ตอนที่ 161 กลางดึกที่วัดเจียเซียว

หลังจากมู่อี้กลับมา หลี่เหล่าลือก็ไม่ได้ถามอะไรเลย แม้แต่ตอนที่มู่อี้บอกว่าพวกเขาต้องอยู่ที่นี่อีกวันหนึ่ง หลี่เหล่าลือก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ข้างนอกเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมากมาย เขาเองก็ไม่ได้ตาบอดหูหนวก เมื่อมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นและมู่ลี้สามารถกลับมาได้โดยที่ไม่เป็นอะไรเลย จะให้เขาพักที่นี่อีกสักกี่คืนก็ไม่มีปัญหาเพราะไม่ว่าอย่างไรมู่อี้ก็เป็นคนจ่ายเงินอยู่แล้ว นอกจากนี้เงินค่าจ้างที่เขาได้รับมานั้นมากพอที่จะทําให้เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปได้ทั้งปี

แม้ว่าทุกๆคนในตระกูลดังต่างก็ตายไปหมดแล้ว แต่น่าแปลกที่คนรับใช้คนอื่นๆไม่ได้ใช้โอกาสนี้รีบหนีไป และพวกเขายังเตรียมอาหารอย่างดีให้กับมู่อี้ ในตอนนี้ตาหนิวกําลังทานอาหารอย่างมีความสุขและหลี่เหล่าฉีอก็รีบกินอาหารจนน้ํามันย้อยลงมาข้างปาก

มีเพียงมู่อี้เท่านั้นที่ค่อยๆทาน จากนั้นก็กลับขึ้นไปทําสมาธิบนเตียงและในตอนบ่ายเขาก็เตรียมน้ําหมึกเพื่อเขียนยันต์อีกครั้ง

นับจากที่เขาได้ต่อสู้กับชวีหยางเป็นต้นมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เขียนยันต์อีกครั้ง ช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ เขาเร่งรีบเดินทางตลอดเวลาและเวลาที่เหลือในแต่ละวันก็ใช้ไปกับการหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่แห่งชีวิต วันนี้เขาเพิ่งจะมีเวลาว่างจึงได้มีโอกาสกลับมาเขียนยันต์อีกครั้ง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้เขียนยันต์มาเป็นเวลานานแต่มู่อี้ก็ไม่รู้สึกว่าตนเองสนิมเกาะจนฝีมือตกเลย เมื่อพลังแห่งจิตใจของเขาบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นในตอนนี้การเขียนยันต์ก็เป็นไปอย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน

ตลอดช่วงเวลาในตอนบ่ายนั้นมู่อี้เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ทางด้านขวาของโต๊ะนั้นมีกองกระดาษยันต์ซ้อนกันเอาไว้มากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นยันต์ปราบปีศาจและยันต์สะกดวิญญาณ

ทางด้านซ้ายของโต๊ะมียันต์วางอยู่เพียง 2 แผ่นเท่านั้นแต่ไม่ว่ารูปแบบหรือลวดลายบนยันต์นั้นก็แตกต่างจากยันต์ที่อยู่ทางขวาอย่างสิ้นเชิง

ยันต์ 2 แผ่นนี้ย่อมเป็นยันต์สายฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของมู่อี้ ถ้าหากว่าเขามียันต์สายฟ้ามากพอ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับศัตรูสักกี่คนเขาก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวเลย น่าเสียดายที่ในตอนนี้มู่อี้สามารถเก็บยันต์สายฟ้าไว้กับตัวเองได้เพียงแค่ 5 แผ่นเท่านั้น

พู่กันในมือของเขายกขึ้นมาและตวัดไปบนกระดาษเหลืองอย่างรวดเร็ว เมื่อปลายพู่กันที่ทําจากหางพังพอนสีเหลืองยกขึ้นมานั้นกระดาษสีเหลืองก็มีแสงสีขาวที่สว่างขึ้นมาทันที แม้ว่าแสงที่ส่องขึ้นมาจะไม่ได้สว่างมากนัก แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

หลังจากนั้นมู่อี้ก็เห็นว่าแสงสีขาวกลับเข้าไปในแผ่นยันต์อีกครั้ง

“โอ”

ในตอนที่มู่ลี้ยกฟูกันจังหวะสุดท้ายขึ้นมานั้น เขาก็ได้เห็นยันต์สายฟ้าตรงหน้าตนเองส่องแสงออกมาอย่างชัดเจน แม้ว่าแสงที่ปรากฏขึ้นมานั้นจะอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้นแต่ในตอนนี้มู่อี้ก็ไม่อาจปิดบังสีหน้าที่ดีใจของตัวเองเอาไว้ได้

เมื่อเทียบยันต์สายฟ้าแผ่นนี้กับยันต์สายฟ้าอีก 2 แผ่นก่อนหน้านี้นั้นแม้ว่ามันจะไม่มีความแตกต่างใดๆเลย แต่มู่อี้ก็ยังคงใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อตรวจสอบมัน

หลังจากนั้นเขาก็สะบัดมือซ้ายของตัวเองอีกครั้งและกระดาษเหลืองที่ตัดเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็ลอยมาที่ตรงหน้าของเขาทันทีและจากนั้นพู่กันในมือของเขาก็เริ่มวาดลวดลายอีกครั้ง ในตอนนี้เขาไม่จําเป็นต้องหยุดพักก็สามารถเขียนยันต์สายฟ้าออกมาได้ครบทั้ง 5 แผ่นแล้ว

ความยินดีบนใบหน้าของมู่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะได้พบว่าพลังขี่ในร่างกายของตนเองนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว อัตราการวาดยันสําเร็จของเขานั้นเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้มาก อย่างน้อยที่สุดมู่อี้ก็ไม่เคยเขียนยันต์สายฟ้าได้สําเร็จ 2 แผ่นติดต่อกันเลย

ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เขาสามารถเขียนยันต์สายฟ้าได้สําเร็จทั้ง 5 แผ่นแม้แต่ตอนที่เขียนยันต์ก็ยังราบรื่นและ เป็นไปอย่างธรรมชาติ มันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาสามารถเขียนยันต์มากเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ

แต่มู่อี้ก็ไม่ได้เขียนยันต์ต่อไปอีก เขาวางพู่กันในมือลงและปิดตาของตนเองเพื่อซึมซับความรู้สึกที่ได้รับมาในตอนนี้

หลังจากปิดตาครู่หนึ่งมู่อี้ก็เปิดตาขึ้นมาอีกครั้งและยิ้มขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็เริ่มเก็บยันต์แต่ละแผ่นเข้าไปในร่างกายของตนเอง

สําหรับหมู่บ้านเล็กๆในวันธรรมดาเช่นนี้ปกติก็ไม่ได้มีความรื่นเริงมากเท่าไหร่อยู่แล้ว และในวันนี้ยังมีเรื่องราวที่น่ากลัวเกิดขึ้น ตระกูลคิงเสียชีวิตทั้งตระกูลแม้แต่หญิงชราภายในตระกูลที่ได้รับคุณงามความดีจากวัดเจียเซียวก็เสียชีวิตไปด้วยเช่นกัน

เพื่อไม่ให้เรื่องที่น่าอับอายเช่นนี้กระจายออกไป ทุกๆคนจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ

แต่ในตอนนี้วัดเจียเซียวที่ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นมาด้วยเช่นกัน ปกติแล้วตระกูลดังตระกูลจ้าว และตระกูลจาง จะเป็น 3 ตระกูลที่มีพลังอํานาจมากที่สุดในการดูแลวัดแห่งนี้ เมื่อตระกูลดังถูกทําลายไปแล้วตระกูลจ้าวและตระกูลจางก็ต้องหันมาร่วมมือกัน แม้ว่าชายชราเหล่านั้นจะไม่ได้เต็มใจล่วงเกินวัดเจียเซียวแห่งนี้เลย

ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองตระกูลยังจ้างนักพรตเต๋คนหนึ่งมาที่นี่และตั้งพิธีกรรมขึ้นมาเพื่อทําให้เมืองนี้กลับมาสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง

แม้ว่าคนที่ตายไปจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้าน แต่อย่างน้อยพวกเขาที่ยังมีชีวิตก็ยังสามารถจัดการกับเรื่องราวต่างๆได้

จากคําพูดของมู่ก่อนหน้านี้ ทั้งสองตระกูลได้จัดเตรียมแท่นพิธีเอาไว้ด้านหน้าวัดเจี๊ยเซียวพร้อมกับของที่จําเป็นต่างๆมากมาย

เดิมที่ทุกๆคนที่อยู่ในหมู่บ้านต่างก็มามุงดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่แต่พวกเขาก็ถูกทั้งสองตระกูลไล่ให้กลับไป มีเพียงแค่ผู้อาวุโสไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ที่นี่

จนเมื่อเวลาเริ่มดึกมากยิ่งขึ้นสู่อี้ก็เดินตามจ้าวเฉวียนมาที่นี่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะมู่อี้สั่งเอาไว้ช่วงเวลานี้ทุกๆคนคงหลับไปแล้วแน่นอน

เมื่อมอั้มาถึง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าชื่ออู่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เพราะอีกฝ่ายสมควรกลับไปทําหน้าที่ของตนเองได้แล้วแต่มอี้ก็ไม่ได้ถามอะไรเขา สายตาของทุกๆคนจับจ้องไปที่มู่ที่เดินเข้ามาช้าๆและตรงเข้าไปที่แท่นพิธี

แท่นพิธีนี้สร้างขึ้นตรงหน้าวัดเจี๊ยเซียวแต่ไม่ได้สูงมากนัก ในตอนนี้เมื่อมยิ้มองขึ้นไปก็จะสามารถมองเห็นป้ายโลหะที่แขวนลงมาจากซุ้มประตูของวัดเจี๊ยเซียวได้อย่างชัดเจนมีตัวอักษรขนาดใหญ่ 4 ตัวที่เขียนอยู่บนป้ายนั้น-เจี๊ยเซียวฉุยฟาง

ตรงด้านข้างทั้งสองฝั่งของซุ้มประตูนั้นมีการแกะสลักบทกวีเอาไว้มากมาย “แด่ผู้ที่มีอุดมการณ์อันสูงส่งและทิ้งชื่อเสียงไว้เบื้องหลัง” “ซุ้มประตูแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่สตรีผู้สง่างาม” และ “วัดเจียเซียวแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่สตรีผู้มีคุณธรรม”

เมื่อได้เห็นประโยคเหล่านี้มู่อี้ก็ยิ้มขึ้นมาทันที บางทีในตอนแรกวัดแห่งนี้อาจจะสร้างขึ้นเพื่อยกย่องสตรีเห ล่านั้นแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปมันก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆและที่มู่อี้พูดว่าไม่รู้ว่าภายในวัดแห่งนี้มีความชั่วร้ายซ่ อนอยู่มากเพียงใดเขาก็ไม่คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องตลกเลย

ไม่ว่าจะเพื่อชื่อเสียงหรือผลประโยชน์แล้ว โลหิตและน้ําตาก็ย่อมถูกหลั่งออกมาจํานวนนับไม่ถ้วน

อย่างน้อยมู่อี้ก็เคยพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ในตอนที่เขาเดินทางไปตามที่ต่างๆพร้อมกับท่านปู่หญิง หม้ายคนหนึ่งถูกแม่สามีของตนเองบีบบังคับจนถึงแก่ความตาย เพราะการที่พวกนางเข้าร่วมกับวัดที่เชิดชูเกียรติของสตรีเช่นนี้พวกนางจะไม่อาจใช้ชีวิตของตนเองเป็นหญิงสาวปกติได้อีกต่อไป แต่สิ่งที่พวกนางจะได้รับกลับมานั้นก็คือเงินเดือนเล็กๆน้อยๆจากทางราชสํานัก

ดูเหมือนว่าทางราชสํานักเองก็ยกย่องเชิดชูหญิงสาวเหล่านี้เป็นพิเศษ และยังประทานรางวัลเป็นบทกวีที่องค์ฮ่องเต้เขียนด้วยตนเองหรือไม่ก็ผ้าไหมเป็นจํานวนมากมาให้ ชื่อของสตรีที่ครองตัวเป็นโสดไม่สมรสกับผู้ใด เริ่มกลายเป็นบุคคลสําคัญทางประวัติศาสตร์และถูกจารึกไว้ในพงศาวดารมากมาย

สถานการณ์เริ่มร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่บางตระกูลที่ไม่มีหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ครองตัวเป็นโสดอยู่ในตระกูลอาจจะถูกคนอื่นมองว่าตระกูลของพวกเขาไม่บริสุทธิ์แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ทําอะไรผิดเลย

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้หญิงสาวที่สามีเสียชีวิตไปแล้ว และไม่เข้าร่วมกับวัดเจี๊ยเซียวก็มีแต่น่าสมเพชมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

เหตุผลที่ว่าทําไมม่รู้ว่าที่แห่งนี้มีปัญหาก่อนที่เขาจะเข้ามาที่นี่ หลักๆก็ดูได้จากจ้าวเฉวียนและชายชราคนอื่นๆ พวกเขาดูไม่พอใจต่ออะไรบางอย่างและตั้งแต่มู่อี้เข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาก็คิดว่าวัดเจี๊ยเซียวจะต้องมีอะไรที่ผิดปกติแน่นอน

ไม่ใช่เพราะว่าเขาหวาดระแวงหรือขี้สงสัยจนเกินไป ตอนนี้เขาได้เห็นด้วยตาของตนเองแล้วและมู่อี้ก็พบว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นยังน้อยเกินไปด้วยซ้ํา ความคับแค้นใจที่อยู่ภายในวัดแห่งนี้นั้นมากเกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก ความคับแค้นใจเหล่านั้นดูเหมือนจะกลายเป็นพลังแห่งความตายที่สะสมอยู่ภายในวัดแห่งนี้และไม่อาจสลายไปได้

“วัดเจียเซียวแห่งนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่? หลายปีที่ผ่านมานี้มีเรื่องราวที่น่าแปลกประหลาดเกิดขึ้นหรือไม่?” มู่อี้หันไปมองจ้าวเฉวียนและถามขึ้นมาทันที

เมื่อได้ยินคําถามของมู่ลี้ จ้าวเฉวียนก็ยืนนิ่งไปครู่หนึ่งแต่เขาก็ตอบคําถามของมู่อี้กลับมา

“วัดเจี๊ยเซียวแห่งนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1840 ตอนนี้ก็เกือบจะ 60 ปีแล้ว ในตอนนั้นมีปรมาจารย์ท่านหนึ่งมาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้และท่านได้ทําการสร้างวัดเจียเซียวขึ้นมาด้วยตัวท่านเอง บทกวีต่างๆที่อยู่ข้างซุ้มประตูก็เป็นปรมาจารย์ท่านนั้นที่แกะสลักขึ้นมาด้วยตนเอง แต่ท่านก็เสียชีวิตไปได้หลายสิบปีแล้ว”

“ส่วนเรื่องราวที่แปลกประหลาด?” จ้าวเฉวียนขมวดคิ้วไปครู่หนึ่ง

“เมื่อ 10 ปีที่แล้วมีฟ้าผ่าลงมาอย่างหนักและหลังคาของวัดเจี๊ยเซียวก็ได้รับความเสียหายจนเกิดรอยรั่ว” ในตอนที่จ้าวเฉวียนกําลังนึกอยู่นั้นก็มีชายชราอีกคนที่อยู่ข้างๆเขาพูดขึ้นมาทันที

” 10 ปีก่อนหรอ?” มู่ลี้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามกลับมาว่า “แล้วลูกหลานของปรมาจารย์ท่านนั้นล่ะยังอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้หรือไม่?”

“ไม่ ทุกๆคนต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว” ครั้งนี้จ้าวเฉวียนตอบกลับมาโดยไม่ลังเล

“ท่านแน่ใจนะ?” มู่อี้ถามย้ําอีกครั้ง

“แน่ใจขอรับ ความจริงแล้วท่านปรมาจารย์มีบุตรชายคนหนึ่งก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตไป แต่ 2 ปีหลังจากท่านปรมาจารย์เสียชีวิตไปนั้นอยู่ๆบุตรชายของเขาก็ป่วยเป็นโรคอะไรบางอย่างและเสียชีวิตไปทันที” จ้าวเฉวียนตอบกลับมา

“ในปีนั้นหมู่บ้านของพวกท่านมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หรือว่ามีผู้ชายจํานวนมากที่ต้องเสียชีวิตไปหรือเปล่า?” มู่อี้ถามอีกครั้ง

“ดูเหมือนว่ามีจํานวนมากเลย ข้าเองก็ได้เชิญท่านหมอคนนึงจากในเมืองมาเพื่อตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาทุกคนจะฆ่าตัวตายไม่ใช่โรคระบาด” จ้าวเฉวียนพูดออกมาอย่างจริงจังทันที เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็สงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น

“แล้วหญิงสาวที่เสียชีวิตไปทุกๆคนต่างก็ถูกฝังเอาไว้ในวัดแห่งนี้หรือ?” มู่อี้ถามต่อไป

“มีเพียงหญิงสาวที่รักษาบริสุทธิ์ไม่แต่งงานกับผู้ใดเท่านั้น” จ้าวเฉวียนตอบกลับมา

“รวมถึงหญิงสาวที่ต้องเสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรมด้วยใช่ไหม?” มู่อี้พูดจาหยอกล้อกลับมาและจ้าวเฉวียนก็นิ่งไปทันที เขาสงสัยว่าจะตอบคําถามนี้อย่างไรดี

“เช่นนั้น ท่านก็ถอยกลับไปก่อน” มู่อี้ไม่ได้รบกวนจ้าวเฉวียนอีกต่อไป แต่โบกมือไล่อีกฝ่ายให้อยู่ห่างจากแท่นพิธีให้มากที่สุด

หลังจากจ้าวเฉวียนถอยกลับไปแล้ว มู่อี้ก็วางต้นไผ่แห่งชีวิตในมือของเขาเอาไว้บนโต๊ะ

จากนั้นเขาก็นํายันต์สะกดวิญญาณออกมาและสะบัดมือส่งออกไปทันที

ทันใดนั้นชายชราทุกๆคนที่อยู่ที่นี่แม้แต่ชื่ออู่ก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยแสงสีขาว

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทําให้ทุกๆคนรู้สึกตกใจและพยายามต่อต้านแต่เมื่อพวกเขาพบว่า แสงสีขาวนี้ไม่ได้ทําร้ายตัวเองจึงกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง ในตอนนี้พวกเขารู้สึกอุ่นมากขึ้นและความหนาวเย็นในร่างกายก็หายไปแล้ว

“นี่มันพลังแห่งสวรรค์” ชายชราคนหนึ่งพูดออกมาพร้อมกับตัวสั่นทันที ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกสงสัยในตัวนัก พรตเต๋คนนี้อยู่บ้างแต่หลังจากแสงสีขาวห่อหุ้มร่างกายของตนเองนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นมาและยังรู้สึกราวกับว่าได้กลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง

และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะมู่ลี้ เขาไม่อาจหาเหตุผลได้เลยนอกจากคิดว่ามันคือพลังแห่งสวรรค์

ชายชราเหล่านี้ย่อมคิดว่านี่คือพลังแห่งสวรรค์แต่ชื่ออู่มีความรู้มากกว่านั้นเพราะเขาผ่านประสบการณ์มามากมาย เมื่อรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายตนเองเขาก็รู้สึกตกตะลึงทันทีในใจของเขาย่อมรู้ดีว่านี้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน

เดิมที่เขากําลังเตรียมตัวกลับไปที่ศาลพิพากษามณฑลในวันนี้แต่เขาก็รู้สึกลังเลอยู่หลายครั้ง คิดว่าจะรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นต่อผู้พิพากษามณฑลดีหรือไม่และเขาก็รู้ดีว่าในช่วงเวลานี้ตนเองไม่สามารถควบคุมตัวมู่อี้ได้แน่นอน

แต่ก่อนที่เขาจะกลับไปนั้นชื่ออู่ก็นึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในห้องนอนของหญิงสาว และในที่สุดเขาก็เริ่มคิดว่าเรื่องภูตผีวิญญาณในโลกใบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องหลอกลวงอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงอยากจะเห็นว่ามู่อี้กําลังจะลงมือเช่นไรในคืนนี้

แต่ไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสิ่งที่น่าตกตะลึงมากที่สุดในชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้าของวันนี้นั้นไม่อาจเทียบอะไรได้เลย