“คุณพ่อเหรอ?” หลินจื้อซือพลันเผยยิ้มอย่างขมขื่น เดิมที ทั้งหลินจื้อซือและเสี่ยวเฉิงต่างก็วางแผนที่จะกลับไปหาคุณพ่อและคุณแม่ทันทีหลังจากการแข่งขันจบลง แต่ทว่า เสี่ยวเฉิงในตอนนี้กลับหมดสติไปแล้ว เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะถอนหายใจและตอบกลับไป “มีเรื่องเกิดขึ้นกับเสี่ยวเฉิงค่ะ”

“แล้วนี่พวกลูกอยู่ไหนกัน?” หลินกุ้ยเหรินพลันถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“หนูกำลังนั่งรถไปโรงพยาบาลในเมืองน่ะพ่อ แค่นี้ก่อนนะคะ”

ทันทีที่พูดจบ หลินจื้อซือก็พลันวางสาย

หลังจากมาถึงโรงพยาบาล เสี่ยวเฉิงก็ถูกนำตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที ส่วนหลินจื้อซือก็พลันรออยู่ด้านนอก ไม่นานหลังจากนั้น เซินเหยาและหรานจิงก็พลันวิ่งเข้ามาหาหลินจื้อซือและนั่งรอพร้อมกับเธออย่างใจจดใจจ่อ

นอกจากนี้ หวังหยิงเองก็มาที่นี่ด้วย เธอพลันเห็นว่าสามสาวกำลังนั่งรออยู่ด้านนอก หวังหยิงไม่รู้เลยว่าทั้งสามคนนี้เป็นอะไรกับเสี่ยวเฉิง เธอแค่ตกใจที่ผู้ชายอย่างเสี่ยวเฉิงมีสาวสวยมานั่งรอตั้งสามคน

แม้ว่าหลินจื้อซือจะสวมแว่นกันแดดอยู่ แต่เธอก็ยังไม่สามารถปกปิดสัดส่วนร่างกายและใบหน้าที่สง่างามได้ ถ้าเธอถอดแว่นและเผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล เธอก็จะสามารถทำให้ชายทุกคนเหลียวมองได้แทบจะทันที

เซินเหยาเองก็กำลังนั่งข้างหลินจื้อซือ เธอพลันรู้สึกสงสัยและมีคำถามที่อยากจะถามเพื่อนรักข้างกาย แต่ทว่า เวลานี้คงจะยังไม่เหมาะนัก หลินจื้อซือกับเสี่ยวเฉิงรู้จักกันงั้นหรือ? แล้วทำไมหลินจื้อซือถึงรู้สึกประหม่าขนาดนี้ล่ะ?

นอกจากนี้ หรานจิงเองก็พลันรู้สึกและคิดเช่นเดียวกัน

สำหรับตอนนี้ หลินจื้อซือเองก็กำลังคิดหาข้ออ้างในการปกปิดความจริง อีกทั้ง หลินจื้อซือเองก็ต้องคิดหาเหตุผลมาอธิบายว่าทำไมเธอถึงต้องประหม่าก่อนหน้านี้ด้วย

ทว่า ทันทีที่ทั้งสามเห็นหวังหยิงยืนรออยู่ด้านนอกห้องฉุกเฉิน พวกเธอก็พลันตกใจเช่นกัน หญิงสาวทั้งสี่เองก็มีความคิดที่ต่างกันในใจ

หรานจิงมาที่นี่เพราะเสี่ยวเฉิงเป็นเพื่อนของเธอ เซินเหยาเองก็มาที่นี่เพราะเธอเริ่มสนใจในตัวเสี่ยวเฉิง ส่วนหลินจื้อซือ เธอมาที่นี่ก็เพราะเสี่ยวเฉิงเป็นสามี และเธอเองก็ยังคงรักเสี่ยวเฉิงอย่างสุดหัวใจ แต่สำหรับหวังหยิง เธอมาที่นี่ก็เพราะกังวลและเป็นห่วงเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเสี่ยวเฉิง อีกทั้ง เธอยังต้องการที่จะอัปเดตข้อมูลเพื่อกลับไปรายงานให้หัวหน้ารับทราบอีกด้วย ถึงกระนั้น เมื่อผู้หญิงทั้งสี่คนมาอยู่ในที่เดียวกันเพื่อรอผู้ชายคนเดียว ความคิดของพวกเธอแต่ละคนก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นมาทันใด

ในตอนนั้นเอง ทันทีที่แพทย์ผู้ดูแลเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินเพื่อขอลายเซ็นจากสมาชิกในครอบครัว เรื่องราวสุดขันก็พลันเกิดขึ้น

“คนไข้ต้องการเลือดด่วนเลยครับ ใครที่เป็นญาติหรือคนในครอบครัวของผู้ป่วยช่วยเซ็นชื่อตรงนี้ แล้วก็เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจัดการขั้นตอนที่เหลือได้ไหมครับ?”

ทันทีที่สี่คนลุกขึ้นยืนพร้อมกัน พวกเธอก็พลันหยุดชะงักไป

หลินจื้อซือพลันลังเลทันทีที่เซินเหยามองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น เธอพลันกัดฟันและนั่งกลับลงไป ไม่นานนัก หรานจิงก็พลันหันไปหาเซินเหยาและกล่าวคำพูดขึ้น “เธอน่าจะเป็นคนไปเซ็นนะ แล้วนี่ได้พกเงินสดติดตัวมาด้วยหรือเปล่า?”

เซินเหยาพลันพยักหน้า หลังจากนั้น เธอก็รีบเดินไปยังเคาน์เตอร์และกรอกแบบฟอร์มพร้อมกับชำระค่าใช้จ่ายทันที

ทันทีที่เซินเหยาเดินออกไป หลินจื้อซือก็พลันกล่าวคำถามกับคุณหมอ “อาการของเขาเป็นยังไงบ้างคะหมอ?”

“ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ผู้ป่วยยังคงเสียเลือดมากอยู่ เขาอาจจะต้องได้รับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสักสองหรือไม่ก็สามวันครับ”

ทั้งสามที่ได้ยินเช่นนั้นพลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลินจื้อซือพลันก้มขอบคุณหมอในทันที

ทันทีหลินเหล่ยและพ่อกับแม่มาถึงโรงพยาบาล เขาก็รีบตรงไปยังเคาน์เตอร์และถามกับพนักงานทันที “คนไข้ที่ชื่อว่าเสี่ยวเฉิงพักอยู่ห้องไหนเหรอครับ?”

ทว่า ในตอนนั้นเอง เซินเหยาที่เพิ่งจะจ่ายเงินเสร็จก็พลันรู้สึกประหลาดใจทันทีที่เธอหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มลูกครึ่งผู้หล่อเหลาข้างกาย…