บทที่ 180 ผู้ละทิ้งความเชื่อทั้งหลายจงตายซะ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 180 : ผู้ละทิ้งความเชื่อทั้งหลายจงตายซะ

หือ?

แอนนีดูงุนงง ที่จริงแล้วคาเฟ่หนังสือนี้เป็นร้านรองของร้านหนังสือแปลก ๆ ข้าง ๆ กับที่เป็นตำนานเมืองนั่นน่ะนะ?

ไม่น่าเชื่อเลย…

พูดจริง ๆ แล้ว มันไม่น่าแปลกใจนักหรอกถ้าหนึ่งในสองร้านจะเป็นร้านย่อยของอีกร้าน ในเมื่อทั้งสองเปิดอยู่ใกล้กันและมีลักษณะทางธุรกิจคล้าย ๆ กัน

ทว่าประเด็นอยู่ที่รูปแบบของคาเฟ่หนังสือที่ใหม่นี้ต่างกับร้านหนังสือข้าง ๆ เหมือนคนละโลก ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจนิดหน่อย

รูปแบบการตกแต่งของคาเฟ่หนังสือนี้งดงามสวยสง่า ในขณะที่ร้านหนังสือให้ความรู้สึกทรุดโทรม แปลกประหลาดและลึกลับ

ถ้าอาเธนาไม่ได้พูดออกมาอย่างนั้น แอนนีก็คงคิดว่าคาเฟ่นี้จงใจตกแต่งสวยหรูเพื่อประกาศตัวเป็นคู่แข่งกับร้านหนังสือข้าง ๆ แล้วดึงลูกค้าจากความแตกต่างของการตกแต่งแน่ ๆ

“น่าสนใจ…เจ้าของร้านหนังสือตั้งใจให้ร้านเดิมมันขัดกับคาเฟ่ใหม่ จะได้ดึงลูกค้ามาที่นี่เพิ่มเพื่อให้ร้านใหม่นี้กลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่หรือเปล่านะ?”

แอนนีแสดงความสงสัยออกมาด้วยคำพูด

“ฮะ ๆ ๆ อย่าไปคิดแต่ในแง่ธุรกิจสิ!” อาเธนาหัวเราะ

เธอลดเสียงลง “ตอนนี้คุณพ่อวินเซนต์เป็นผู้ละทิ้งความเชื่อที่โบสถ์ประกาศจับอยู่ และจากความฝันที่พวกเราทุกคนฝัน มันก็มีเงื่อนงำอยู่มากกว่าที่เห็น…แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ”

“ลองคิดดู ที่ที่เต็มใจจะอำนวยพื้นที่ให้เขาเรียกประชุมคนแบบนี้จะเรียบง่ายธรรมดาได้ยังไง?”

โบสถ์นั้นก็ยังทรงอำนาจ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่สถานที่ชุมนุมจะมาจากการสุ่ม

เรื่องนี้สมเหตุสมผล แล้วแอนนีก็อดพยักหน้าเออออไม่ได้

อาเธนาก็รู้สึกปลื้มใจที่เห็นแอนนีเห็นด้วยกับเธอ

เธอพูดต่อด้วยท่าทางตื่นเต้น “อีกอย่างนะ เธอไม่คิดว่ามันบังเอิญไปหน่อยเหรอที่คาเฟ่หนังสือนี่เพิ่งจะมาเปิดไม่นาน?”

“อย่างกับว่ามันเตรียมเปิดเพื่อการรวมตัวนี้เป็นพิเศษ…”

แอนนีรู้ว่าเพื่อนของเธอนั้นหลงใหลเรื่องลึกลับหรือของอันตรายอยู่เสมอมา เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอได้ยินเรื่องอะไรผิดปกติ อาเธนาก็มักจะพุ่งไปเข้าร่วมอย่างตื่นเต้น

มีกระทั่งช่วงหนึ่งที่เธอมักจะพูดว่าเหตุแก๊สระเบิดบ่อย ๆ ในนอร์ซินนั้น ที่จริงมาจากการต่อสู้ของคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติ…จินตนาการบรรเจิดดีแท้…

ทว่าครั้งนี้ แอนนีกลับเห็นด้วยกับอาเธนาอย่างน่าแปลกใจ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะไม่ใช่เพราะการวิเคราะห์ของอาเธนาก็ตาม

ในขณะที่แอนนีกำลังฟังอาเธนาพูด เธอก็เหลือบมองไปที่เคาน์เตอร์ เจ้าของผู้อ่อนเยาว์ของคาเฟ่กำลังมองทุกคนในร้านอยู่อย่างเงียบ ๆ

เด็กสาวนั้นมีใบหน้าจิ้มลิ้มงดงาม ดวงตาสีดำที่นิ่งสงบราวกับออบซิเดียนเม็ดกลม เธอสวมชุดเดรสสีขาวดำที่ดูเหมือนชุดสาวใช้แต่ดูซับซ้อนและสวยงามกว่าและมีผ้าคาดผมลูกไม้ เธอดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาขนาดเท่าคนจริง

แต่สิ่งที่ดึงดูดแอนนีที่สุดคือบรรยากาศรอบตัวของเด็กสาว

เธอแค่ยืนอยู่เฉย ๆ แต่มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนเธออยู่ไกลถึงเส้นขอบฟ้า ถึงจะไกล แต่คนก็ยังสามารถสัมผัสถึงความสงบสุขและความอ่อนโยนจากเธอได้ ราวกับถูกมารดาของพวกเขาเฝ้ามอง

มันให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กับ…ดวงจันทร์

แอนนีตื่นเต้นขึ้นทันใด ใช่แล้ว…ดวงจันทร์

ครั้งก่อนที่เธอรู้สึกคล้าย ๆ กันนี้ก็คือตอนที่เธอเข้าพิธีล้างบาปเป็นครั้งแรกในโบสถ์แห่งจุดสูงสุด

นี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้เธอเป็นสาวกของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดด้วย เพราะเธอเชื่อว่าศาสนานี้มีพลังในการชี้นำคน

แอนนีสำรวจบริเวณโดยรอบของเธออย่างสุขุม แล้วก็พบว่าคนส่วนใหญ่ที่มาถึงแล้ว โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่การชุมนุมคนจำนวนขนาดนี้กลับไม่มีการพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นเลย

ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างเป็นมิตรด้วยน้ำเสียงเบาและสุภาพ ไม่มีความโกรธหรือกระวนกระวายเลยสักนิด

…พวกเขาไม่ได้กระซิบกัน แต่แค่ลดเสียงลง

แอนนีพลันตระหนักถึงบางสิ่งได้…

ราวกับว่าด้านที่อ่อนโยนที่สุดในหัวใจของทุกคนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา

ความรู้สึกขัดแย้งอันรุนแรงปกคลุมแอนนี นี่คืออำนาจที่เธอสัมผัสได้ในตอนที่เธอเข้าพิธีล้างบาป!

หลังจากนั้น ความสงบสุขที่เธอสัมผัสได้ในการภาวนาก็ดูจะกลายเป็นความรู้สึกนิ่งงันอย่างน่ากระอักกระอ่วน ราวกับว่าเป็นของปลอมเลียนแบบไปแล้ว

นี่ต่างหากคือสัมผัสที่ดวงจันทร์แท้จริงควรจะเป็น!

“เธอรู้สึกถึงมันไหม?”

“ดวงจันทร์ที่แท้จริงเหรอ?” อาเธนาโพล่งออกมากะทันหันเมื่อสังเกตเห็นว่าสีหน้าของแอนนีเปลี่ยนไป

แอนนีหันมาสบสายตากับเพื่อนของเธอ หลังของเธอหนาววูบเมื่อเธอระลึกขึ้นได้ว่ามันไม่ใช่ ‘เรื่องบังเอิญ’ รวมไปถึงเรื่อง‘ข้อหา’ ต่อโบสถ์แห่งจุดสูงสุด

นี่คือความจริงที่คุณพ่อวินเซนต์อยากจะบอกพวกเธอเหรอ?

ถ้าความฝันนั่นเป็นความจริง และคุณพ่อวินเซนต์ถูกใส่ร้ายจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นกระทั่งความเชื่อในดวงจันทร์ก็เป็นของปลอมด้วยหรือเปล่า?

ถ้าอย่างนั้น โบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็ซ่อนสันดานอันโหดเหี้ยมของมันมาตลอดเลยเหรอ?!

โอ้พระเจ้า จะเป็นไปได้ไหมว่าที่จริงแล้ว ศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในนอร์ซินจะเป็น…

แอนนีสูดหายใจลึก ๆ เพื่อให้ตัวเองสงบลง ในขณะที่เธอกำลังอยู่ในสภาวะช็อกและเคลือบแคลง เจ้าหน้าที่ตำรวจจากเขตกลางที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์พลันก้าวออกมา

คาเฟ่หนังสือเงียบลงทันที ทุกคนหันไปสนใจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลาง

ชายหนุ่มคนนี้ก็คือคล็อด เป็นผู้รับงานต่อจากลูกน้องของเขาที่ถ่ายทอดข้อมูลการเข้าประชุมในครั้งนี้ และกลายมาเป็นผู้จัดงาน

“อะแฮ่ม” คล็อดกระแอมให้คอโล่ง “ผมเชื่อว่าทุกคนมาที่นี่เพราะความฝันนั้น และในเมื่อพวกคุณทุกคนมาที่นี่กันแล้ว แปลว่าพวกคุณเชื่อมั่นในบุคลิกนิสัยของคุณพ่อวินเซนต์และเชื่อว่าความฝันนั้นเป็นความจริง”

“วันนี้ พวกคุณทุกคนจะได้เรียนรู้ความจริงครับ”

คล็อดพูดต่ออย่างเข้มงวด “พวกเราได้รวบรวมหลักฐานกิจกรรมผิดกฎหมายของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดมาตลอดช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลักฐานนี้จะเป็นแสงที่ส่องให้เห็นความชั่วร้ายของพวกเขา และเปิดเผยเรื่องน่ากลัวที่โบสถ์ได้กระทำกับวินเซนต์”

“แต่ว่า ก่อนที่เราจะเริ่มกัน มีอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำก่อนนะครับ…”

คล็อดชักปืนออกมาชี้กระบอกไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง “อยากให้ผมช่วยพังอุปกรณ์สื่อสารในมือให้คุณมั้ยครับ คุณไส้ศึก?”

ถึงแม้ว่าลึก ๆ แล้วคล็อดจะเป็นอัศวิน แต่ตัวตนเปลือกนอกของเขาคือตำรวจ และปืนก็ยังเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับเขา

การที่ไส้ศึกจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะแทรกซึมเข้ามาที่นี่นั้นอยู่ในการคาดเดาของพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว เพราะถึงอย่างไร อำนาจและอิทธิพลของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่สั่งสมมาหลายปีก็สบประมาทไม่ได้

ชายวัยกลางคนในเสื้อโค้ตหนังที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตกตะลึง เขายืนขึ้นแล้วยกมือขึ้น “เฮ้ ผมไม่รู้นะว่าคุณพูดอะไรอยู่ ผมมาที่นี่เพราะผมเชื่อในคุณพ่อวินเซนต์แล้วอยากจะทำอะไรเพื่อช่วยเขานะครับ คุณจะมากล่าวหาผมแบบนี้ไม่ได้…”

“อ้อ…งั้นเหรอ?”

เสียงอันเมตตาและอ่อนโยนดังขึ้น แล้วผู้คนก็เห็นวินเซนต์ที่ผูกตาด้วยผ้าสีดำปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันจากเบื้องหลังชายวัยกลางคน

“พ่อเชื่อว่าปืนนั้นชี้ไปที่โต๊ะ ทำไมลูกถึงได้รีบร้อนลุกขึ้นอย่างนั้นล่ะ? ลูกอยากสารภาพบาปขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ในขณะที่วินเซนต์เดินมาที่กลางคาเฟ่นั้น ทุกคนก็ตระหนักชัดว่าเขาไม่ได้สวมชุดบาทหลวงอย่างเคย แต่เป็นชุดสีทองพร้อมกับมงกุฎบนหัวที่ดูราวกับชุดพระสังฆราช

สีหน้าของชายวัยกลางคนดำมืดลง แล้วเขาก็เริ่มลนลาน “ผม…ผมแค่ประหม่าไง!”

วินเซนต์พูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นลูกต้องประหม่ามาก ๆ มากจนลืมซ่อนระเบิดบนตัวลูกให้มิดเลยใช่ไหม”

สีหน้าของชายวัยกลางคนแข็งทื่อ แล้ววินาทีต่อมาก็กลับกลายเป็นเหี้ยมเกรียม

“ผู้ละทิ้งความเชื่อทั้งหลายจงตายซะ!” เขาตะโกนแล้วเปิดเสื้อโค้ตหนังออกให้เห็นระเบิดหลายลูกที่รัดไว้ด้านใน