หลังจากกลับจากงานศพของสิน ทุกคนก็คุยกันว่าจะนัดรวมตัวกันมางานอีกทีในวันฌาปนกิจ นั่นคือแผนสำหรับเรื่องของสิน

หากไม่นับเรื่องนั้น ทุกคนก็พยายามจะก้าวต่อไปข้างหน้า กอดเก็บความเจ็บปวดจากความสูญเสียนั้นไว้แล้วใช้มันเป็นแรงผลักดันในการก้าวไปข้างหน้า

เพราะถ้าเอาแต่หยุดอยู่กับที่ กลางคืนจะมาถึงอีกครั้งโดยที่จิตใจยังไม่พร้อมรับและทำให้ความตายกลับมาลูบคมคอจนผลลัพธ์อาจจบลงแบบเดียวกับสินและเหล่าสหาย

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกแบบไหน… ทุกคนก็ต้องพยายามหาวิธีก้าวข้ามมัน

‘รู้งี้ฉัน… น่าจะบอกลินดา————’

คำพูดสุดท้ายของสินดังก้องอยู่ในหัวของทัตด้วยสาเหตุดังกล่าว มันลอดเข้ามาในตอนที่เขากำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัวที่บ้านยามบ่าย

พอมาคิดดู สินคงรู้สึกเสียใจมากแน่ ๆ ที่ไม่ได้เผยความรู้สึกที่ตัวเองมีให้ลินดารู้

แล้วถึงจะมาพูดเอาตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นด้วย… มีแต่จะทำให้เศร้ากันมากไปกว่าเดิมเปล่า ๆ

ทัตคิดแบบนั้นแล้วก็พ่นลมทางจมูกด้วยความลำบากใจก่อนจะพลิกตัวนอนข้าง

แล้วเราล่ะ?

สำหรับคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าทัตต้องการจะช่วยแค่ไหนก็คงทำไม่ได้แล้ว

สิ่งที่ทัตทำได้มีเพียงแค่เรียนรู้จากเขา… จากสินเท่านั้น

เราเอง… ถ้าเกิดตายไปโดยที่ปล่อยให้ความสัมพันธ์กับพิมมันคาราคาซังแบบนี้มันจะดีเหรอ?

จะไม่เสียใจทีหลังแบบสินเหรอ?

ทัตตั้งคำถามแบบนั้นกับตัวเอง เผชิญหน้ากับความกลัวและอาการขาดความไม่มั่นใจในตัวเอง

ชั่งน้ำหนักว่าอะไรสำคัญมากกว่ากัน… ระหว่างความรู้สึกด้านลบพวกนั้นกับความรู้สึกของเขาที่มีให้แก่พิม

…แล้วคำตอบก็ออกมาหลังจากนั้นในเวลาไม่นาน

ทัตถึงรีบดีดหลังขึ้นมานั่งที่ขอบเตียง คว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนเข้าไปในช่องแชทส่วนตัวของสาวเจ้า

‘ทำไรอยู่’ ทัตเปิดด้วยประโยคเรียบง่าย

พอกดส่งแล้วเขาก็วางลงที่ชั้นวางของตรงหัวเตียงก่อนจะเอนตัวลงไปนอน ครั้นจะเข้าโซเชียลมีเดียไปดูโน่นดูนี่ก็เกรงว่าจะไม่มีอารมณ์เพราะสมองกำลังจดจ่อว่าพิมจะตอบกลับมาเมื่อไรนั่นแหล่ะ

ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ส่งข้อความหากันแท้ ๆ แต่พอเป้าประสงค์เปลี่ยนไปก็ทำให้หวั่นไหวได้ขนาดนี้ นี่แลความพิศวงที่ทำเอาทัตไปไม่เป็น

ดิ้ง!

เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในเวลาไม่นาน แต่ถ้าว่ากันตามตรงก็ถือว่าตอบกลับเร็วมาก เห็นได้ชัดว่าพิมให้ความสำคัญกับเขาขนาดไหน

และสำหรับเรื่องนั้น ทัตเองก็ไม่ต่างกัน

‘นอนเล่นน่ะสิ อยากเห็นป่ะ’ นั่นคือสิ่งที่ถูกแสดงบนหน้าจอแชท

ตามมาด้วยภาพเซลฟี่แนวนอนของพิมในชุดเสื้อยืดสบาย ๆ เป็นหลักฐาน

ถ้าแค่นั้นมันก็คงไม่มีปัญหาอะไร… เพียงแต่ภาพที่พิมส่งมานั้น เธอพยายามดึงคอเสื้อตัวเองลงโอ้อวดร่องอกอย่างจงใจในขณะที่แลบลิ้นหยอกแกล้ง เสื้อผ้าหน้าผมเองก็หลุดลุ่ยเผยเนื้อหนังแลปลุกใจเสือป่าสุด ๆ

ภาพนั่นถึงทำเอาทัตเกือบจะทำโทรศัพท์หลุดมือเลยทีเดียว

ส่งอะไรมาวะเนี่ย! ยังไม่ได้บอกว่าอยากเห็นเลยนะเฮ้ย!

ทัตเกือบจะหลุดสบถ แต่คงไม่มีประโยชน์เพราะคนที่อยากบ่นใส่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาจึงได้แต่กุมขมับถอนหายใจ

ถึงแบบนั้น… หากย้อนกลับไปยังคำถามที่ว่าอยากเห็นรึเปล่า แน่นอนว่าทัตที่เป็นเด็กหนุ่มวัยกลัดมันย่อมอยากเห็นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าเขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมหัวใจมากกว่า

ให้ตายสิ… เป็นลูกคุณหนูที่ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวเอาซะเลยนะ

ใจนึงทัตก็คิดแบบนั้นจริง ๆ เพราะไม่อยากให้เธอเป็น ถึงความเป็นจริงจะรู้อยู่แก่ใจว่าพิมทำแบบนี้แค่กับเขาก็เถอะ

อาจเพราะแบบนั้นด้วย ตอนนี้ทัตถึงอมยิ้มอยู่คนเดียว เพราะตระหนักแล้วว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด

และทั้งที่มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจหลุดไปที่อื่นแต่พิมก็ยังส่งมาให้เขา มันก็แสดงให้เห็นว่าเธอไว้ใจเขามากแค่ไหน

…หรือไม่งั้นก็มั่นใจว่าทัตไม่มีเพื่อนให้ส่งต่อภาพ เธอถึงกล้าส่งอะไรแบบนี้ให้เขา

จริง ๆ เลย

แต่ไม่ว่ายังไงทัตก็ไม่คิดจะให้ภาพนั้นยังอยู่ทัตก็เลยลบภาพนั้นออกไปเสีย อย่างน้อยก็สำหรับในเครื่องของเขาเพื่อตัวของพิมเองด้วย

นั่นคือก่อนที่เขาจะตอบกลับเธอไป

‘พรุ่งนี้ว่างป่าว’ ทัตถามเหมือนไม่สนใจภาพก่อนหน้านี้ มันคือความพยายามเบี่ยงประเด็นที่ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร

ทันใดนั้นสติ๊กเกอร์ผู้หญิงทำแก้มป่องก็ถูกส่งมาหาเขา ทัตนึกภาพพิมที่กำลังทำหน้าอย่างเดียวกันออกเลย

ถ้าไม่นับเรื่องนั้น ทัตก็ค่อนข้างลุ้นกับคำตอบของพิมมากพอดู

‘ทำไมเหรอ?’ พิมตอบกลับมา ไม่สิ… ไม่น่าจะเรียกว่าคำตอบด้วยซ้ำ น่าจะเรียกว่าคำถามมากกว่า

ไม่รู้ว่าไม่อยากจะตอบหรือขึ้นอยู่กับคำตอบของทัตเธอถึงไม่ยอมบอกตรง ๆ

แต่ไม่ว่ายังไง เรื่องนั้นก็ไม่ทำให้ทัตล้มเลิกอยู่แล้ว

ข้อความที่เรียบเรียงถึงอยู่ในช่องสนทนาพร้อมกดส่ง อย่างเดียวที่รั้งไม่ให้ทำมีแค่ความประหม่า

ทัตถึงกลั้นใจในตอนที่กดปุ่มส่งข้อความออกไป

‘ถ้าเธอว่าง พรุ่งนี้เราไปเที่ยวด้วยกันไหม’

หลังกดส่งไปแล้ว ทัตรู้สึกได้เลยว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมา

เพราะพอมานั่งนึกดู… นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาชวนผู้หญิงออกไปเที่ยวด้วยความหมายพิเศษ ความคาดหวังและลุ้นระทึกเองก็ตามความกังวลมาจนนั่งไม่ติด

ยิ่งพิมอ่านแล้วไม่ตอบก็ยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้นไปอีก

รุกเร็วไปเหรอ? นั่นคือสิ่งที่ทัตคิดว่าตัวเองอาจก้าวพลาดไป

แต่ว่า…

“!?”

หลังจากนั้นไม่นาน จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ของทัตก็ถูกแทนที่ด้วยสายเรียกเข้า

และชื่อของสายดังกล่าว ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพิมด้วย

“ฮัลโหล———”

‘ทะ ที่พูดนั่นหมายความว่ายังไง?’

ทัตยังทักทายไม่ทันจบดีพิมก็เข้าเรื่องโดยไม่เสียเวลา นั่นทำให้ทัตเข้าใจว่าสาเหตุที่พิมโทรหาอาจเป็นเพราะอยากรู้ว่าทัตล้อเธอเล่นรึเปล่า

“ก็… หมายความตามที่พูดนั่นแหล่ะ” ด้วยเหตุนั้น สิ่งที่ต้องตอบกลับก็มีแต่ความจริงใจและจริงจัง

‘ระ เหรอ…’

ไม่รู้ว่าพิมต้องการจะยืนยันอะไร แต่ก็เพราะเธอโทรหาทัตตรง ๆ เขาถึงสัมผัสเสียงที่สั่นไหวเพราะความเขินอายของเธอได้อย่างชัดเจน

และในทางตรงข้าม… พิมเองก็สัมผัสความประหม่าของทัตได้เช่นกัน

‘ทำไมถึงกะทันหันจังล่ะ… มีอะไรรึเปล่า?’

“กะ ก็แค่อยากไปเที่ยวเฉย ๆ นั่นแหล่ะ”

ทัตตอบตะกุกตะกัก ท้ายสุดเขาก็ยังเก็บซ่อนความในใจไว้บางส่วนและไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ อยู่ดี

เพราะถ้าให้ตอบไปตรง ๆ ว่า ‘อยากใช้เวลาร่วมกับเธอก่อนที่จะสาย’ มันคงฟังดูน้ำเน่าเกินไป

‘หืม… จะบอกว่าไปเที่ยวกันแบบธรรมดาตามเคยสินะคะ’

พิมตอบกลับด้วยเสียงที่บางหรี่ลง เขาสัมผัสได้ถึงความผิดหวังผ่านน้ำเสียงของเธอ นั่นทำเอาทัตรู้สึกผิดเลยทีเดียว

…จึงเป็นอีกครั้งที่ทัตต้องทำอะไรให้ชัดเจน

“ครั้งนี้มันพิเศษ… คิดว่านะ”

ทัตพูดอีกครั้ง ยืนยันให้พิมรู้ว่าครั้งนี้มันแตกต่างจากทุกที

หรืออย่างน้อย ๆ เขาก็รู้สึกอย่างนั้น

‘…เข้าใจแล้ว ฉะ ฉันโอเคนะ’

และดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้พิมคิดแบบเดียวกัน เธอถึงตอบกลับแบบตะกุกตะกักแต่น้ำเสียงก็แลดูหวานฉ่ำกว่าทุกที มันแสดงให้เห็นว่าเธอดีใจแค่ไหน

“งะ งั้นเดี๋ยวเวลานัดว่ากันอีกทีนะ”

‘อื้ม! ตะ ตามนั้นเนาะ’

นั่นคือทั้งหมดที่กล่าวก่อนที่พิมจะกดวางสายไป

เธอคงรู้ตัวแล้วว่าแสดงความหวั่นไหวออกมามากเกินปกติ เป็นศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงที่ยอมไม่ได้ง่าย ๆ แม้แต่กับทัตก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ถึงความจริงมันจะสายเกินไปที่จะมาห่วงเรื่องนั้นแล้วก็เถอะ

แต่สำหรับทัตเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่… ในมุมมองของเขา ศักดิ์ศรีไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาคิดเล็กคิดน้อย อาจเพราะเคยชินกับความพ่ายแพ้แก่พิมมาตลอดก็ได้ถึงไม่รู้สึกอยากจะชนะเธอเท่าไร

ทว่าความจริง มันไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียว

ไม่ว่าพิมจะต้องการอะไร เขาก็คิดว่าตัวเองคงยอมให้เธอได้ทั้งนั้น… นั่นคือสิ่งที่ทัตคิด

ดังนั้น ถ้าจะมีอะไรที่ทัตให้ความสนใจ ก็คงเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มากกว่า

ฟู่ว… พรุ่งนี้เหรอ

ดันเผลอทำอะไรไม่คิดไปซะแล้วแฮะ

คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความกังวล

เพราะพอนานั่งดู ยังไงมันก็เป็นการชวนสาวไปเดทอย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังไม่ได้วางแผนว่าจะไปทำอะไรหรือไปที่ไหนก่อนอีก สำหรับคนที่ใช้ชีวิตไปกับหลักเหตุผลนำพานี่เรียกว่าดับเครื่องชนก็คงไม่ผิด

ถึงอันที่จริง… การได้เปลี่ยนไปใช้หัวใจนำพาดูบ้างมันจะไม่เลวก็เถอะ

นั่นคือสิ่งที่ทัตแอบคิดอยู่ลึก ๆ

เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น เขาคงไม่กล้าแม้แต่จะชวนพิมเสียด้วยซ้ำไป

❖❖❖❖❖

หลังจากนั้นก็เป็นการพักผ่อนที่ไม่มีอะไรพิเศษจนจบวัน

…ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก แต่กลางคืนของทุกวัน โลกจะกลายเป็นเกมที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคน ก็เลยวางใจไม่ได้เนี่ยสิ

ถึงตอนนี้เลเวลของเราจะสูงขึ้นมาก แต่ก็ไม่อยู่ในจุดที่วางใจได้เพราะยังไม่ได้เก่งที่สุด

แล้วอีกอย่าง… ตอนนี้เราก็รู้ซึ้งแล้วว่าศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดไม่ใช่มอนสเตอร์แต่เป็นมนุษย์ด้วยกัน

ด้วยเหตุนั้น คืนนี้เราจะเสียโอกาสอัพเลเวลไม่ได้

แต่วันนี้คงจะไม่ง่ายเหมือนวันก่อน ๆ เพราะตอนนี้เราอยู่บ้านที่มีทั้งพ่อกับคุณเฟรย์อยู่ อาจจะทำอะไรยากกว่าปกติก็ได้

ก๊อก ๆ!

“ฝ้าย นี่พี่เองนะ”

เพราะคิดแบบนั้นทัตเลยไปเคาะประตูห้องของฝ้ายที่อยู่ติดกับห้องเขาตอนเวลาราว 17.30 นาฬิกา

จุดประสงค์ของเรื่องนั้นไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการปรึกษา… ถึงแบบนั้นทัตก็ประหม่าไม่เบาพอคิดว่าสาวน้อยน่ารักที่อยู่อีกฟากของประตูมีใจให้เขาแม้จะปฏิเสธเธอไปแล้วก็ตาม

ความรู้สึกพวกนั้นเริ่มก่อตัวขึ้นมากกว่าความรู้สึกผิดและกลายเป็นเหตุผลให้ทัตรู้สึกงุ่นง่านไม่เบา

นั่นคือความรู้สึกที่ทัตมีในตอนที่ฝ้ายเปิดประตูออกมาจากห้องในชุดบางสบายสำหรับอยู่บ้าน นั่นดึงดูดสายตาของทัตไปเองโดยอัตโนมัติแม้จะไม่อยากทำแบบนั้น

“มีอะไรเหรอคะพี่ทัต?” เธอแง้มประตูออกเต็มที่ ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย

“หรือว่าข้าวเย็นเสร็จแล้วเหรอคะ?” ยิ่งพอเห็นว่าทัตนิ่งไปเธอก็ยิ่งสงสัย การถามซ้ำทำให้ไหล่ของทัตกระตุกเลยทีเดียว

“จะมาปรึกษาเรื่องงานคืนนี้น่ะ” ทัตรีบตัดเข้าประเด็นสำคัญ เพราะไม่อยากให้ฝ้ายเห็นว่าเขาหวั่นไหวนั่นแหล่ะ

“แหม ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นหรอกค่ะ”

ฝ้ายพูดแล้วก็หลุดหัวเราะกับท่าทางเกร็ง ๆ ของทัต ไม่ว่าจะพยายามปิดบังยังไงแต่ดูเหมือนมันจะไร้ประโยชน์อยู่ดี

ทัตก็เลยพยายามปรับลมหายใจใหม่อย่างเปิดเผยแทน แต่…

“เข้ามาในห้องหนูก่อนไหมคะ?”

พอเริ่มสงบสติตัวเองได้ฝ้ายก็ปล่อยหมัดฮุคใส่ทัตจนเขาหายใจผิดจังหวะอีกครา สำลักอากาศหายใจตัวเองคงเป็นคำที่ใกล้เคียงที่สุด

“บะ แบบนั้นไม่ดีหรอกมั้ง” ทัตรีบตอบกลับ ไม่ว่าฝ้ายจะต้องการอะไรจากการเชิญชวนแต่การตอบรับมันก็ดูไม่ดีเห็น ๆ

แม้ว่าฝ้ายในตอนนี้จะกำลังอมยิ้มกรุ่มกริ้มเหมือนหยอกแกล้งมากกว่าจริงจังก็ตาม

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงพี่ทัตก็คงไม่ใช่คนประเภทที่รู้สึกตื่นเต้นเวลาได้เข้าไปในห้องของน้องสาวตัวเองหรอกจริงไหมคะ”

“อึก”

ฝ้ายพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมยกมือป้องปากทำเอาทัตรู้สึกเหมือนถูกตบหน้ากลางสี่แยก ดูท่าเธอจะแทงใจดำเขาเต็ม ๆ

แถมไม่ใช่แค่นั้นด้วย…

“แล้วอีกอย่าง พี่ทัตที่จด ๆ จ้อง ๆ หนูตั้งแต่หัวจรดเท้าไปแล้วคงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกมั้งคะ”

ต่อจากหมัดฮุคท้อง คำพูดของฝ้ายด้วยท่าทางเอียงอายยังทำให้ทัตรู้สึกเหมือนถูกต่อยเสยปลายคางจนแทบกลิ้งสลบ หากเขาทรุดเข่าลงไปกับพื้นตอนนี้ก็คงไม่แปลกอะไรเลย แต่ถ้าทำแบบนั้นก็คงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการขุดหลุมฝังตัวเอง

ให้ตายสิ… ที่ว่าผู้หญิงสายตาไวกับเรื่องพวกนี้ท่าจะจริงแฮะ

ทัตอดคิดแบบนั้นไม่ได้ ไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกประหม่า อายและรู้สึกผิด

“ขอโทษด้วยนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ ฮุฮุ”

ทัตก้มหัวขอโทษอย่างตรงไปตรงมา แต่ฝ้ายดันตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ แบบไม่ติดใจเรื่องที่เกิดเสียอย่างนั้น ทำเอาคิดไม่ตกเลยว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่อายุมากกว่า

“แล้วถ้าว่ากันตามตรง… หนูไม่รังเกียจเลยสักนิดถ้าอีกฝ่ายเป็นพี่ทัตน่ะ”

นอกจากนี้ ฝ้ายกลับมาพูดแบบนั้นในตอนที่ถอยไปแง้มประตูห้องให้กว้างขึ้นอีก

ช่างเป็นการเชื้อเชิญที่ทำเอารู้สึกหวาดเสียวในหลาย ๆ ความหมาย

แต่เอาเถอะ… ถ้าอดทนได้ เรื่องแปลก ๆ มันก็จะไม่เกิดขึ้นอยู่แล้ว

ทัตคิดแบบนั้นก่อนจะเดินเข้าไปตามที่น้องสาวของเขาแนะนำเพราะรู้สึกเหมือนสิทธิในการปฏิเสธถูกช่วงชิงไปตั้งแต่ที่เถียงแพ้

เขาถึงเอาเวลาไปทำอย่างอื่นแทน

จะว่าไปแล้ว… นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยแฮะที่ได้สังเกตห้องของฝ้ายชัด ๆ

เข้ามาในห้องทัตก็เริ่มมองเห็นสิ่งที่ตัวเองมองข้ามไปหลายอย่าง

ที่เห็นชัดเจนคือความเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาจากเฟอร์นิเจอร์ลายน่ารักอย่างรูปหัวใจหรือรูปสัตว์สมวัยของฝ้ายจนน่าแปลกใจ นอกจากนี้ยังมีตุ๊กตาสัตว์จำนวนไม่น้อยอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าลายดอกไม้ของฝ้ายด้วย

พูดไปก็คงเสียมารยาท แต่ทัตคิดจริง ๆ ว่ามันช่างขัดกับภาพลักษณ์ความเงียบขรึมเด็ดขาดของเธอเสียจริง

“คือว่า… จ้องขนาดนั้น หนูก็เขินเหมือนกันนะคะ”

ไม่ว่าอย่างไรทัตก็ใช้เวลาสำรวจนานเกินไป และสำหรับสาวน้อยนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนในใจของเธอก็ตาม

“โทษที แค่มันผิดจากที่คิดไปหน่อยน่ะ” ทัตรีบแก้ตัวอีกครั้ง แต่ก็เหมือนจะรีบเกินไปหน่อย

“มู่ว… ห้องหนูก็เป็นแบบนี้มาตลอดนะคะ” ฝ้ายถึงได้ทำแก้มป่องแง่งอน นั่นเป็นท่าทีที่ไม่ได้เห็นบ่อย ๆ

แต่ถ้าได้เห็นก็แสดงว่าทัตเผลอทำเรื่องไม่ดีลงไปแล้ว อย่างน้อยก็สำหรับก่อนหน้านี้ที่เขาเมินความรู้สึกของเธอมาตลอดหลายปี

“นั่นสิ… ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ใส่ใจฝ้าย หลังจากนี้จะพยายามมากกว่านี้นะ”

ทัตเอ่ยพลางเผยยิ้ม เพราะฝ้ายอยู่ใกล้ ๆ มือเลยเลื่อนขึ้นไปลูบศีรษะของเธอโดยอัตโนมัติ เขาเรียนรู้แล้วว่าฝ้ายชอบให้เขาทำแบบนี้ และได้รู้แล้วด้วยว่ามันเป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้เธอดีใจได้ง่ายที่สุด

เรื่องนั้นชัดเจนเมื่อฝ้ายอมยิ้มออกมาด้วยใบหน้าแดงเรื่อ ความหงุดหงิดก่อนหน้านี้คงหายไปหมดแล้วกระมัง

นอกเหนือจากเรื่องนั้น… จุดที่สังเกตเห็นได้อีกอย่างคือหากเป็นก่อนหน้านี้ หากทัตทำทีคล้ายกับเมินความรู้สึกของเธอหรือทำให้นึกถึงเรื่องจำพวกนั้น อารมณ์ของฝ้ายจะเป็นไปในทางหม่นหมองมากกว่าหงุดหงิดแบบหนนี้

จึงเห็นได้ชัดว่าระยะห่างของทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้นแล้ว อย่างน้อยก็เกินจุดที่ฝ้ายต้องการ

“อะแฮ่ม! แล้วเรื่องที่จะปรึกษาคือเรื่องอะไรเหรอคะพี่ทัต” นั่นถึงไม่แปลกที่เธอจะเคลิบเคลิ้มกับความรู้สึกพวกนั้นนานเกินไปหน่อย จนต้องรีบเรียกสติตัวเองกลับมา

ฝ้ายถึงพยายามดึงประเด็นหลักกลับมาแม้จะยังหุบรอยยิ้มไม่ลง

ส่วนทัตนั้นเลือกนั่งเก้าอี้ที่ฝ้ายจัดไว้ให้ ส่วนฝ้ายไปนั่งลงที่ขอบเตียงตัวเองก่อนที่จะเริ่มคุย

“คืนนี้จะมีมอนสเตอร์โผล่มาใช่ไหมล่ะ พี่อยากรู้ว่าปกติเรารับมือยังไงน่ะสิ”

“อ๋อ” ดูเหมือนที่ทัตสงสัยจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินคาดเดา ฝ้ายถึงพยักหน้ารับทันที

“ก็อย่างที่หนูเคยเล่าให้ฟังนั่นแหล่ะค่ะ… พอถึงเวลา หนูจะให้ลูกน้องมารับคุณพ่อกับคุณแม่ไปอยู่ที่ศูนย์อพยพ แล้วก็แยกไปทำงานน่ะค่ะ”

“แบบนั้นมันใช้อำนาจในทางที่ผิดนี่นา”

พอทัตพูดแบบนั้นฝ้ายก็หลุดหัวเราะออกมาทันที ไม่รู้ว่าทัตทำท่าจริงจังเกินไปหรืออย่างไร แต่สำหรับฝ้ายแล้วนั่นทำให้รู้สึกขบขันมากกว่า

“พี่ทัตเนี่ย จะตอนไหนก็ไม่เปลี่ยนจริง ๆ นะคะ” ฝ้ายถึงกับต้องเช็ดน้ำตาที่ร่วงออกมาตอนหัวเราะ ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายทัตแล้วที่ไม่เข้าใจว่ามันน่าตลกอะไรขนาดนั้น

“หนูได้ยินพี่ทัตพูดแบบนั้นจนชินแล้วล่ะค่ะ ถึงพี่ทัตคงจะจำเรื่องนั้นไม่ได้ก็เถอะ”

“เอาจริงดิ”

“ค่ะ พี่ทัตเป็นคนเที่ยงตรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

ฝ้ายพยักหน้ารับอีกครา ยืนยันให้เห็นว่าตัวเขาเองไม่ได้เปลี่ยนไปแม้สถานการณ์และสภาพแวดล้อมจะถูกเปลี่ยน และมันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว

“เหรอ… งั้นพี่ก็ขอโทษแทนก่อนหน้านี้ด้วยนะ”

ทัตคิดได้ก็เริ่มเอ่ยอย่างรู้สึกผิด เพราะคิดว่าการเจอเรื่องแบบนั้นบ่อย ๆ คงทำให้รู้สึกรำคาญแน่

…ในกรณีปกติมันก็ควรเป็นอย่างนั้น

“ไม่เลยค่ะ หนูชอบพี่ทัตที่เป็นแบบนั้นมากเลยนะคะ”

แล้วจู่ ๆ ฝ้ายก็จู่โจมทัตด้วยใบหน้าของสาวน้อยในห้วงรักอีกครั้ง แก้มแดงระเรื่อของเธอแฝงไว้ทั้งความชื่นชมและเคารพรัก บางทีที่หัวเราะชอบใจไปก่อนหน้านี้ก็คงเป็นเพราะสาเหตุเดียวกัน

แต่สำหรับทัต… การถูกหยอดบ่อย ๆ มันทำให้เขารู้สึกกับเธอหลากหลายอารมณ์ทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นความดีใจที่มีผู้หญิงน่ารักมาหลงไหลหรือรู้สึกผิดที่ไม่อาจตอบสนองเธอได้อย่างที่เธอปรารถนา

แต่ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร ทัตก็ทำอะไรกับสถานการณ์นี้ไม่ได้มากอยู่ดี

“ละ แล้วเราจะทำอะไรตอนที่มอนสเตอร์บุกมาล่ะ เหลือเวลาอีกไม่กี่สิบนาทีแล้วด้วยสิ” ทัตถึงพยายามดึงประเด็นหลักกลับมาแทน

“…จะว่าไปก็จริงนะคะ”

ฝ้ายเองก็สัมผัสได้ถึงความกังวลของทัตจึงยิ้มแห้งก่อนตามน้ำอย่างว่าง่าย เพราะเธอเองก็ไม่อยากให้ทัตลำบากใจเหมือนกัน

“มีวิธีหลบหน้าคุณพ่อกับคุณแม่ง่าย ๆ อยู่นะคะ” ฝ้ายได้ยินดังนั้นแล้วก็ยืนขึ้น

“ไปร้านสะดวกซื้อกันหน่อยไหมคะพี่ทัต”

เธอเชื้อเชิญพร้อมกับแตะนิ้วที่ริมฝีปากอย่างน่ารักน่าชังทั้งยังขยิบตาให้อย่างเย้ายวนชวนเคลิบเคลิ้มจนเกือบนึกไปว่าฝ้ายชวนเขาไปเดทยังไงอย่างงั้น

❖❖❖❖❖

หลังจากนั้นฝ้ายก็ไปเปลี่ยนชุดเพราะมันคงไม่ดีเท่าไรถ้าใส่ชุดบาง ๆ ออกไปข้างนอก

มองจากภายนอกคงเป็นปัญหาด้านความเหมาะสม แต่ความจริงแล้วสาเหตุหลักเป็นเพราะมันไม่คล่องตัวสำหรับการต่อสู้ต่างหาก

“มันมืดแล้ว เพราะงั้นทั้งสองคนระวังตัวกันด้วยนะจ๊ะ”

ในตอนที่ทัตกับฝ้ายจะออกไปข้างนอกเฟรย์ก็ออกมาส่งถึงประตูรั้ว คงไม่ต้องบอกว่าเธอเป็นห่วงทั้งสองคนขนาดไหน

ฝ้ายเห็นแบบนั้นจึงยิ้มตอบแม่ของเธออยู่ข้าง ๆ ทัตทันที

“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณแม่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเดี๋ยวพี่ทัตก็ปกป้องหนูเอง”

ไม่แค่นั้น ฝ้ายยังเข้ามากอดแขนทัตไว้แน่นด้วย ทำเอาทัตสะดุ้งทำอะไรไม่ถูกด้วยความประหม่าไปเลย

“แหม ๆ ถ้างั้นก็ฝากน้องด้วยนะจ๊ะทัต” ความใกล้ชิดนั่นทำเอาคนเป็นแม่ดีใจเหลือหลาย …ถึงเฟรย์จะไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองคิดกับพี่ชายของเธอเกินเลยก็เถอะ

“คงไม่มีเรื่องอันตรายเกิดขึ้นหรอกครับ แต่ก็… จะพยายามแล้วกันนะครับ”

เพราะเอาจริง ๆ คนที่แข็งแกร่งกว่าคือฝ้ายต่างหาก… คนที่โดนปกป้องน่าจะเป็นเรามากกว่า

ทัตแอบคิดแบบนั้นแต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกมา ทั้งเพราะไม่ใช่เรื่องที่คนนอกจะเข้าใจและเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะยอมรับด้วย

เพราะถ้าเขายอมรับการปกป้องอยู่ฝ่ายเดียวแม้ว่าน้องสาวจะเหนือกว่าเขา ผลลัพธ์ที่ฝ้ายตายจากไปอาจเกิดขึ้นอีกก็เป็นได้

ทัตที่ไม่อยากให้ฝ้ายฝืนตัวเองหรือแบกรับศึกไว้คนเดียวอีกจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

“จะว่าไป… ระหว่างช่วงที่มอนสเตอร์บุก น้องไม่ได้ไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุณเฟรย์เลยเหรอ?” ในระหว่างที่เดินเคียงกันไปตามถนนของหมู่บ้านไปยังร้านสะดวกซื้อติดถนนทางหลวง ทัตก็ถามสิ่งที่สงสัยมาตลอด

อาจเพราะแสงสลัวจากหลอดไฟบนเสารายทางมันเหมือนกับคืนจันทร์เต็มดวงที่ยาวนานถึงหนึ่งสัปดาห์จึงทำให้ทัตนึกถึง

แถมพอมาคิดดู เขาก็ไม่เห็นฝ้ายติดต่อไปหาคุณพ่อกับคุณเฟรย์ในวันคืนอันยาวนานนั้นเลยด้วย

“เมื่อก่อนหนูก็ทำแหล่ะค่ะ แต่ช่วงหลัง ๆ มันรู้สึกลำบากใจมากกว่าที่ถูกเป็นห่วง” ฝ้ายตอบแล้วก็ถอนหายใจ พอนึกย้อนถึงเหตุการณ์จำพวกนั้นคงทำให้ฝ้ายรู้สึกปวดใจไม่เบา

“แล้วไหน ๆ คุณพ่อกับคุณแม่ก็จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว หนูเลยคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้ตัวเองหวั่นไหวแล้วลดประสิทธิภาพในการสู้ของตัวเองลงน่ะค่ะ”

“ที่พูดมามันก็จริงล่ะนะ”

ทัตพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจอันรอบคอบของน้องสาว เธอคงมีประสบการณ์มากพอจะเลือกทำสิ่งที่ควรมากกว่าสิ่งที่อยาก นั่นทำให้ทัตนึกขึ้นได้ว่าฝ้ายเป็นถึงหัวหน้าหน่วยของเซฟเวอร์สาขาตะวันออกเฉียงเหนือ

ครั้นพอนึกถึงความเป็นผู้นำที่แฝงในตัวของน้องสาวทีไร เธอก็มักจะแสดงออกในทางตรงข้ามจนหลงลืมเรื่องนั้นไปเสียทุกที

“แล้ว… เราต้องจูงมือกันเดินไปซื้อของจริง ๆ เหรอ” ทัตถึงบ่นกับหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ฝ้ายหลุดจากภาพความเป็นหัวหน้า แต่ทางฝ้ายดูเหมือนจะไม่ได้ให้ค่าเรื่องนั้นมากไปกว่าความอยากใกล้ชิดสนิทสนมกับทัต

“ถ้าพี่ทัตไม่ชอบก็ปล่อยมือหนูก็ได้นี่คะ” แถมยังหยอกยิ้มใส่อีกต่างหาก และนั่นเป็นการเล่นขี้โกงมากในสายตาของทัต

“…พี่จะไปทำแบบนั้นลงได้ยังไง”

ถูกเธอเสี่ยงชีวิตปกป้องมาตลอดหลายปีโดยที่ไม่รู้เรื่องและไม่เคยขอบคุณ ทั้งยังปฏิเสธคำสารภาพรักจากเธอ แล้วถ้ายังปฏิเสธฝ้ายที่อยากใกล้ชิดในฐานะน้องสาว?อีก เขาก็คงกลายเป็นชายที่ใจดำที่สุดในโลกเป็นแน่

มือที่กุมฝ้ายอยู่ถึงเพิ่มแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่นั่นใกล้เคียงความรู้สึกที่อยากจะตอบแทนด้วยความรักบริสุทธิ์มากกว่าจะเป็นไปในทางชู้สาว

และแม้มันจะไม่ใช่แบบที่ฝ้ายต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ฝ้ายก็ยังดีใจจนอดไม่ได้ที่จะแอบอมยิ้มออกมาบาง ๆ อยู่ดี

“พี่ทัตไม่ต้องรู้สึกผิดไปหรอกนะคะ… ก็บอกแล้วว่านี่เป็นความเห็นแก่ตัวของหนูเอง” แต่ถึงจะพอใจกับสถานการณ์แค่ไหน ฝ้ายก็ไม่ลืมปลอบใจทัตเพื่อไม่ให้เขาโทษตัวเอง

“แล้วถ้าเกิดพี่พิมโกรธพี่ทัตเพราะเรื่องนี้ขึ้นมา เดี๋ยวหนูจะเป็นคนอธิบายเองค่ะ”

ฝ้ายรู้ว่านั่นคือเหตุผลหลักที่ทัตรู้สึกผิด เพราะถ้าจะมีอะไรที่ทัตกังวลก็คงเป็นความรู้สึกของพิม

…ถึงแบบนั้นก็ไม่อาจมองข้ามความรู้สึกของฝ้ายได้หมดอยู่ดี

งานที่ต้องสมดุลความรู้สึกของสองสาวจึงเป็นภารกิจอันยากลำบากที่ทัตจำต้องตั้งใจรักษาไว้ให้ดีนับจากนี้

“ถึงพิมจะแสดงออกแบบนั้น แต่ยัยนั่นไม่ได้โกรธเธอขนาดนั้นหรอก” และอย่างแรกที่ทัตอยากจะทำคือการให้พิมกับฝ้ายญาติดีกัน

“เรื่องนั้นหนูรู้ค่ะ ก็เหมือนพี่ทัต… หนูเองก็มีโอกาสได้คุยกับพี่พิมหลายต่อหลายครั้งโดยที่พี่เขาจำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”

“แบบนั้นมันขี้โกงนะเนี่ย”

ทัตถึงกับเหงื่อตกเลยที่ได้ยินแบบนั้น เพราะถ้าสร้างสถานการณ์ขึ้นมาดี ๆ เราก็จะสามารถล้วงความลับของทุกคนได้โดยที่เจ้าตัวไม่มีทางรู้

แต่โชคดีหน่อยที่ฝ้ายไม่ได้สนใจเรื่องอื่นมากไปกว่าสิ่งที่อยู่ในหัวของทัต… และพิม

“ว่ากันแบบไม่อคติ พี่พิมเป็นผู้หญิงที่ดีมากเลยค่ะ”

“ก็นะ” ทัตพยักหน้ารับงก ๆ เขาพอใจราวกับเป็นตัวเองที่ถูกชมยังไงอย่างนั้น

“แต่ก็รองจากหนูแหล่ะคะ”

“พูดแบบนั้นออกมาได้หน้าตาเฉยเลยนะ” ทัตได้แต่ยิ้มแห้งหลังได้ยินฝ้ายพูดพร้อมกับยืดอกเล็ก ๆ ด้วยใบหน้านิ่ง ๆ แลดูขัดกันไม่เบา

ถึงที่เธอพูดมามันจะเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้อย่างชัดเจนก็เถอะ

“ใครก็ต้องคิดว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งอยู่แล้วค่ะ หรือพี่ทัตชอบผู้หญิงปากอย่างใจอย่างเหรอคะ?”

ที่หนูพูดออกมาตรง ๆ มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? ฝ้ายเหมือนอยากจะบอกแบบนั้น และมันก็เป็นความจริงที่ทัตชอบคนซื่อตรงมากกว่า

ถึงในมุมมองของทัตเรื่องอันดับมันจะไม่สำคัญก็เถอะ

เพราะถ้าจะวัดคะแนนกัน… ในมุมมองของทัต ทั้งคู่ได้คะแนนเต็มอย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งสองคุยกันเพลิดเพลินไม่เบาจนรู้สึกตัวอีกทีก็มาถึงร้านสะดวกซื้อตามที่ตั้งใจไว้เสียแล้ว

แต่จะให้ซื้อของตอนนี้ก็กระไรอยู่ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรไปเดี๋ยวทุกอย่างมันก็ย้อนเวลากลับมาเหมือนเดิมอยู่ดี

และเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือเพราะมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ…

กรี๊ด!!!

เสียงกรีดร้องดังมาจากในหมู่บ้านที่ทัตกับฝ้ายเพิ่งจะเดินจากมาคือสิ่งยืนยันเรื่องนั้น ทำให้คนที่อยู่ในร้านสะดวกซื้อทั้งชายหญิงจำนวนเกือบสิบคนหันไปมองตามเสียงกันหมด

“เริ่มแล้วสินะ”

“ค่ะ”

มีแค่ทัตกับฝ้ายที่พยักหน้าให้กันอย่างรู้งาน เพราะมีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เป็นเหตุผลเดียวกับที่ทัตและฝ้ายไม่ตกใจเมื่อมีหมาป่าร่างยักษ์สูงกว่า 3 เมตรปรากฏตัวขึ้นตรงลานจอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อ

“หมาป่าอีกแล้วเหรอ”

“มีอะไรรึเปล่าคะ?”

ฝ้ายเอียงคอสงสัยให้กับทัตที่บ่นอุบด้วยสีหน้าหงุดหงิด

เพราะไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงร้านสะดวกซื้อ หรือมอนเสตอร์ที่ปรากฏตัวในสถานการณ์เดียวกัน มันพาลให้เขานึกถึงเจ้าหมาป่าขนติดไฟที่เจอในคืนแรก

คงไม่แปลกที่ทัตจะฝังใจกับมัน นั่นเพราะเจ้าหมาป่าตัวนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ทัตเข้ามาสู่วังวนของสถานการณ์ประหลาดแบบนี้

“เคยโดนไอ้ตัวคล้าย ๆ กันกินแขนน่ะ”

“หวา…”

ทัตเล่าให้ฟังทำเอาฝ้ายตัวสั่นไปแวบนึงด้วยความขนลุก

ไปพร้อม ๆ กับที่เดินออกไปนอกตัวร้าน หนนี้เสียงกระดิ่งแจ้งเตือนตอนประตูเลื่อนเปิดเป็นเพราะทัตออกไปเผชิญหน้ากับมัน ไม่ใช่เพราะปล่อยให้พวกมอนสเตอร์เข้าหาเขาก่อนแบบครั้งแรกนั่น

“พี่ขอลองอะไรหน่อยนะ”

“…ถ้างั้นหนูจะระวังหลังให้ค่ะ”

ฝ้ายพยักหน้าตามคำขอของทัตอย่างว่าง่ายแต่ยังไม่ได้เรียกอาวุธคู่ใจออกมา

ในขณะที่ทัตนั้นเดินเข้าไปหาเจ้าหมาป่ายักษ์ขนาดสูงกว่าตัวที่เคยเจอครั้งแรกเกือบ 2 เท่า เพราะเลเวลของมันมากกว่า 70 ซึ่งนับได้ว่าสูงเอามาก ๆ

ถึงแบบนั้น เลเวลของฉันคือ 98

มันไม่ใช่คู่มือแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะประมาท

เพราะงั้น… ขอเอาจริงแต่แรกเลยแล้วกัน!

ทัตตระหนักสถานการณ์ก่อนกระทืบเท้า เสกเวทมนตร์ด้วยสกิลเวทเกราะเปลี่ยนพื้นตรงหน้าให้เปลี่ยนเป็นทางน้ำแข็งทอดยาวไปจนถึงจุดที่เจ้าหมาป่าอยู่ในพริบตาจนขาของมันถูกยึดไว้กับพื้น

มันกลายเป็นเป้านิ่งให้ทัตเล็งยิงด้วยเวทยิงธาตุเพลิงประสิทธิสายฟ้าอันเป็นเวทมนตร์ที่แรงที่สุดของเขา

หอกเพลิงจึงลอยอยู่เหนือหัวทัตจำนวน 5 เล่มอย่างง่ายดายเพราะเขามีสกิลผสานเวทเลเวล 11 ทำห้ใช้เวทมนตร์พร้อมกันได้ถึง 12 อย่าง

2 เล่มถูกยิงออกทันทีและรวดเร็ว ไปยังจุดที่เจ้าหมาป่าถูกล็อคขาทั้งสี่ข้างไว้อยู่ ด้วยความรุนแรงร้อนระอุของเปลวเพลิงระดับนี้ หากโดนเต็ม ๆ มันจะต้องไหม้เป็นตอตะโกอย่างแน่นอน

แต่… แน่นอนว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น

โฮกกกกกก!!!!!!

ก่อนหอกเพลิงจะพุ่งกระทบร่างของเจ้าหมาป่า มันก็คำรามลั่นอย่างรุนแรงจนกระจกร้านสะดวกซื้อแตกเป็นเสี่ยงแต่ไม่ส่งผลกับพวกทัต

เป็นพริบตาเดียวกับที่ขาทั้งสี่ของมันถูกอาบด้วยเพลิงจนละลายน้ำแข็งที่ทัตสร้างขึ้นตรงเท้าของมันจนหมด นั่นคือก่อนที่มันจะกระโดดพุ่งเข้าหาทัตเป็นทั้งการหลบหอกเพลิงและร่นระยะเข้าจู่โจมในเวลาเดียวกัน

ทัตอาศัยจังหวะนั้นยิงหอกที่เหลืออีก 3 เล่มใส่มันพร้อม ๆ กับร่ายเพิ่ม รักษาจำนวนหอกเพลิงไว้ที่ 3 เล่ม แต่เจ้าหมาป่ายักษ์มันก็พุ่งตัวหลบไปด้านข้างได้ทุกครั้ง และยังไม่ลืมที่จะร่นระยะพุ่งเข้าหาทัตเรื่อย ๆ อีก

ฉลาดซะด้วย… คงคิดว่าเราเป็นนักเวทที่อ่อนระยะประชิดล่ะสิ

แต่เสียใจด้วยว่ะ!

ทัตแสดงความสมเพชแก่สัตว์ร้ายในจังหวะที่มันง้างคมเขี้ยวเข้าใส่ ด้วยความมั่นใจแก่การปิดฉากหรือไม่งั้นก็ถึงจุดที่ความกระหายล้นความอดทนของมัน

นั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทัตอาบสายฟ้าที่ขาสองข้าง เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงประหนึ่งสายฟ้าฟาดหลบการโจมตีจากคมเขี้ยวของเจ้าหมาป่าไปอีกฝั่ง ก่อนอาบเพลิงและสายฟ้าไว้ที่หมัดขวา

ก่อนจะอัดใส่กลางหน้าของมันเต็มแรงจนได้ยินเสียงกะโหลกของมันแตกร้าว ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของมันในตอนที่ดิ้นทุรนทุราย

พอไม่ใช่บอสแล้ว ก็ดูไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่เลยแฮะ

ทัตคิดแบบนั้นในจังหวะที่เห็นช่องว่างจากการดิ้นทรมานของมัน แล้วจัดการยิงหอกเพลิงประสิทธิสายฟ้า 5 เล่มใส่มันพร้อมกันจนเกิดระเบิดควันฟุ้งจากความรุนแรงของการโจมตี

หลังควันจางหายไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแค่ซากของเจ้าหมาป่ายักษ์กับพื้นซีเมนต์ที่แตกละเอียด ก่อนที่ร่างของมอนสเตอร์จะสลายกลายเป็นธุลีสีทอง

“ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะพี่ทัต” นั่นเป็นจังหวะที่ฝ้ายเดินเข้ามาหาทัตด้วยสีหน้าชื่นชม การวิ่งเตาะแตะเข้ามาทำให้ทัตเผลอคิดเสียมารยาทไปว่าเห็นภาพลวงตาของหูกับหางสุนัขส่ายดุกดิกไปมา

และแม้มันจะดูน่ารัก แต่แน่นอนว่าเขาคงพูดเรื่องนั้นออกมาไม่ได้เพราะมันเสียมารยาท

“ก็นะ… ถึงมันจะตายง่ายกว่าที่คิดไปหน่อยก็เถอะ แต่ไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมขนาดนั้นหรอกมั้ง” ทัตเลยเปลี่ยนไปเรื่องอื่นแทนตามเคย

“ไม่หรอกค่ะ ถ้าเป็นคนที่เลเวล 98 คนอื่น คงสู้กับมอนสเตอร์เลเวล 75 ได้ยากกว่านี้แน่ค่ะ”

“พี่โชคดีที่มี ‘The One’ มากกว่า” ทัตพูดแล้วก็ยักไหล่

เพราะถ้าว่ากันตามผลลัพธ์… สาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายดาย ทั้งเลเวลสกิลที่เหนือกว่าคนอื่นในเลเวลเดียวกัน รวมถึงความเชี่ยวชาญคลาสหรือความสามารถทางกายที่สูงผิดปกติล้วนมีสาเหตุมาจากเรื่องนั้น

ดังนั้น ถ้าบอกว่าผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นจากฝีมือของทัตเพียงอย่างเดียวมันก็คงเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหน่อย

แต่ในตอนที่คิดแบบนั้น ฝ้ายก็กลับส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดถ่อมตัวของทัตทันที

“ไม่จริงเลยค่ะ คนที่สร้างตัวเลือกนั้นขึ้นมาก็คือพี่ทัตเองนะคะ เพราะงั้นความแข็งแกร่งนี้ก็เป็นของพี่ทัตอยู่ดีค่ะ” ฝ้ายไม่คิดแบบนั้น เธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าความสามารถทั้งหมดมันจะไม่กลายเป็นของทัตหากเขาตัดสินใจผิดตั้งแต่ตอนแรกที่เลือกอัพเลเวลแตกต่างจากคนอื่น

ดังนั้น แม้ว่าทัตจะได้พลังนี้มาจากความสามารถในการอ่านสถานการณ์ครึ่งหนึ่งและดวงอีกครึ่งหนึ่ง แต่มันก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาได้พลังนี้มาด้วยตัวของเขาเอง

“…ก็ได้ งั้นเอาตามที่ฝ้ายว่าแล้วกันนะ”

ได้ยินฝ้ายแสดงความเชื่อมั่นขนาดนั้นออกมา แม้จะมีเรื่องที่ติดอกติดใจแต่ทัตก็คงเลี่ยงไม่ได้และจำต้องเชื่อในตัวเองตาม

ในจังหวะนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่มีเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของฝ้ายดังขึ้นมาพอดี

แล้วพอฝ้ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เธอก็รีบคว้าข้อมือของทัตเสียอย่างนั้น

“หนีกันเถอะค่ะพี่ทัต”

“เอ๋!?”

ทัตเอียงคอสงสัย แต่ก็ยอมให้ฝ้ายลากเขาออกไปจากร้านสะดวกซื้อตามที่เธอต้องการ

ฝ้ายจับมือทัตวิ่งออกห่างจากจุดเกิดเหตุเกือบ 100 เมตรในเวลาไม่กี่วินาที เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับคนที่มีพละกำลังเหนือมนุษย์อย่างพวกเขา

แล้วพอเวลาผ่านไปครู่เดียว รถบรรทุกคนแบบเดียวกับที่ทัตเคยนั่งตอนสำรวจในเมืองช่วงคืนจันทร์เต็มดวงก็ขับมาจอดด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ เพียงเท่านั้นทัตก็พอจะเดาได้ว่าทำไมฝ้ายถึงอยากจะหลบออกจากที่ตรงนั้น

“นั่นคือรถที่ไปรับพ่อกับคุณเฟรย์สินะ มาเร็วจริง ๆ” ทัตถามเพื่อยืนยันแต่ก็มั่นใจพอตัว

“ก็ต้องมาแสตนบายก่อนสถานการณ์จะเริ่มนี่คะ ไม่งั้นเลเวลรวมของหนูจะทำให้มอนสเตอร์ละแวกนี้แข็งแกร่งเกินไป”

และดูเหมือนว่าทัตจะเดาถู แถมดูเหมือนจะมีเหตุผลอันสมควรอย่างอื่นรวมอยู่ด้วย เพราะถ้ามีมังกรโผล่ออกมาแบบวันแรกที่ทัตเจอเนื่องจากมีมิ้นที่เลเวล 90 อยู่ใกล้ ๆ มันก็จะแย่เอา

ยิ่งกับฝ้ายที่มีเลเวลสูงถึง 120 ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าศัตรูแบบไหนจะปรากฏตัวออกมา

“แล้วถ้าพี่ทัตแกร่งขนาดนี้ ต่อให้เป็น ‘Chivalry’ พี่ก็น่าจะเอาอยู่นะคะเนี่ย” ในตอนนั้นฝ้ายก็แสดงความเห็นน่าประหลาดใจขึ้นมา แม้ว่าตัวตนที่ถูกกล่าวถึงจะเป็นสิ่งที่ทัตยังไม่เคยพบเคยเห็นก็เถอะ แต่ถ้าเป็นคนที่เคยเจอมันมาก่อนอย่างฝ้าย คำพูดของเธอก็ดูมีความน่าเชื่อถือในระดับมากถึงมากที่สุด

“เอาจริงดิ” แต่ทัตยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

แม้ในใจจะได้รับความมั่นใจขึ้นมามากแล้วก็ตาม อาจเพราะคิดว่าฝ้ายยกยอเขาเกินความเป็นจริงนั่นแหล่ะ

“จริงสิคะ” ฝ้ายถึงพยักหน้ายืนยันอีกหน

“แต่ถ้าเจอพวกมันหนูก็ยังแนะนำให้หนีอยู่ดี ไม่สิ… ถ้าไม่หนี หนูไม่ยกโทษให้พี่ทัตแน่ค่ะ”

“สรุปยังไงแน่เนี่ย”

ทัตยิ้มแห้งก่อนหลุดหัวเราะกับการกลับกลอกของฝ้าย แต่ก็เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าเธอเป็นห่วงเขามากถึงแนะนำอย่างนั้น

และในขณะที่ความเป็นห่วงของฝ้ายมีให้แก่ทัต เหตุการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นก็ทำให้ทัตนึกถึงคนที่อยู่ห่างไกลออกไปเหมือนกัน

เขาถึงเผลอเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนในจังหวะนั้น โดยไม่รู้ตัว

“กำลังเป็นห่วงพี่พิมเหรอคะ?” ฝ้ายเห็นแบบนั้นก็แทบจะเดาได้ทันทีเพราะคงไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้ว สีหน้าของเธอถึงหมองลงนิดหน่อยและทัตเองก็สังเกตเห็นด้วยเหมือนกัน

“ก็ทางนั้นไม่ได้มีกำลังหนุนสุดยอดแบบพี่นี่นา” ทัตถึงลูบหัวฝ้าย พยายามปลอบใจเธอแม้คิดตามหลักแล้วมันไม่ควรจะได้ผลเพราะเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฝ้ายรู้สึกแบบนั้นก็ตาม

แต่… มันได้ผล ฝ้ายเผยยิ้มออกมาแทบจะทันทีที่ความอบอุ่นจากฝ่ามือของทัตลูบเรือนผมบนศีรษะของเธอ

นั่นคงเป็นอีกครั้งที่ทำให้ทัตรวมถึงตัวฝ้ายเองเข้าใจ… ว่าสิ่งที่ฝ้ายต้องการจริง ๆ มีแค่ความอบอุ่นจากทัตไม่ใช่สถานะ

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะพี่ทัต หนูส่งคนไปช่วยพี่พิมตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องแล้วล่ะค่ะ”

“สมแล้วล่ะ ขอบใจมากนะ”

อารมณ์ของฝ้ายถึงดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติ พร้อม ๆ กับข่าวดีที่ส่งต่อให้ทัตได้สบายใจ ดูท่าฝ้ายจะเตรียมการเรื่องทั้งหมดไว้อย่างดีแล้ว

สมกับเป็นหัวหน้าหน่วยจริง ๆ แฮะ… ทัตคิดแบบนั้น เป็นความชื่นชมแบบที่ไม่มีอะไรแอบแฝง

แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่มีอะไรแอบแฝง… ก็ดูท่าจะเป็นสาวน้อยที่เอื้อมมือเข้าไปกุมมือของทัตไว้แน่นทั้งสองข้างอย่างฝ้ายมากกว่า

“ฝ้าย?”

ความกะทันหันสร้างความสับสนให้ทัตไม่เบา แต่นั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวกุมมือของทัตแน่นยิ่งขึ้นไปอีก

จนกว่าปากของเธอจะกล้าเปิดออกมา ก็เป็นเวลาหลังจากนั้นอีกครู่นึง

“ถึงพี่ทัตมีแฟนแล้ว… แต่ก็อย่าทิ้งหนูไว้คนเดียวนะคะ”

ฝ้ายเผยความกังวลผ่านเสียงที่สั่นเครือ นั่นคงเป็นเรื่องที่เธอคิดกลัวมาตั้งแต่แรก

เพราะไม่มีสิทธิห้ามและในใจเองก็อยากให้ทัตมีความสุข ถึงแบบนั้นก็ไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นั่นคงเป็นความขัดแย้งทางความรู้สึกที่เธอมีมาตลอดวัน และคงเป็นเหตุผลที่ฝ้ายพยายามหาทางใกล้ชิดทัตมาตลอดทั้งวันนี้ด้วย

คงต้องคุยเรื่องนี้กับพิมอย่างจริงจังแล้วสินะ… ทัตคิดแบบนั้นในตอนที่ยิ้มให้ฝ้าย พร้อม ๆ กับเลื่อนมือขึ้นลูบหัวของเธอไปมาอีกครั้ง

เพราะไม่ว่าพิมจะว่ายังไงเขาก็มีสิ่งที่ต้องทำอยู่ นั่นคือการสานต่อสัญญาที่ให้ไว้กับน้องสาวตัวน้อยของเขา

“แน่อยู่แล้ว พี่ไม่ทิ้งเราหรอก… ก็สัญญาไว้แล้วนี่นา”

เรื่องนั้นจะไม่เปลี่ยนไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น สัญญานั้นจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขาเสมอ ซึ่งมันคงจะดีถ้าฝ้ายเข้าใจความรู้สึกของทัตนี้และเลิกกังวลเช่นนี้อีก

แล้วดูเหมือนความรู้สึกของทัตจะส่งไปถึง ฝ้ายถึงยิ้มออกมาด้วยความปลอดโปร่งออกมา

“ค่ะ หนูเชื่อพี่ทัตนะคะ”

สีหน้าของเธอดีขึ้นมากจนเหมือนกับจะทำได้ทุกอย่างและกลับมาอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดแล้ว

แต่เวลาผ่อนคลายก็มีไม่นานเท่าไรนัก ทั้งสองคนถึงได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นหลายต่อหลายครั้งทั่วทุกทิศทาง

เพราะเวลาผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ความวุ่นวายของสถานการณ์จึงกำลังปะทุถึงจุดขีดสุด ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวันจนแทบจะจับจังหวะได้อยู่แล้ว

“เอาล่ะ คืนนี้ยังอีกยาวไกล มาพยายามกันเถอะ” ทัตถึงกระตุ้นฝ้ายอีกครั้งด้วยการตบหลังเบา ๆ นั่นทำให้ฝ้ายยิ้มออกมาอีกครั้ง

แม้ก่อนหน้านี้เธอจะมีความเด็ดเดี่ยวและแข็งแกร่งกว่าใครแต่ก็ไม่ได้มั่นคงและเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเท่านี้

นี่จึงเป็นจุดที่แตกต่างระหว่างเมื่อก่อนกับเวลานี้ เนื่องจากในเวลานี้เธอมีกำลังใจจากทัตเคียงข้างและมันจะไม่เกิดขึ้นเลยหากขาดสิ่งที่เรียกว่าความสนิทสนม

“นั่นสินะคะ ก็พรุ่งนี้มีเดทสำคัญรอพี่ทัตอยู่นี่นา”

สนิทสนม… มากพอจะแซวเรื่องส่วนตัวโดยไม่ต้องเกรงใจทัตเกินไปเหมือนกับก่อนหน้านี้ด้วย

แต่สำหรับทัต พอถูกพูดแบบนั้นใส่เท้าที่วิ่งออกไปก็ต้องหยุดชะงักลงทันที นี่

ถ้าเขาเสียสมดุลไปก็คงล้มก้นคะมำไปแล้ว แต่โชคดีที่ไม่เป็นอย่างนั้น

“นี่แอบฟังจริง ๆ ด้วยสินะ” ทัตตั้งข้อสังเกตด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ อีกครั้งเพราะไม่มีเหตุผลอื่นที่อธิบายได้ แต่ถึงมันจะเป็นแบบนั้นเขาก็โกรธเธอไม่ลงอยู่ดี

“ไม่เห็นรู้เรื่องเลยค่ะ”

ในเมื่อฝ้ายแลบลิ้นหยอกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างน่ารักน่าชัง… เมื่อน้องสาวของเขาทำท่าทางแบบนั้นออกมาใครหนอจะโกรธปีศาจน้อยตนนี้ได้ลงคอ