บทที่ 224 แต่งหน้า

บทที่ 224 แต่งหน้า

อู๋ฝานและคณะใช้เวลาทั้งวันไปกับการเดินวนบริเวณป่ารอบนอกเพื่อมองหามอนสเตอร์และสังหารโดยที่พวกเขายังไม่ได้เดินลึกเข้าไปแต่อย่างใด

ในวันนี้ แรกเริ่มทุกคนต่างรู้สึกหวาดหวั่นและเกรงกลัวการเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ เพียงแต่ขณะนี้เริ่มคุ้นชินขึ้นมากแล้ว อาการหวาดกลัวมอนสเตอร์จึงไม่มีอีกต่อไป พวกเขาใช้งานวิชายอดดาบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของทุกคน พวกอู๋ฝานจึงสังหารมอนสเตอร์ไปได้เกือบสองร้อยตัวภายในวันเดียว แน่นอนว่าความตายของมอนสเตอร์ทั้งหมดเป็นฝีมือของอู๋ฝาน นอกจากนี้ เขายังได้รับวัตถุดิบและอุปกรณ์มาส่วนหนึ่งอีกด้วย เพียงแต่อุปกรณ์เหล่านั้นขาวสะอาดจนชายหนุ่มไม่คิดเก็บมันมามอง

แน่นอนว่าผลตอบแทนที่สูงที่สุดของวันนี้ย่อมเป็นตำราทักษะ ค่อนข้างน่าเสียดายที่แม้สังหารมอนสเตอร์ไปอีกมากมาย แต่อู๋ฝานกลับไม่ได้รับตำราทักษะเพิ่มอีกเลย

“วันนี้พอเท่านี้ก่อน พวกเรากลับหมู่บ้านไปพักได้” อู๋ฝานบอกกับทุกคน เพราะพวกเขายังไม่เข้าสู่ป่าลึก ทำให้กลับหมู่บ้านได้ในเวลาอันสั้น

“ลั่วหยาง ไปที่ร้านขายของชำ เช่ารถลากมาคันหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะนำของที่ได้จากพวกมอนสเตอร์วันนี้ส่งไปยังเทศมณฑลเพื่อจัดการต่อไป” ชายหนุ่มบอกลั่วหยาง

หลังจัดการเรื่องราวที่นี่เรียบร้อย อู๋ฝานจึงกลับสู่โลกความเป็นจริง

ที่โลกความเป็นจริง ฟ้ากำลังใกล้สว่าง หลังจากอาบน้ำล้างหน้าเรียบร้อย เขาก็ตรงไปยังสนามกีฬาของมหาวิทยาลัยเจียงโจวทันที

เมื่อถึงบริเวณสนามกีฬา ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าวันนี้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ถึงกับแต่งหน้ามา แม้ว่าจะเป็นการแต่งหน้าบาง ๆ แต่มันก็ขับเน้นให้ใบหน้าของเธอดูเลอค่า การแต่งหน้าทำให้ความงามที่มีมากอยู่แล้วเปล่งประกายออกมาเด่นชัด เธอแทบจะเปรียบได้กับภาพที่ไม่มีอยู่จริงบนโลก เป็นความงามอันสูงส่งราวกับเทพเซียนที่หล่นลงมาสู่เมืองมนุษย์ก็ไม่ปาน

หากว่าเหล่านักศึกษาในสนามกีฬาเผลอมองหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ วันนี้พวกเขาอาจจะไม่สามารถควบคุมสายตาตนเองได้อีกต่อไป เพราะสายตาของพวกเขาคงโดนความงามของนักศึกษาหญิงสะกดไว้จนละไปที่อื่นไม่ได้ แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบมองเธออยู่หลายครั้งเพื่อเป็นประจักษ์พยานให้กับความงดงามในวันนี้

สำหรับอู๋ฝานเขาไม่ได้ประหลาดใจนัก แต่ก็อดทึ่งไม่ได้

“เป็นอะไรคะ?” เมื่อสบเข้ากับสายตาของอู๋ฝาน หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ลูบผมบริเวณหน้าผากราวกับไม่สบายใจสักเท่าไหร่

“วันนี้คุณสวยมากครับ” อู๋ฝานกล่าวขณะยังมึนงง

“จริงเหรอคะ?” แม้น้ำเสียงของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จะยังเย็นชา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะแฝงไปด้วยร่องรอยของความพึงพอใจ

“ครับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับหนักแน่น “ไม่ทราบเลยว่าวันนี้จะต้องมีคู่รักกี่คนที่ต้องทะเลาะกันเพราะเอาแต่หันมองคุณ”

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์กวาดสายตามองรอบด้าน สุดท้ายจึงเอ่ยเสียงราบเรียบ “ไม่เกี่ยวกับฉันค่ะ”

โดยพื้นฐานแล้ว คนแบบหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ย่อมไม่คิดใส่ใจเรื่องการตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน

“แล้วพวกเราจะไปกันตอนไหนคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างลื่นไหล

“อะไรนะครับ?” ชั่วขณะหนึ่ง อู๋ฝานถึงกับไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ย่นคิ้วเล็กน้อยราวกับไม่พอใจต่อปฏิกิริยาตอบสนองของชายหนุ่ม

ทันใดนั้น อู๋ฝานพลันนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานตนเองรับปากหญิงสาวเอาไว้ว่าจะไปช็อปปิ้งกับเธอวันนี้ เขาจึงรีบตอบกลับทันที “วันนี้ผมมีคาบเรียนต้องเข้าสอน พวกเราค่อยไปหลังจบคาบพละนะครับ”

“ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ สีหน้ากลับมาเย็นเยือกดังเช่นก่อนหน้า หากอู๋ฝานสังเกตให้ดี เขาจะพบว่ามีร่องรอยความคาดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ

โชคร้ายที่เขาไม่ได้เห็นมัน

ตอนที่ชายหนุ่มมาถึงออฟฟิศ เขาก็พบว่าซุนเยวี่ยมาถึงก่อนแล้ว พอเห็นอู๋ฝานเดินเข้ามา อีกฝ่ายจึงเข้าไปทักทายอย่างอบอุ่น

“อาจารย์อู๋ ได้ยินหรือยังครับ? เหมือนว่าอาจารย์หลี่จะป่วย ตอนนี้เลยลาป่วยอยู่ น่าจะป่วยหนักเสียด้วย ลาไปพักรักษาหลายวันเลยทีเดียว” อาจารย์ซุนเยวี่ยบอกกับอู๋ฝาน

“เพิ่งทราบเลยครับ” คนถูกถามส่ายศีรษะพลางตอบรับ “เขาบอกว่าเขาออกกำลังกายทุกวันจนร่างกายแข็งแรงไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมตอนนี้มาป่วยหนักเสียได้?”

แท้จริงแล้ว อู๋ฝานทราบดีว่าเหตุใดหลี่ปิงถึงลาป่วย อีกฝ่ายป่วยที่ไหนกัน เป็นเพราะโดนเขาเล่นงานจนน่วมต่างหาก โดยคร่าว ๆ อาจารย์หลี่น่าจะต้องนอนอยู่โรงพยาบาลถึงครึ่งเดือนนั่นแหละ ไม่ลาป่วยสิถึงจะแปลก

“เรื่องนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจารย์หวังเลยแนะนำว่าหลังจากเสร็จงานแล้ว พวกเราควรจะไปเยี่ยมอาจารย์หลี่ด้วยกัน คุณจะไปด้วยไหม?” อาจารย์ซุนเยวี่ยเอ่ยถาม

“ผม? คงไปไม่ได้ครับ ถ้าไป กลัวว่าเขาจะยิ่งป่วยหนักมากขึ้น” อู๋ฝานตอบ

หลี่ปิงได้รับบาดเจ็บก็เพราะเขา หากเขายังไปเยี่ยมให้อีกฝ่ายเห็นหน้า หลี่ปิงคงคิดว่าเขามาเพื่อเย้ยหยัน สุดท้ายอาจกระอักเลือดจากภายในเพราะความโกรธจนอาการบาดเจ็บอาจยิ่งรุนแรงมากขึ้น

อาจารย์ซุนเยวี่ยไม่ได้ทราบสถานการณ์เหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยเข้าใจคำตอบของอู๋ฝานสักเท่าใดนัก

หลังจากอาจารย์คนอื่นมากันแล้ว หวังฝูก็เอ่ยปากเรื่องไปเยี่ยมหลี่ปิงพร้อมหน้ากันอีกครั้ง แน่นอนว่าหลี่เทียนเห็นพ้องโดยไม่ลังเล ส่วนทางด้านอาจารย์ซุนเยวี่ยที่ถือเป็นคนดีประจำออฟฟิศก็ไม่คิดคัดค้าน เป็นเหตุให้เขาตัดสินใจร่วมทางไปเยี่ยมหลี่ปิงด้วย

“พวกคุณไปกันนะคะ ฉันไม่ไปค่ะ” เกิ่งหย่าเฟยตอบทันที

หลี่เทียนรู้สึกอับอายอยู่ชั่วครู่ เขาทราบดีว่าหลี่ปิงอยากเจอเธอเป็นที่สุด นั่นเป็นเหตุให้เขาตั้งใจพาทุกคนไปเยี่ยมหลี่ปิงกันพร้อมหน้าเพื่อเป็นการบังคับทางอ้อมให้เกิ่งหย่าเฟยไปด้วย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คืออีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการไป นี่มันผิดไปจากที่หลี่เทียนคาดการณ์

อย่างไรก็ตาม หลี่เทียนไม่กล้าออกหน้าบังคับเธอ เพราะอย่างไรเสีย สถานะของเขาก็ไม่อาจเทียบกับเกิ่งหย่าเฟยได้

ส่วนทางด้านอู๋ฝาน หลี่เทียนไม่มีเจตนาเชิญชวนไปด้วยอยู่แล้ว แม้จะไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของหลี่ปิงเกี่ยวข้องกับอู๋ฝานหรือไม่ แต่เขาทราบดีว่าหลี่ปิงไม่อยากเจออีกฝ่ายอย่างแน่นอน ดังนั้นการนำอู๋ฝานไปด้วยจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง

“อาจารย์อู๋ คุณไปจ้างเชฟที่ร้านอาหารมาจากที่ไหนกันคะ? ฝีมือทำอาหารชวนประทับใจมากค่ะ” เกิ่งหย่าเฟยเมินหลี่เทียนที่กำลังอับอายและเลือกที่จะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนากับอู๋ฝานแทน

น้อยคนนักที่จะทราบว่าเมื่อวานนี้อู๋ฝานเป็นคนทำอาหารทั้งหมดด้วยตนเอง

“เชฟจากคัลเลอร์แมนครับ” ชายหนุ่มยิ้มบาง “หลิวอี้เตา ก่อนหน้านี้เขาเคยทำบาร์บีคิวขายอยู่กับผม ตอนนี้เป็นเชฟใหญ่ของร้านอาหารผมครับ”

อู๋ฝานไม่ได้บอกความจริง อย่างไรเสียในภายหน้า หลิวอี้เตาก็ต้องเป็นเชฟหลักดูแลร้านอาหารโลกในแหวน ดังนั้นในส่วนนี้จึงไม่ถือว่าเขาโกหก

“เขานี่เอง” เกิ่งหย่าเฟยตอบรับ ก่อนหน้านี้ตอนที่อู๋ฝานและหลิวอี้เตาแข่งขันกัน เธอเองก็อยู่ด้วย อีกทั้งเธอยังไปกินอาหารที่คัลเลอร์แมนอยู่บ่อยครั้ง ไม่แปลกหากจะรู้จักหลิวอี้เตาและทราบเรื่องฝีมือการทำอาหารของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

“ทำไมฉันรู้สึกเหมือนฝีมือเชฟหลิวก้าวหน้าขึ้นมากกันนะ” เกิ่งหย่าเฟยพึมพำ

ก่อนหน้านี้เธอเคยไปคัลเลอร์แมนอยู่บ่อยครั้ง เกิ่งหย่าเฟยทราบระดับฝีมือของหลิวอี้เตาดี เห็นได้ชัดว่ารสชาติอาหารที่เธอได้กินจากร้านอาหารโลกในแหวนเมื่อวานอร่อยกว่าฝีมือของหลิวอี้เตาเมื่อก่อนอย่างไม่อาจเทียบได้

“นั่นแปลว่าผมสอนเขาได้ดีไงครับ” ชายหนุ่มหัวเราะ “ผมเป็นอาจารย์ของเขาเอง”

“อาจารย์?” เกิ่งหย่าเฟยไม่ทราบเรื่องก่อนหน้า เธอไม่รู้ว่าหลิวอี้เตานับถืออู๋ฝานเป็นอาจารย์สอนทำอาหาร

อู๋ฝานก็เพิ่งบอกให้เธอทราบตอนนี้

“เป็นแบบนี้นี่เอง” เกิ่งหย่าเฟยตอบรับ “อาจารย์อู๋ เห็นแก่ที่พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน คุณช่วยมอบบัตรสมาชิกทางร้านให้ฉันสักใบได้ไหมคะ แล้วฉันจะแวะเวียนไปอุดหนุนบ่อย ๆ แน่นอนค่ะ”

“แน่นอนครับ” อู๋ฝานตอบรับ “ครั้งถัดไปที่ไปร้าน คุณเอ่ยชื่อผมแล้วบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่มหาวิทยาลัย เดี๋ยวมีคนช่วยจัดการต่อให้เองครับ”