ตอนที่ 302 บุญก็ไม่สำคัญเท่ากับการเอาชีวิตรอด

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 302 บุญก็ไม่สำคัญเท่ากับการเอาชีวิตรอด

เมื่อฉินหลิวซีคิดได้ว่าเจ้าคนต่ำช้าซื่อหลัวกำลังปิดบังการใหญ่ที่พยายามตามหากระดูกพุทธะของตัวเอง นางก็รู้สึกไม่ดี

ตอนนี้กระดูกนิ้วข้อเดียวก็ทำให้ผีใหม่มีพลังเสียจนสามารถทำร้ายนางได้ แม้ว่าจะไม่ร้ายแรง แต่อย่างไรเสียก็ทำร้ายนางได้บ้างแล้ว เช่นนั้นหากคนต่ำช้าผู้นั้นรวบรวมกระดูกพุทธะได้ครบเล่า

จะไม่ถึงขึ้นอันเชิญเทพมังกรได้เลยหรือ

ฝ่ายนั้นเป็นถึงตาเฒ่าเมื่อหลายพันปีก่อน เป็นผู้ทรงพลัง แต่โลกในปัจจุบันนี้เป็นยุคที่เรียกคนธรรมดาทั่วไปว่าฮ่องเต้ ไม่ใช่ผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนและมีเวทมนต์คาถา หากปล่อยให้ร่างกายของตาเฒ่ารวมร่างขึ้นมาอีกครั้งจริงๆ ใครจะสามารถต้านทานได้

หากโศกนาฏกรรมครั้งก่อนเกิดขึ้นอีกจนโลกพังทลายลง ยังจะกล้าเล่นอยู่หรือไม่

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ นางก็อยากจะประจานข้อผิดพลาดทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าต้าเฟิงเป็นเพียงระบบอำนาจฮ่องเต้ ไม่มีนักพรตบำเพ็ญเป็นเซียน เหตุใดจู่ๆ จึงได้มีจอมพุทธะปรากฏตัว

ช่างไร้สาระ

นางเป็นเพียงคนอ่อนแอที่ต้องการมีชีวิตสงบสุข

ฉินหลิวซีรู้สึกสับสนเล็กน้อย คิดว่าควรจะหาถ้ำเซียนสถิตดีหรือไม่ พาตาเฒ่าไปด้วย กลับคืนสู่ดินแดนเร้นลับ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่แน่นอนของฉินหลิวซี อาจารย์สืออวิ๋นก็อดยิ้มไม่ได้แล้วจึงเอ่ย “ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป ในเมื่ออย่างไรก็มาถึงก็ทำใจให้สงบเถิด สวรรค์ย่อมเตรียมการไว้แล้ว”

“การเตรียมการของสวรรค์ก็คือให้คนธรรมดาอย่างพวกเราที่ไม่มีพลังอำนาจไปเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ แล้วจะให้สงบได้อย่างไร ท่านอาจารย์ ท่านก็บอกแล้วว่าในตอนนั้นพุทธศาสนากับเต๋าต้องรวมพลังกันจึงจะจับเขาได้ แล้วตอนนี้ล่ะ”

อาจารย์สืออวิ๋นเอ่ย “พุทธศาสนากับเต๋าคงอยู่เสมอมา หากร่วมมือกันได้ครั้งหนึ่ง ย่อมสามารถร่วมมือกันได้เป็นครั้งที่สอง”

ฉินหลิวซียิ้ม “ท่านช่างเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่มารเอ้อฝูซื่อหลัวผู้นั้น นับว่าเป็นผู้ทรงพลัง ไหนเลยพวกเราจะสามารถเปรียบได้”

“ได้สิ” อาจารย์สืออวิ๋นมองนาง กล่าวว่า “ซื่อหลัวก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ฝึกฝนบำเพ็ญจนได้เป็นพุทธะ เขาถูกมองว่าเป็นตัวอัปมงคลมาตั้งแต่กำเนิด จึงยึดมั่นอุทิศตนแก่พุทธะเพื่อต้องการพิสูจน์ให้ชาวโลกเห็น…”

“ความจริงพิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นตัวอัปมงคลจริงๆ!” ฉินหลิวซีกล่าวต่อบทสนทนาของเขา “ชั่วร้ายจนถึงแก่นแท้!”

อาจารย์สืออวิ๋น “!”

เขาส่ายหัวอย่างจนปัญญา เอ่ย “อาตมาอยากบอกท่านว่าเขาเป็นพุทธะที่ฝึกฝนบำเพ็ญมาจากคนธรรมดา ไม่ใช่เทพเซียน ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ย่อมมีแท่นประหารเซียน กระบี่ประหารเทพ”

“ท่านอาจารย์ พวกเราอยู่ในโลกมนุษย์ ท่านและข้าต่างก็เป็นคนธรรมดา พวกเราอย่าเอ่ยถึงสิ่งที่เป็นเพียงมายาเหล่านั้นเลย” ฉินหลิวซีไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี โนเวลพีดีเอฟ

อาจารย์สืออวิ๋นยิ้มมุมปากพลางเอ่ย “ท่านบอกว่าพุทธศาสนาและเต๋าเป็นสิ่งมายา เช่นนั้นความสามารถของท่านจะอธิบายอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงราษฎรธรรมดาทั่วไป เพียงแค่สหายร่วมลัทธิเต๋าของท่าน แม้กระทั่งอาจารย์ผู้อาวุโส มีสักกี่คนที่มีความสามารถเช่นท่าน เห็นได้ว่าเส้นทางการฝึกบำเพ็ญ ประการแรกอยู่ที่การปฏิบัติ ประการที่สองอยู่ที่การรู้แจ้ง ท่านมีความรู้แจ้งที่แข็งแกร่ง ย่อมเก่งกว่าผู้อื่น”

“หากเอ่ยถึงเรื่องเทพเซียน ไม่ต้องเอ่ยถึงเทพทั้งสามแห่งลัทธิเต๋าของท่าน เพียงแค่ศิษย์ภายใต้การดูแลของพวกเขาในแต่ละรุ่น อย่างเช่นเจ้าลัทธิจางเต้าหลิง มหาเทพกวนตี้และคนอื่นๆ ก็ฝึกฝนจนกลายเป็นเทพเซียนอยู่บนสวรรค์จากที่เป็นคนธรรมดาไม่ใช่หรือ หรือว่าบุคคลเหล่านี้ก็เป็นสิ่งมายา”

ฉินหลิวซีท่าทางลำบากใจ เอ่ย “ท่านอาจารย์ความรู้กว้างขวางจริงๆ เข้าใจลัทธิเต๋าของข้าอยู่ไม่น้อย”

“พุทธศาสนาและเต๋าไม่แบ่งแยก เพียงแค่รู้บางเล็กน้อยก็เท่านั้น” อาจารย์สืออวิ๋นยิ้มเล็กน้อย กล่าวอีกว่า “ต่อจากหัวข้อเมื่อครู่นี้ ท่านก็รู้ว่านี่คือโลกมนุษย์ หากเซียนลงมา สวรรค์ย่อมระงับพลังเวทมนต์เพื่อแสดงถึงความยุติธรรม มิเช่นนั้นเมื่อเซียนตกลงมายังโลกมนุษย์ ด้วยพลังเวทมนต์ของเขา สามารถทำลายโลกมนุษย์ได้เพียงแค่ปลายนิ้ว จะไม่เป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์หรือ ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าซื่อหลัวจะรวบรวมกระดูกพุทธะกลับคืนมาประกอบร่างใหม่อีกครั้ง สวรรค์ก็จะทำให้พลังของเขาอ่อนแอลงเท่าเทียมกับมนุษย์โลก”

ฉินหลิวซีชี้ไปบนท้องฟ้า “ท่านเชื่อวิถีแห่งสวรรค์หรือ หากเป็นสิ่งที่ดีจริง ก็ไม่มีทางปล่อยคนต่ำช้าเช่นนี้ออกมาทำร้ายผู้คน”

ครื้น ครื้น

ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องอยู่ข้างนอก แล้วท้องฟ้าก็มืดลง

ฉินหลิวซี “…”

ดูสิ ว่าร้ายเพียงหน่อยเดียวก็ไม่ได้!

อาจารย์สืออวิ๋นมองนางราวกับเป็นรุ่นน้องจอมซน เอ่ยว่า “อย่าได้กังวลโดยไร้มูลเหตุ ไม่ต้องพูดถึงว่าหลายปีผ่านไป วัดพุทธใหญ่เก้าแห่งสาปสูญไปแล้วหกแห่ง ยังไม่รู้ว่ากระดูกพุทธะที่เหลืออยู่หนใด เขาจะสามารถรวบรวมได้ครบหรือไม่ก็ยากจะบอกได้ สิ่งที่พวกเราทำได้คือเฝ้าระวังและค้นหาร่องรอยของเขา”

“รวบรวมได้เพียงครึ่งหนึ่งก็เพียงพอที่จะต่อกรกับพวกเราแล้ว” ฉินหลิวซีกล่าวพึมพำ

เมื่อคิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่ากระดูกพุทธะที่อยู่ตรงเอวของนางนั้นร้อนดั่งมันเผาที่อยู่ในมือ หากเจ้าคนต่ำช้าผู้นั้นรู้ว่ามีกระดูกนิ้วหนึ่งข้ออยู่ที่นาง เขาจะมาสังหารนางในทันทีหรือไม่

ท่านผู้เฒ่า การเดินทางทำงานครั้งนี้นับว่าขาดทุนไปมากจริงๆ

หลังคาสีทองเพียงหลังคาเดียวไม่คุ้มที่จะเสี่ยงเลยจริงๆ!

นางก็ยังไม่เห็นด้วยกับวาจาของท่านอาจารย์สืออวิ๋นที่ว่าวิถีแห่งสวรรค์เชื่อถือได้ รู้สึกว่าการเตรียมหลบหนีตลอดเวลาคือทางเลือกที่ดีที่สุด

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉินหลิวซีก็ถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านว่าในใต้หล้านี้มีสถานที่ปลอดภัยหรือไม่”

“สถานที่สุขสงบคืออะไร ที่ใดสุขสงบที่นั่นคือบ้าน” อาจารย์สืออวิ๋นดูเหมือนจะมองความคิดของนางออก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านคือแสงสว่างของเสวียนเหมิน เป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องปราบสิ่งชั่วร้ายและยึดมั่นในความชอบธรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้”

ฉินหลิวซียกมือขึ้นทันทีพลางเอ่ย “ท่านอาจารย์ ท่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว ความจริงแล้วข้าเป็นเพียงบุตรสาวขุนนางที่กระทำความผิดเท่านั้น ครอบครัวมีฐานะต่ำต้อย สามารถถูกครอบครัวส่งไปแต่งงานเมื่อใดก็ได้ ไม่อาจแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้”

นางไม่กลัวจะเปิดเผยเพศและที่มาของตัวเองกับสืออวิ๋น อย่างไรเสียในใจของเขาก็รู้อยู่แล้ว

“ท่านมีบุญ…”

“ข้าสามารถทำลายการฝึกฝนทั้งหมดของข้าได้!”

บุญหรืออะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการเอาชีวิตรอด!

แย่ที่สุดก็แค่เป็นสตรีที่ไม่ก้าวออกจากบ้านไปไหนเลย

อาจารย์สืออวิ๋น “!”

ช่วยด้วย เขาก็ไม่รู้จะกล่าวคำทางพุทธศาสนาอะไรแล้ว

ซ่า ซ่า ซ่า

ทันใดนั้นข้างนอกก็เริ่มฝนตกหนัก

อาจารย์สืออวิ๋นดูเหมือนจะพบโอกาสที่ดีในการเปลี่ยนเรื่อง เอ่ยขึ้น “ฝนเริ่มตกแล้ว”

ฉินหลิวซีมองออกไปข้างนอก เอ่ย “เมื่อเมฆฝนพัดผ่านไปก็จะหยุดในไม่ช้า”

บทสนทนากลับมาที่หัวข้อมารเอ้อฝูซื่อหลัวอีกครั้ง “จะว่าไปแล้ว ที่เรามีเรื่องกลุ้มใจดั่งเช่นตอนนี้ เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ในยมโลกไม่ทำอะไรเลย ท่านว่าไม่ง่ายเลยที่ผู้อาวุโสในกาลก่อนจะจับกุมคนต่ำช้าผู้นี้ได้และขังไว้เป็นเวลานานหลายพันปี ทว่ากลับยังปล่อยให้หนีออกมาได้ พวกเขาแต่ละคนเอาแต่รับเงินที่เผาไปให้และธูปเทียนที่จุดบูชาแต่กลับไม่ทำอะไรเลย น่าเกลียดเสียจริง ไม่กลัวผู้อาวุโสชี้หน้าด่าพวกเขาหรืออย่างไร”

อาจารย์สืออวิ๋นเอ่ย “ตอนนี้ยมโลกกังวลเรื่องนี้มาก แม้แต่จะกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ต้องต่อแถวรอ ส่งผลให้มีวิญญาณเร่ร่อนหลงเหลืออยู่อีกมากมายบนโลก หากปู้ฉิวได้พบ ก็มองข้ามสักหน่อย”

ฉินหลิวซีตอบรับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด นำกระดูกพุทธะที่เอวออกมา เอ่ย “เช่นนั้นตามความเห็นของท่าน จะจัดการสิ่งนี้อย่างไรดี ให้ข้าเผามันเลยหรือไม่!”

นางกล่าวพลางยกมือขึ้นมาร่ายคาถา ไฟนรกอันสว่างไสวจุดประกายบนปลายนิ้ว แดงราวกับเลือด

อาจารย์สืออวิ๋นรูม่านตาหดลง ยกมือขึ้นพลางเอ่ย “ปู้ฉิว อย่าเล่นไฟ”

น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความกังวลและสั่นเครือเล็กน้อย

ฉินหลิวซีเอียงศีรษะ “ข้าไม่ได้เล่น ข้าจะเผามัน ให้มันไม่ครบชิ้นส่วน ดูว่าจะยังสามารถซ่อนไม้เด็ดอยู่ได้หรือไม่” นางมองไฟที่ไหววูบไปมา มีแสงสว่างพุ่งมาในหัว นึกอะไรบางอย่างได้จึงเอ่ย “ท่านกล่าวถูกแล้ว การเล่นไฟมันไม่ดี”

นางเก็บกระดูกพุทธะกลับไปไว้ที่เอวอีกครั้ง

อาจารย์สืออวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอ่ย “ดังคำกล่าวที่ว่าธรรมะย่อมชนะอธรรม เต๋านั้นสูงกว่ามารเสมอ ความชั่วร้ายไม่สามารถเอาชนะความดีได้ ท่านบำเพ็ญฝึกฝนจิตใจอย่างสบายใจเถิด ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว”