ภาคที่ 5 ตอนที่ 26 ใจกล้าล้วนมีหัวใจ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เทียบกับความรกร้างฤดูหนาวของแดนเหนือ ที่เมืองหลวงสิ่งที่เข้าสู่สายตายังคงเขียวชอุ่ม แต่สายลมหวีดหวิดที่พัดลอดประตูหน้าต่างโถมเข้ามาในตำหนักด้านในพระราชวังก็พาความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกมาเช่นกัน

สีพระพักตร์ฮ่องเต้ก็เย็นเยียบยิ่งเช่นกัน

“ตัวไร้ประโยชน์จริงๆ นานปานนี้กระทั่งคนผู้หนึ่งก็หาไม่พบ” พระองค์ฟาดฎีกาลงบนโต๊ะแล้วตวาด “ข้าไม่เชื่อว่าเฉิงกั๋วกงยังจะติดปีกบินหนีได้!”

“เฉิงกั๋วกงสั่งสมมาสิบกว่าปี คบหาคนกว้างขว้าง ไม่รู้คนเท่าไรช่วยเขาปกปิด” หวงเฉิงค้อมกายเอ่ย

คำนี้ของเขาย่อมไม่ใช่เพื่อบอกปัด แต่เพื่อสุมไฟให้ฮ่องเต้อีกกอง

เป็นอย่างที่คิด ฮ่องเต้พิโรธหนัก

“ใต้หล้านี่แซ่จูแล้วรึ?” พระองค์ตวาด สายตามองไปทางลู่อวิ๋นฉี “ลู่อว๋นฉี เจ้าว่าเฉิงกั๋วกงเวลานี้อยู่ที่ใด?”

“ครั้งสุดท้ายสืบไปได้ถึงปรากฏตัวที่ด่านหม่าเลวี่ย ทิศทางน่าจะมุ่งไปเป่าโจว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

“สืบพบทำไมจับไม่ได้?” ฮ่องเต้ตรัส

ลู่อวิ๋นฉีค้อมกาย

“เพรากระหม่อมเป็นตัวไร้ประโยชน์” เขาเอ่ย

คิดไม่ถึงลู่อวิ๋นฉีจะตอบเช่นนี้ มีขุนนางใหญ่หวิดกลั้นไม่อยู่หัวเราะออกมา โชคดีกลั้นไว้ทันเวลา

ฮ่องเต้ปาฎีกาลงพื้นดังป้าบ

“ได้ยินไหม เฉิงกั๋วกงมุ่งไปแดนเหนือแล้ว บอกชิงเหอปั๋ว ข้าต้องการดูว่าเขาเป็นตัวไร้ประโยชน์คนหนึ่งหรือไม่” พระองค์ตรัสเสียงเย็นชา

หวงเฉิงค้อมกายขานรับ

“เฉิงกั๋วกงถึงกับมุ่งไปแดนเหนือ นั่นไยไม่ใช่เอาตนเองไปติดกับ?” ขุนนางทั้งหลายออกจากที่ประชุมก็อดไม่ได้เอ่ยเสียงเบา

หวงเฉิงแค่นเสียงเหอะแล้ว

“เขาย่อมต้องไปแดนเหนือ” เขาเอ่ย “ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาล้วนอยู่ที่แดนเหนือ สถานที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ปลอดภัยที่สุดเช่นกัน”

ขุนนางทั้งหลายที่ติดตามพยักหน้า

“บอกชิงเหอปั๋ว ฝ่าบาทบัญชาให้เขาดำเนินการตามสบาย” หวงเฉิงเอ่ย “เขาอย่าได้ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง”

พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักอีกครั้ง

“แล้วก็อย่าทำให้ตัวเขาเองผิดหวังอีก”

ขุนนางทั้งหลายขานรับ สีหน้ายากปิดบังความยินดี

แม้ยังจับเฉิงกั๋วกงไม่ได้ แต่เฉิงกั๋วกงวันนี้ก็ไม่แตกต่างอันใดกับตายไปแล้ว อำนาจทางทหารไม่มีแล้ว ที่ตัวแบกโทษ ชื่อเสียงหมดสิ้นแล้ว ต่อให้มีคนไม่น้อยช่วยเหลือในที่ลับ แต่ก็ได้แต่กระทำการในที่ลับ ไม่กล้าโผล่ศีรษะโผล่หน้าอย่างสง่าผ่าเผยอีกต่อไปแล้ว

เฉิงกั๋วกงหลังจากนี้ไปจะกลายเป็นประหนึ่งหนูไม่อาจพบแสงตะวันได้อีกต่อไป

สำหรับวีรบุรุษคนหนึ่งแล้ว จากยอดเมฆร่วงหล่นมาถึงบึงโคลน นี่ทรมานยิ่งกว่าตายอย่างแท้จริง

เสียงพูดคุยแผ่วเบาและเสียงหัวเราะเยาะหลายเสียงที่ดังขึ้นมาเป็นระยะของขุนนางทั้งหลายเหล่านี้ด้านหน้า ลู่อวิ๋นฉีที่เดินอยู่ด้านหลังไม่สนใจ นอกจากนี้ยังหยุดเท้า

เขาหันกลับไป มองหนิงอวิ๋นเจาที่ตามอยู่ด้านหลัง

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มก้าวเข้ามา

“ใต้เท้าลู่กลับกรมหรือกลับบ้านเล่า” เขาเอ่ยขึ้น เหมือนไม่ได้ตามลู่อวิ๋นฉีมาตลอด แต่บังเอิญพบเข้าจึงทักทายอย่างสบายๆ

หนิงอวิ๋นเจาไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ในราชสำนัก ยามเผชิญหน้ากับลู่อวิ๋นฉี ปฏิกิริยาของคนในราชสำนักไม่เหยียดหยามอย่างพระญาติเชื้อพระวงศ์ลูกหลานผู้มียศศักดิ์สูงประเภทนั้นเช่นจูจั้น ก็ดูแคลนอย่างขุนนางพลเรือนยอดบัณฑิตพวกนี้เช่นหนิงเหยียน ไม่ว่าหวาดกลัวหรือดูแคลน ทุกคนล้วนอยู่ห่างจากเขา

แน่นอนก็มีคนประจบเข้าใกล้เช่นกัน แต่ไม่มีใครคุยสัพเพเหระสบายๆ เช่นนี้อย่างหนิงอวิ๋นเจาได้

ลู่อวิ๋นฉีไม่สนใจเขาหันศีรษะก้าวเดินต่อ

“ท่านเดาว่าตอนนี้พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่?” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย มองรอบด้านทีหนึ่ง

รอบด้านสายตาไม่น้อยบ้างโจ่งแจ้งบ้างแอบๆ มองพวกเขาอยู่ เต็มไปด้วยการคาดเดา

ลู่อวิ๋นฉีย่อมไม่สนใจเขา หนิงอวิ๋นเจาก็ไม่รอคำตอบของเขาเช่นกัน

“แน่นอนพวกเขาต้องคิดว่าข้าใจกล้าเอาการ” เขาเอ่ย แล้วก็คล้ายคิดถึงเรื่องน่าขันอะไรได้ “ข้าใจกล้าเอาการนะ ใต้เท้าลู่ทราบไหม? ตอนนั้นข้าบุกเข้าไปในตระกูลฟางตอนเที่ยงคืนพบปะยามราตรีกับคุณหนูจวิน”

ลู่อวิ๋นฉีหยุดก้าวเท้า

“วันที่สามเดือนสามหอจิ้นอวิ๋น หลังจากน้องสาวเจ้ากับคุณหนูตระกูลหลินสมคบกันวางแผนทำร้ายนางหรือ?” เขาเอ่ยถาม

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มพยักหน้า

“เจ้าอยากพูดอะไร?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม

“ข้าอยากบอกว่าข้ามักจะขอพบนางในเวลาที่ไม่เหมาะสม ไม่สะดวก ไม่สมควรเสมอ” หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบเอ่ยขึ้น “ดังนั้นตอนนี้ข้าไปพบนางได้ไหม?”

ตอนนี้เทียบกับเมื่อตอนนั้นที่พบปะภรรยาผู้อื่นยามค่ำคืนไม่เหมาะสมยิ่งกว่า ไม่สะดวกยิ่งกว่า นอกจากนี้อันตรายยิ่งกว่า

แต่หนิงอวิ๋นเจายังคงเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ

ลู่อวิ๋นฉีมองเขาครู่หนึ่ง

“เจ้าใจกล้าไม่น้อยจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มมองเขา

“ถ้าเช่นนั้น…” เขาเอ่ยถาม

“ไม่ได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขัดเขา หมุนตัวจากไป

ไม่ได้ อย่างน้อยก็ยืนยันว่าคนอยู่ในมือเขา หนิงอวิ๋นเจาเงียบงันอยู่ด้านหลัง

“นี่” เขาติดตามไปอีกหลายก้าว “ถ้าเช่นนั้นส่งของบางอย่างไปได้ไหม?”

ลู่อวิ๋นฉีศีรษะก็ไม่หันกลับเดินจากไปแล้ว

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้กลับกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ ตรงกลับมาถึงในบ้าน บ่าวหญิงคนหนึ่งรออยู่ที่ประตู เห็นเขาเข้ามาก็คำนับอย่างขัดเขิน

“องค์หญิงมีธุระใดหรือ?” ลู่อวิ๋นฉีอ้าปากเอ่ยถามก่อน

ความตื่นเต้นของบ่าวหญิงฉับพลันสลายไป ใต้เท้าลู่ปฏิบัติกับองค์หญิงต่างไปจริงๆ

“เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้องค์หญิงถามว่าใต้เท้าลู่กลับมาหรือยัง” นางเอ่ยขึ้น

ลู่อวิ๋นฉีขานอืมคำหนึ่งตรงมายังเรือนขององค์หญิงจิ่วหลี

“ทำเสื้อนวมตัวหนึ่งให้จิ่วหรง” องค์หญิงจิ่วหลีส่งเสื้อตัวหนึ่งให้เขา “รบกวนใต้เท้าแล้ว”

ลู่อวิ๋นฉีรับมามองดูฝีเย็บถี่ยิบทีหนึ่งแล้วขานอืมตอบ

“ข้าจะไปส่งมอบด้วยตนเอง” เขาเอ่ย

จิ่วหลีอมยิ้มเอ่ยขอบคุณ

“เช้าเช่นนี้ก็กลับมาแล้ว ยังไม่ได้กินข้าวสินะ?” นางเอ่ยถาม มองด้านข้างทีหนึ่ง “ที่นี่เพิ่งตั้งโต๊ะ…”

ลู่อวิ๋นฉีส่ายศีรษะ

“ข้ายังมีธุระ ขอบคุณองค์หญิงยิ่ง” เขาเอ่ยตอบ

องค์หญิงจิ่วหลีอมยิ้มพยักหน้าไม่เกรงใจอีกต่อไป ขณะที่มองดูลู่อวิ๋นฉีเดินออกไป สีหน้าของนางก็ค่อยๆ เคร่งขรึม นั่งลงหน้าโต๊ะอาหารทานอาหารช้าๆ ฉับพลันชี้จานหนึ่ง

“จานนี้ทำได้ค่อนข้างดี พวกเจ้าไปบอกใต้เท้าลู่ ให้ห้องครัวส่งสิ่งนี้ไปให้ไหวอ๋องชุดหนึ่ง” นางเอ่ย

บ่าวหญิงคนหนึ่งรีบขานรับเจ้าค่ะ หลังออกไปไม่นานก็กลับมา สีหน้ากระวนกระวายอยู่บ้าง

“บอกแล้วรึ?” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถาม

“บอกแล้วเพคะ” บ่าวหญิงตอบ “เพียงแต่ใต้เท้าอยู่ที่เรือนฝูอวิ๋น บ่าวไม่ได้พบจึงให้พวกเขาบอกต่อ“

ไม่มีคำสั่งของลู่อวิ๋นฉี ไม่มีใครกล้าส่งของไปยังวังไหวอ๋อง จำต้องให้ลู่อวิ่นฉีพยักหน้าถึงจะได้

องค์หญิงจิ่วหลีพยักหน้า

“พูดแล้วก็พอ ไม่รีบร้อน” นางอมยิ้มเอ่ย

บ่าวหญิงก้มศีรษะถอยอกไป องค์หญิงจิ่วหลีทานอาหารช้าๆ

ณ เรือนฝูอวิ๋น

ในห้องที่สว่างอ่อนโยน ลู่อวิ๋นฉีนั่งลงด้านหน้าคุณหนูจวิน บนโต๊ะวางอาหารอยู่ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ลงมือป้อนอาหาร แต่มองดูนาง มองดูนางอย่างตั้งใจ

คุณหนูจวินมองเขาอย่างเฉยชา ไม่หลบไม่หลีกและไม่จ้อง

“วันนี้ใต้เท้าหนิงหนิงอวิ๋นเจาคนนั้นค่อนข้างน่าสนใจ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “เขาถึงกับบอกข้าว่าต้องการพบเจ้า”

หนิงอวิ๋นเจาหรือ แววตาของคุณหนูจวินอ่อนโยนลงอยู่บ้าง

ลู่อวิ๋นฉีมองดวงตาของนาง

“เขาค่อนข้างชอบเจ้าจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นมา “คนมีเพียงยามชอบยิ่งนักเท่านั้น ความกล้าถึงจะมากเป็นพิเศษ”

คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจา สีหน้าฟื้นกลับมาเฉยชา

“เจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะไม่พอใจทำร้ายเขา” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ข้าดีใจยิ่ง เจ้าก็คือเจ้า ไม่ว่าเป็นสภาพไหนก็ล้วนดีเช่นนี้ ทำให้คนชื่นชอบ”