขารของผู้ต่ำกว่ากลั่นดวงธาตุ
แต่อสุภฟ้า คือกลั่นดวงธาตุสูงสุดที่ละสังขาร เป็นร่างอมตะทองคำที่รับเอาไอปฐพีสัมผัสคงรูปลักษณ์ไว้
เพียงด้านพลังป้องกัน ไม่ว่าใช้วิถีทางใดล้วนไม่อาจทลายความแข็งแกร่งของร่างอมตะทองคำได้ ยิ่งเมื่อเป็นเก้าดวงธาตุสูงสุดที่ละสังขาร พลังการต่อสู้หลังสิ้นลม หลงเหลือที่สามดวงธาตุ
อย่าได้พูดถึงการต่อยตี หากมิใช่พุงของราชันอสุภฟ้าป่องพองออก การเคลื่อนไหวจึงจำกัด ข้อเสียหนึ่งเดียวคือไม่มีชีวิต
ฉินจิ่วเกอเบิกตาโปนโต หมุนกายด้วยความหวาดหวั่น พร้อมกันนั้นรู้สึกว่าตนเองไร้ความเหน็ดเหนื่อยโดยสิ้นเชิง “นี่นี่ ไร้น้ำใจจริงๆ ทิ้งข้าไว้ไม่เหลียวแล!”
ดินน้ำเช่นไรเลี้ยงคนมาเช่นนั้น ฉินจิ่วเกอในใจรำพันทุกข์ ตกระกำลำบากเหลือแสนแล้ว
ลั่วเฉินหันหัวมา เรียวคิ้วดำเข้มมุ่นขมวด “เจ้าไม่ใช่ว่าไม่อยากลุกเดินหรอกหรือ งั้นก็รออยู่นั่นแหละ คอยเป็นอาหารราชันอสุภซะ ไม่แน่นะ ราชันอสุภแรกกำเนิด เห็นเจ้าอาจจะคิดว่าเป็นบิดามันก็ได้”
ฉินจิ่วเกอคล่นเหียนเวียนเฮดกะทันหัน สับฝีเท้าวิ่งหนีสุดชีวิต ทางด้านหลังคือร่างอสุภะฟ้าที่ไล่ติดตามมาติดๆ การเคลื่อนไหวของมันคล่องแคล่วต่างจากอสุภะปฐพี ราวกับเป็นคนมีชีวิต บนใบหน้าไร้ซึ่งร่องรอยสีสันของการเสื่อมโทรมเน่าเปื่อยใดๆ
“พี่น้องที่ดี พวกเราหนีไปพร้อมกัน ข้ามาแล้ว!” ฉินจิ่วเกองัดบรรทัดตารางนิ้วออกมา พุ่งเข้าหาลั่วเฉินและซ่งเล่อ หัวซุกหัวซุนไปตามทางเดินถลาออกจากวิหาร
มันรักชีวิต รักศิลาวิญญาณ รักการฝึกตน ยิ่งรักตนเอง
ซ่งเล่อเป็นม้าแรกประจำตำแหน่งหน้าสุด ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลจากฉินจิ่วเกอมาไม่น้อย
ท่ามกลางนรกภูมิ หากมิใช่กลั่นดวงธาตุสูงสุดล้วนไม่อาจบินได้นาน สามคนสับฝีเท้าลงบนพื้นดิน วิ่งไม่คิดชีวิต
ลั่วเฉินทางข้างหลัง ห่างจากซ่งเล่อระยะหนึ่ง
สองแขนของมันกวัดหน้าแกว่งหลัง เท้าสะกิดพื้น สองขาขับเคลื่อนว่างเปล่า เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นนักวิ่ง วิ่งอย่างมั่นคงหนักแน่น
ที่รั้งท้ายสุดคือฉินจิ่วเกอและราชันอสุภะที่เคียงบ่าเคียงไหล่ ระยะห่างกันแค่คืบ
ลิ้นยาวสีแดงของอสุภะสวรรค์ บนศีรษะต้องลุกชี้ชันดั่งหนามใกล้ถูกเลีย ฉินจิ่วเกอร่ำร้องไม่เป็นภาษามนุษย์ แขนขายิ่งแกว่งฝ่าอากาศอย่างเร็วรี่ หลังเหยียดตรงแน่ว
ประตูใหญ่วิหาร ระหว่างประตู ทั้งหมดยาวร้อยเมตร
ซ่งเล่อคือคนแรกที่วิ่งไปถึงปากทางออก มันหยุดชะงักชั่วขณะ รอจนลั่วเฉินมาถึง สองคนก็กระโจนไปพร้อมกัน
ส่วนฉินจิ่วเกอยามนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความแตกตื่นลนลาน ลิ้นห้อยยาวกวัดแกว่งแทบปะจมูก ยังไม่ลืมวิ่งไปถอดรองเท้าไป
“ระวังอาวุธลับ!” ฉินจิ่วเกอกล่าวจบคำ รองเท้าข้างหนึ่งก็พุ่งออกไป แปะลงบนใบหน้าของอสุภะฟ้าเต็มรัก
ราชันอสุภะไร้ความรู้สึกเจ็บปวด ลูกไม้ชั้นต่ำเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นอย่างไรได้สำหรับชนชั้นกลั่นดวงธาตุ ฉินจิ่วเกอถึงขนาดเสียสละรองเท้าหุ้มส้นหนังแรดของตนเองออกไปแล้ว ราชันอสุภะก็ยังไม่ยอมถอย กลับเป็นยิ่งมายิ่งเข้าใกล้
ด้วยความสิ้นหวังเต็มกำลัง ฉินจิ่วเกอยกบรรทัดตารางนิ้ว ฟาดลงบนขม่อมของราชันอสุภะเต็มแรง
จากนั้นหยิบยืมแรกกระแทกจากการโจมตีหน้าผากอีกฝ่ายลอยละลิ่วปลิวร่างออกไปไกล สุดท้ายพาร่างมาถึงปากทางเข้าตำหนัก
ราชันอสุภะท้องบวมโตส่งเสียงร้องราวสัตว์อสูรบาดเจ็บ ประดุจดั่งพยัคฆ์คำรนวิหคคำราม เมื่อมาถึงประตูใหญ่ มันแทรกร่างเข้าไป สองมือไขว่คว้าหาฉินจิ่วเกอ ต้องการจับตัวมันมาให้สาสม
ฉินจิ่วเกอหลุดออกจากวิหารพร้อมความแตกตื่น จิตใจยังไม่อาจสงบลง
วิหารบ้าบออะไร สถานที่นี้เปี่ยมอาถรรพ์ดุดันกว่าวังบาดาลของจอมมัจจุราชอีก แค่หยั่งเท้าเข้าไป หากเป็นคนดวงกุดล้วนไม่อาจกลับออกมาได้
อีกด้านหนึ่ง ลั่วเฉินและซ่งเล่อออกจากวิหารมาแล้ว วิ่งเตลิดออกไปทางด้านหลัง ในความมืดมองไปเห็นเทวาลัยทั้งสามแห่งอันเงียบสงัด
นี่มันเทวาลัย! เทวาลัยที่ในยุคไท่หวง ใช้ในการบูชา
ราชันอสุภะใช้กำลังทั้งมวล น้ำมันศพพอกหนาชั้นแล้วชั้นเล่าถูกรีดเค้นออกจากร่าง กระโจนออกจากประตูวิหารสู่ลานจัตุรัสภายนอกเช่นกัน
ฉินจิ่วเกอเห็นดังนั้น ก็ไม่เสียเวลามากความ หันหัวเผ่นแนบอีกครั้ง ได้ยินเสียงศิษย์น้องรองตะโกน “ข้างหน้ามีเทวาลัย เข้าไปหลบด้านในก่อน”
อสุภะดิน พวกมันทั้งสามยังนับว่าสามารถตอแยได้ แต่หากตอแยอสุภะสวรรค์ที่ก่อนตายเป็นถึงกลั่นดวงธาตุขั้นสูงสุด ตัวแทนของขุมพลังอำนาจในอีกขอบเขตช่วงชั้น มิใช่สิ่งที่พวกมันสามในตอนนี้สามารถรับมือได้โดยเด็ดขาด
“มีสามห้อง พวกเราแยกย้ายเลือกกันคนละห้อง จะได้ไม่โดนหว่านแหไปทั้งหมด” ซ่งเล่อประเมินสถานการณ์ ตะโกนร้องบอกออกมา
เทวาลัยสามห้อง ตั้งอยู่ใต้พื้นโลกมานานไม่รู้กี่ล้านปี ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นผงใยแมงมุมเกลื่อน
เทวาลัยเหมือนถูกจงใจสาดเมล็ดพันธุ์บางอย่างออกโดยจำเพาะเจาะจง ชายคาเทวาลัยสะท้อนพลังแห่งชีวิตสีเขียวที่ไม่สมควรมีอยู่บนแผ่นดินบาดาลนี้
ราชันอสุภะกรีดกรายเล็บอสุภะของมันมาแต่ไกลตา ยามนี้เหมือนใบหน้าสวมไว้ด้วยหน้ากาก กลายเป็นหน้าศพตายซากไปแล้ว สัตว์ประหลาดเหล่านี้ ไม่เหมือนศพที่คืนสู่ชีวิต มันสามารถสวมใบหน้ามนุษย์ดูดกลืนพลังหยางของผู้นั้น
มีคำว่าไว้ ปีศาจคนตายสามารถฆ่ามังกร เคยมีชนชั้นสุญญตาเคยพบเห็นด้วยตาตนเอง ซากปีศาจที่กลืนกินมังกรทั้งเป็นลงไปทั้งตัว
สามเทวาลัย แต่ละหลังมีความแตกต่าง ห้องที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ตรงกลาง สองข้างซ้ายขวา แยกออกเป็นสูงสุดและเตี้ยสุด ไม่สมมาตรกันอย่างแรง
การตัดขัดแย้งอย่างรุนแรงเช่นนี้ ยิ่งขับเน้นบรรยากาศอันประหลาดไม่น่าไว้วางใจของสถานที่นี้
ซ่งเล่อวิ่งนำหน้า กระโจนเข้าหลบในห้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ลั่วเฉินเองก็ไม่คิดมาก เห็นฉินจิ่วเกอทางด้านหลังแหกปากราวพยัคฆ์มังกร คนกระโจนเข้าใส่เทวาลัยที่สูงที่สุด
เท่ากับว่า ที่หลงเหลือแก่ศิษย์พี่ใหญ่ไว้หลบซากอสุภสวรรค์ ก็คือเทวาลัยหลังเตี้ยสุด
เทวาลัยมีสี่มุมสุมซ้อนขึ้นสูง ชั้นแล้วชั้นเล่า อิฐที่ก่อไว้สามารถแบ่งออกเป็นสามชั้นใหญ่ๆ ได้
แผ่นกระเบื้องสีดำสนิทโปร่งใสวิบวับ ราวกับเกล็ดมังกรนิทรา อิฐที่เลื่อมลายก่อสร้างสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ นี้ ไม่ต่างจากศิลาสวรรค์ในทะเลเท่านั้น
ฉินจิ่วเกอขาสะดุด ม้วนกลิ้งลงกับพื้น คางกระแทกเข้าใส่แผ่นหินจนต้องหลับตาปี๋ด้วยความเจ็บปวด ราชันอสุภะยามนี้ไล่ตามมาแทบชนหน้า หากกลับมิได้อ้าปากกัด เพียงแต่ยื่นหน้าออกมาดูดซับไอหยาง
“บัดซบ!” ฉินจิ่วเกอหวาดหวั่นขวัญผวา ปิดปากและจมูก พลิกฝ่ามือสำแดงหมื่นมารทมิฬออกมา นิ้วกลางกลายเป็นนิ้วเพชร จี้จรดลงบนหน้าผากของซากอสุภะ ไอมรณะแห่งวิชาปีศาจไหลหลั่งเข้าไปภายใน กลับมิได้สร้างอุปสรรคใดต่อซากอสุภะ
ปง!
พลังวิญญาณในร่างของฉินจิ่วเกอไหลย้อนทวน แทนที่จะเหนี่ยวรั้งซากศพไว้ กลับเป็นตัวมันเองที่พลังวิญญาณเหือดหายไปกว่าครึ่ง ดังนั้นมันรีบสลายเคล็ดหมื่นมารทมิฬ ซากอสุภะสวรรค์นี้แปลกพิสดารจนเกินไป ขนาดมรรคาเลี้ยวลดของวิชามารยังไม่อาจใช้ได้
ฉินจิ่วเกอม้วนกลิ้งบนพื้นเร็วรี่ เก็บรวบเสื้อผ้า พุ่งผ่านเข้าหลบในเทวาลัยขนาดเล็กที่สุดนั่น
ขนาดเท่าๆ กับศาลเจ้าที่ทั่วไป สูงไม่ถึงสองจั้งด้วยซ้ำ
ทันทีที่เข้าสู่ภายใน จมูกอาบเลือดของฉินจิ่วเกอก็สัมผัสถึงอากาศเย็นเยียบ ภายในราวกับสุมซ้อนด้วยกองน้ำแข็ง ในอากาศอวลกลิ่นอับ ภายในดำมืดยะเยือก ไม่อาจมองสิ่งใดชัดตา ได้แต่ใช้สัมผัสเทวะกวาดออกโดยรอบ
ส่วนท้องของราชันอสุภะบวมพองราวกับคนท้องสิบเดือน ฉินจิ่วเกอเมื่อหลบไปในเทวาลัยขนาดเล็กสุด ซากอสุภะก็มิได้ไล่ล่าตามติด กลับเดินไปหาเทวาลัยขนาดใหญ่สุดด้วยรูขุมขนโชกอาบไปด้วยน้ำมันศพหยดแหมะ
เทวาลัยตรงกลางที่ใหญ่ที่สุดนั้น ก็คือสถานที่ที่ซ่งเล่อเข้าไปหลบ ข้างในลึกล้ำไร้สิ่งของ ขนาดใหญ่พอให้ผู้คนนับร้อยเข้าไปนั่งขัดสมาธิ
ภายในนั้น ห้อยแขวนไว้ด้วยผ้าม่านที่ไม่ทราบอยู่มานานเท่าใดแล้ว แปรสภาพเป็นฝุ่นผงหมดสิ้น
ตลอดทั้งเทวาลัยทอประกายหลากสี สะกดสีดำและฟ้าหม่นไว้ จากนั้นบังเกิดประกายแสงสีแดงโลหิตบาดจิต ราวกับถูกแต้มด้วยเลือดมนุษย์ ทั้งยังอุ่นระอุอยู่
ซ่งเล่อเมื่อเข้ามาหลบภายในได้ก็ไม่คิดอะไร ภายในนอกจากศิลาแกะสลักที่ไม่ทราบเป็นเทพเซียนท่านใด ก็ไม่มีอันใดอื่นอีก
อสุภะสวรรค์ก้าวเข้าไปในเทวาลัยใหญ่สุด ซ่งเล่อยืนตะลึงอยู่ภายใน จมูกอวลกลิ่นเหม็นเน่าโชยมา รู้ได้ทันทีว่าอสุภะสวรรค์ในโลงม่วงทองนั้นไล่ตามมาถึง
ทั้งสี่ทิศไร้สถานที่ให้หลบซ่อน ซ่งเล่อได้แต่ต้องทะยานขึ้นฟ้า ใช้เวลาชั่วพริบตาเข้าแอบหลังรูปปั้นเทพตนหนึ่ง
ตอนต่อไป →