ตอนที่ 180 ลำเค็ญ
มีเสียงกุกกักดังขึ้นมาจากด้านหลัง เจียงซื่อรีบปิดหน้าต่างโดยเร็ว

จมูกเอ้อร์หนิวทิ่มเข้ามาในมุ้งลวด ทำเอามุ้งลวดที่บางราวกับปีกจั๊กจั่นเป็นรู เผยให้เห็นจมูกสีดำที่เปียกชุ่ม

เจียงซื่อหันขวับ เห็นเซี่ยชิงเหยาแค่พลิกตัวถึงได้โล่งอก จากนั้นก็หันหลังกลับมา

จมูกสีดำขยับไปมา ไม่นึกเลยว่าจะหยุดค้างอยู่ที่รู

มุ้งลวดสะท้อนเงาของตัวสุนัขลางๆ

เจียงซื่อเม้มปากอย่างอดไม่ได้ แล้วเปิดหน้าต่างใหม่อีกรอบ

สุนัขตัวใหญ่มองเจียงซื่อด้วยใบหน้าไม่รู้สึกผิด แต่เหมือนรู้ว่าต้องห้ามทำให้คนอื่นตกใจตื่น มันจึงเชื่อฟังไม่ส่งเสียงร้อง

“อีกเดี๋ยวจะหาอะไรให้เจ้ากิน จากนั้นก็รีบกลับไปเสีย เข้าใจไหม” พอคิดว่าเอ้อร์หนิวคงหิว เจียงซื่อจึงรู้สึกสงสาร แต่ก็กลัวคนมาเห็น เลยเอ่ยกำชับขึ้นเบาๆ

“อาซื่อ เจ้าพูดกับใครอยู่หรือ”

เจียงซื่อหันกลับมาโดยพลัน เห็นเซี่ยชิงเหยาลุกขึ้นมานั่งแล้ว ตาทั้งสองข้างบวมเป่งอย่างกับลูกเหอเถา[1]และกำลังงัวเงีย

เอ้อร์หนิวรีบหลบลงไปใต้หน้าต่างอย่างไว

เจียงซื่อเดินกลับไป “ข้าเห็นว่าอากาศดี ก็เลยพูดพึมพำกับตัวเองน่ะ”

เซี่ยชิงเหยาไม่ได้สงสัย เรียกสาวรับใช้เข้ามาล้างหน้าล้างตาด้วยความงัวเงีย แล้วก็นั่งลงทานอาหารเช้าอย่างเฉื่อยชาที่โต๊ะ

อาหารเช้าที่ถูกวางอยู่ตรงหน้านางมีเพียงแค่ข้าวต้มอ่อนๆ ชามหนึ่ง

ตามกฎเมื่อพ่อกับแม่เพิ่งเสีย ภายในสามวันจะสามารถดื่มได้แค่น้ำเปล่า ไม่มีแม้แต่ข้าวต้มชามนี้หรอก ทว่าว่ากฎมันไม่ชีวิต คนต่างหากที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยชิงเหยาเป็นหญิงสาวที่บอบบาง ถึงจะเป็นชายหนุ่มที่แข็งแรง แต่หากสามวันไม่กินข้าวดื่มแต่น้ำ ตอนกลางวันร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า ตกดึกต้องเฝ้าศพ เกรงว่าหลังจากสามวันผ่านไปก็คงมีอาการสาหัสพอสมควรเช่นกัน

ห้ามแตะต้องเนื้อสัตว์ แต่ข้าวต้มที่ไม่ใส่อะไรเลยนั้นไม่มีใครว่าอะไรหรอก

นอกจากข้าวต้มอ่อนๆ หนึ่งชามที่วางอยู่ตรงหน้าเจียงซื่อแล้วก็ยังมีซาลาเปาผักอีกสองลูก

ซาลาเปาผักใหญ่กว่าหัวเด็กอีก ซาลาเปาสองลูกบวกกับข้าวต้มหนึ่งชามแค่นี้มันก็เพียงพอแล้ว แต่พอนึกถึงเอ้อร์หนิวที่อยู่ใต้หน้าต่าง เจียงซื่อก็กลุ้มใจ

เซี่ยชิงเหยาไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว กินข้าวต้มไปได้สองคำก็ไม่อยากกินอีก ได้แต่หยิบช้อนคนข้าวต้มไปมา

“อาซื่อ เจ้าไม่ต้องสนใจข้า รีบกินตอนที่ยังร้อนเถอะ หากไม่พอเรียกสาวรับใช้ยกเข้ามาอีกได้เลย”

เจียงซื่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาอย่างไร้ยางอาย “งั้นยกซาลาเปาเข้ามาอีกสิบอัน”

สาวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเสียงหลง “สิบอันหรือเจ้าคะ”

เซี่ยชิงเหยามองค้อนสาวรับใช้ “พูดมาก! รีบไปเอามา!”

นึกไม่ถึงเลยว่าอาซื่อจะกินจุขนาดนี้ ที่แท้คนเราเมื่อโตขึ้นย่อมเปลี่ยนไปจริงๆ

ไม่นานซาลาเปาผักหนึ่งจานก็ถูกยกเข้ามา ซาลาเปาวางทับกันเป็นชั้น ผิวบางไส้แน่น จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ในจานเครื่องเคลืบขาว

สาวรับใช้แอบชำเลืองมองเจียงซื่อ ยากที่จะปิดบังความประหลาดใจไว้

เจียงซื่ออดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

จ้องขนาดนี้ นางจะให้อาหารเอ้อร์หนิวได้อย่างไร

“มีคนไม่สนิทอยู่ ข้ากินไม่ลง เจ้าออกไปก่อน”

สาวรับใช้เห็นเซี่ยชิงเหยาไม่ตอบโต้ จึงถอยออกไปเงียบๆ

เซี่ยชิงเหยากินข้าวด้วยท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใจลอยอยู่บ่อยครั้ง เจียงซื่อจึงถือโอกาสโยนซาลาเปาผักออกไปนอกหน้าต่าง กว่าซาลาเปาในจานจะลดลงก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วม

นางรู้ว่าอวี้ชีเป็นตัวสร้างปัญหา!

“วันนี้ญาติทางฝั่งท่านแม่คงจะมาแล้ว” เซี่ยชิงเหยาที่กำลังเดินไปที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายเอ่ยขึ้นเสียงเบา

เจียงซื่อตบหลังมือเซี่ยชิงเหยาเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

ภายในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย เซี่ยอินโหลวกำลังนั่งเผากระดาษเงินกระดาษทอง

ท่ามกลางเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ กระดาษเงินกระดาษทองกลายเป็นขี้เถ้าปลิวขึ้นมา เด็กหนุ่มสายตาจดจ่อ สีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง

“พี่ใหญ่…” ทันทีที่เซี่ยชิงเหยาเห็นเซี่ยอินโหลว น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาอย่างอดไม่ได้

เซี่ยอินโหลวชะงักมือ เงยหน้ามองเซี่ยชิงเหยา จากนั้นก็เหลือบมองเจียงซื่อ พยักหน้าทักทาย

เซี่ยชิงเหยานั่งคุกเข่าลงข้างกายเซี่ยอินโหลว พลางรับกระดาษในมือเขามาปึกหนึ่งไปเผา แล้วพูดพึมพำ

“เจ้ากับน้องเจียงซื่อเข้าไปนั่งข้างในก่อน รอญาติพี่น้องมาแล้วค่อยออกมา”

“พี่ใหญ่ ข้าอยากอยู่กับท่าน”

เซี่ยอินโหลวทำหน้าเย็นชา “ทำตามที่ข้าพูด”

ตอนนี้เซี่ยชิงเหยาเหลือพี่น้องร่วมสายเลือดแค่เซี่ยอินโหลวเพียงคนเดียวแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจโต้เถียงกับพี่ชายได้ จึงลุกเดินเข้าไปด้านในเงียบๆ

ช่วงกลางวันมีผู้คนทยอยมาร่วมพิธี หากญาติที่เป็นสตรีมาถึง เซี่ยชิงเหยาก็จะออกมาคารวะ

พอเห็นว่าจะถึงเวลาบ่าย ผู้ดำเนินพิธีตะโกนขึ้น “นายท่านและไท่ไท่จากตระกูลจางแห่งเหอตง มาถึงแล้วขอรับ”

ตระกูลจางแห่งเหอตงเป็นตระกูลฝั่งหย่งชังปั๋วฮูหยิน และยังเป็นตระกูลใหญ่ในท้องถิ่น

ไม่นานทั้งกลุ่มก็เดินเข้ามา เสียงร้องไห้ดังระงม

สตรีสองสามนางโผกอดเซี่ยชิงเหยาไว้พร้อมกับร้องไห้ จากนั้นก็พยุงกันเข้าไปด้านในห้องโถง

หนึ่งในนั้นมีสตรีนางหนึ่งเช็ดน้ำตาแล้วกอดเซี่ยชิงเหยาไว้แน่น “โถ หลานคงจะลำบากมากแน่เลย ป้าสะใภ้ขอโทษที่มาสายไป”

หญิงสาวกลุ่มนี้มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทุกคนต่างล้อมรอบเซี่ยชิงเหยาไว้แล้วพูดว่าเห็นใจนางเหลือหลาย

สถานการณ์เช่นนี้ การมีอยู่ของเจียงซื่อก็ค่อยๆ หายไป

“ตอนนี้ใครเป็นผู้ดูแลเรื่องในจวน” สตรีนางหนึ่งเอ่ยถาม

เซี่ยชิงเหยาเอาแต่ร้องไห้ไม่พูดไม่จา

สตรีนางหนึ่งสบสายตากับผู้อื่น แค่เด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีพวกนี้ได้อย่างไรกัน

“ชิงเหยาเอ๋ย พอท่านยายของเจ้าทราบข่าวว่าแม่ของเจ้าตายก็เป็นลมหมดสติไปทันที ขณะที่หมดสติก็ยังพูดพึมพำชื่อเจ้าออกมา เหล่าไท่ไท่เป็นห่วงเจ้ามากนะ” สตรีนางหนึ่งเช็ดน้ำตา พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าอย่ากลัวไปเลย มีข้ากับท่านลุงของเจ้าอยู่ จะต้องจัดการเรื่องงานศพของพ่อกับแม่เจ้าได้อย่างดีแน่นอน ไม่ให้ผู้อื่นมารังแกเอารัดเอาเปรียบเด็กน้อยอย่างพวกเจ้าแน่”

“ข้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก ท่านป้าไปพูดกับพี่ชายเถิดเจ้าค่ะ” เซี่ยชิงเหยาพูดอย่างไร้ความรู้สึก

สตรีผู้นั้นชะงัก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ก็ได้ เดี๋ยวป้าจะกำชับพี่ชายของเจ้าอีกที พอดีเลยที่ลุงของเจ้ามีเรื่องต้องคุยกับพี่ใหญ่ของเจ้าด้วย”

พอเห็นว่าเซี่ยชิงเหยามีท่าทางไม่เข้าใจ นางจึงไม่พูดมากความ แล้วร้องไห้ให้กับโชคชะตาชีวิตอันเลวร้ายของพี่น้องตระกูลเซี่ยต่อ

เมื่อถึงเที่ยงวัน เซี่ยอินโหลวก็ไล่ให้เซี่ยชิงเหยากลับห้องไปพักผ่อน ทว่าตัวเขากลับดูเหนื่อยล้า แม้แต่ริมฝีปากก็แห้งแตก

เซี่ยชิงเหยาพูดเกลี้ยกล่อมให้พี่ชายไปพักผ่อน แต่ในใจก็รู้ว่าตอนนี้จวนปั๋วอาศัยพี่ชายประคับประคองอยู่ผู้เดียว แม้นางจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็คงไม่มีผล เช่นนั้นจะทำให้พี่ชายหงุดหงิดเสียเปล่า จึงเก็บไว้ไม่พูด แล้วเดินกลับห้องไปทันที

อันที่จริงมีหลายเรื่องมากที่นางไม่เข้าใจ แต่นางรู้ดีว่าการทำตามคำสั่งพี่ชายในตอนนี้เป็นการเข้าใจว่าอะไรควรไม่ควรที่สุดแล้ว

เจียงซื่อแอบพูดเตือน “ชิงเหยา ข้าว่าจิ้วไท่ไท่[2]ของเจ้านอกจากจะมาร่วมพิธีแล้วต้องมีจุดประสงค์อื่นแฝงแน่ เจ้าระวังตัวด้วย”

เซี่ยชิงเหยาพยักหน้าเบาๆ ทิ้งสาวรับใช้คนหนึ่งไว้ที่นี่เพื่อคอยจับตาดู

ทั้งสองกลับเข้าห้อง ล้างหน้าล้างมือ เพิ่งจะพักได้ไม่นานสาวรับใช้ก็รีบเดินเข้ามา สีหน้ากังวล “คุณหนู จิ้วไท่ไท่กับปาไท่ไท่ทะเลาะกันเจ้าค่ะ”

‘ปาไท่ไท่’ ที่สาวรับใช้พูดถึงก็คือสตรีที่พูดกับเซี่ยชิงเหยาเมื่อตอนเจียงซื่อเพิ่งเข้าห้องมาเมื่อวาน

เซี่ยชิงเหยาเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงเย็นชา “ทะเลาะอะไรกัน เรื่องที่ผู้ใดจะมาดูแลจัดการเรือนของพวกเราใช่หรือไม่”

เห็นได้ชัด เมื่อครู่ตอนที่จิ้วไท่ไท่ถามแล้วเซี่ยชิงเหยาบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ที่จริงนางไม่ได้ไม่เข้าใจอะไรเลย

นางรู้อยู่แก่ในใจ และเพราะรู้อยู่แล้ว ถึงได้รู้สึกว่าการที่ไม่มีพ่อกับแม่เป็นที่พึ่งพิงมันแสนเศร้ารันทดเพียงใด

ตอนนี้นางเหลืองเพียงแค่พี่ชายแล้วจริงๆ

สาวรับใช้ทำหน้าแปลกใจ “ไม่ใช่เจ้าค่ะ จิ้วไท่ไท่กับปาไท่ไท่ทะเลาะกันเรื่องแย่งกันจัดการงานแต่งงานของซื่อจื่อ บอกว่าจวนปั๋วไม่มีแม่งาน มันไม่ถูกต้องตามกฎ เลยคิดว่าถือโอกาสในช่วงไว้ทุกข์จัดการเรื่องงานแต่งงานไปเลย จะได้ไม่ต้องรออีกสามปี และถือเสียว่าเป็นการส่งนายท่านปั๋วกับปั๋วฮูหยินไปสู่โลกวิญญาณอย่างสงบด้วย”

เมื่อเซี่ยชิงเหยาได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

——————————

[1] เหอเถา คือลูกวอลนัท

[2] จิ้วไท่ไท่ คำเรียกภรรยาของพี่ชายหรือน้องชายของฮูหยิน