หยวนชิง “หลิง” ยกมุมปากยิ้มจางๆ
ใครจะไปรู้เล่าว่าอ๋องหวยเองก็ได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านนอก ไม่ได้เป็นเพราะทักษะการได้ยินเลิศเลออะไร แต่เสียงของพระชายาจี้ค่อนข้างจะเสียงดังไปเสียหน่อย
อ๋องหวยยิ้มออกมา พร้อมกล่าวออกมาโดยแอบแฝงความประชดประชันเอาไว้: “พี่สะใภ้ห้า ได้ยินนั่นหรือไม่?แท้จริงไม่ใช่ว่าข้านั้นท้อแท้หรอก เพราะแม้แต่คนข้างนอกเองต่างก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าข้าจะสามารถหายป่วยได้”
“คนข้างนอกจะกล่าวสิ่งใดก็ไม่สำคัญทั้งนั้น สิ่งที่ข้ากล่าวนั้นถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะข้าเป็นหมอรักษาเจ้า” หยวนชิงหลิงดึงเก้าอี้เข้ามานั่งข้างเตียง
อ๋องหวยมองไปยังนาง แล้วยิ้มออกมากว้างขึ้น “พี่สะใภ้ห้าสวมผ้าปิดปากเอาไว้แล้วพูดว่าสามารถที่จะรักษาข้าให้หายได้งั้นหรือ?ข้าว่าพี่สะใภ้ห้าเองก็คงจะไม่เชื่อเช่นกัน?”
หยวนชิงหลิงคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังถือสาเรื่องของผ้าปิดปากอีก “ผ้าปิดปากอันนี้ ทำให้ใจของท่านอ๋องทุกข์ใจหรือ?”
อ๋องหวยกล่าวตอบอย่างนิ่งเฉย : “ไม่ได้ทุกข์ใจ เพียงรู้สึกว่าข้าเป็นดั่งนักโทษรายหนึ่ง นักโทษที่ทำได้แต่เผยแพร่ความตายเท่านั้น”
หยวนชิงหลิงกล่าว: “ท่านไม่ใช่ต้นเหตุของเรื่องราวนี้ โรคนี้ต่างหากที่เป็น ท่านเป็นผู้ที่รับกรรม คือคนที่ได้รับความทุกข์ ส่วนเรื่องผ้าปิดปาก ที่จริงข้านั้นสามารถถอดออกได้ ข้าไม่มีทางติดโรคได้หรอก แต่ว่าข้าไม่อาจที่จะเสี่ยงได้ เพราะชีวิตนั้นมีค่าอย่างมากยิ่งนัก ข้าพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะปกป้องตัวเองเอาไว้ ท่านอ๋องติดโรค ทำให้ไม่มีความสุข สามปีมานี้ก็คงจะทุกข์ทรมานไม่น้อย วันๆ ได้เพียงแต่นอนอยู่บนเตียง ไม่สามารถออกไปไหนได้ ขยับเพียงนิดเดียวก็ไอจนปอดแทบจะพัง ข้าเข้าใจความทุกข์ของท่านอ๋อง และข้าก็เข้าใจที่ท่านอ๋องไม่เชื่อในตัวหมอใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งคาดว่าเหมือนตอนนี้สถานการณ์กำลังจะดีขึ้น แต่เมื่อก่อนนี้ในตอนที่มีการทดลองเปลี่ยนยา ก็มักจะมีผลลัพธ์ออกมาบ้าง แต่พอผ่านไปได้ไม่กี่วัน อาการก็กำเริบอีกจนไม่สามารถสะกดเอาไว้ได้ จนทำให้อาการทรุดหนักลงทันที จนทำให้ท่านอ๋องนั้นหมดซึ่งความหวังแล้วสินะ?”
อ๋องหวยไม่ตอบกลับใดๆ ทั้งที่ได้เพียงยอมรับอย่างเงียบๆ
หยวนชิงหลิงมองเขาแล้วกล่าวต่ออีก: “ท่านอ๋องท้อแท้ ไม่มีจิตตนุภาพที่ต้องการเอาชนะ ไร้ซึ่งความยืนหยัดที่จะต่อกรกับโรคร้าย ต่อให้ข้านั้นจะใช้ยาที่ดีที่สุด ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถช่วยท่านได้ วัณโรคนั้นอันตราย ความร่วมมือของท่านอ๋องหากเป็นเพียงแค่การแสดงออกภายนอก
แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตจริง น่าจะดีกว่าหากจะรีบแจ้งกับข้า เพราะจะได้ประหยัดยาชั้นดีเหล่านี้ของข้าด้วย”
“นี่พี่สะใภ้ห้าคิดว่าข้ายังให้ความร่วมมือไม่เพียงพออีกหรือ?” อ๋องหวยเริ่มโมโหขึ้นมา จนใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ก่อนจะหันหน้าไปด้านหลัง แล้วเอนไปข้างไอออกมาบนผ้าที่เคยใช้เป็นประจำ
“เพียงพอ ท่านให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงเปลือกนอก แล้วในท้ายที่สุดท่านจะไม่ให้ความร่วมมือ” หยวนชิงหลิงลุกขึ้นยืนเดินไปยังหัวเตียง แล้วใช้มือดึงผ้าที่เขาใช้เช็ดปากออก จนมียาหลายเม็ดกระเด็นออกมา ซึ่งล้วนแต่เป็นยาที่ถูกอมไว้จนชื้นแล้วทั้งนั้น
ซึ่งก็พอจะคาดเดาได้เลยว่า ในขณะที่แม่นมสี่จดจ้องนั้นเขาได้ทำการกินยาเข้าไป แต่สุดท้ายก็ใช้การไอมาเป็นข้ออ้างในการคายยาออกมาไว้ในผ้าเช็ดปาก เดิมทีหยวนชิงหลิงไม่ได้สงสัยอะไร แต่ในตอนที่เขาหันหลังกลับไปแล้วผ้าเช็ดปากเปิดออกแล้วมียาเม็ดหนึ่งโผล่ออกมา
เขาไม่เชื่อ เขาไม่กินยา ซึ่งก็ทำให้ใจไร้ซึ่งความหวัง
หยวนชิงหลิงผิดหวังอย่างมาก ซึ่งสามารถกล่าวได้เลยว่าเมื่อวานหลังจากที่นางกลับไปแล้ว เขาได้คายยาทั้งหมดออกมานั่นเอง
“ท่านอาจจะคิดว่าสิ่งที่ท่านคายออกมานั้นเป็นเพียงแค่ยา แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่ท่านคายออกมานั้นคือชีวิต แล้วแต่ใจท่านเถอะ ไม่มีผู้ใดจะมาใส่ใจแทนตัวท่าน ขนาดตัวท่านยังไม่ใส่ใจตัวเองเลย เช่นนั้นท่านก็จงไปอยู่ในปรโลก คอยมองดูท่านแม่ของท่านอำลาคนหนุ่มสู่โลกหลังความตายเถอะ”
จู่ๆ อ๋องหวยก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “เจ้าหุบปาก!แล้วไสหัวออกไปเสีย!”
หยวนชิงหลิงหันหลังแล้วเดินไปสองก้าว ก็หยุดชะงัก หลังจากที่ยืนอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็หันหลังกลับมาอีกครั้งแล้วยกเก้าอี้ขึ้นทุบลงบนพื้นอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงดังขึ้นมา แล้วเก้าอี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
ดวงตาขอนางแดงเดือดพร้อมตะโกนออกมาอย่างโมโห
: “ท่านโวยวายอะไรกัน?ท่านมีสิทธิ์อะไรกันทีจะโวยวายเช่นนี้?คิดว่าข้าไร้อารมณ์โกรธหรืออย่างไร?ข้าทุ่มกำลังกายใจมารักษาท่าน แล้วยังจะต้องมาคอยรองรับอารมณ์ของท่านอีกงั้นหรือ?รักษาท่านหาย คุณงามความดีของข้าก็เป็นแค่เรื่องสูญเปล่า แต่หากรักษาท่านไม่ได้ เสด็จพ่อของเจ้าจะลงโทษข้าอย่างไรก็ยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำ นี่เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าหากเจ้าตายแล้วต้องมีคนในจวนจำนวนมากมายต้องตายเพราะเจ้า?เจ้ามีสิทธิ์อันใดกันที่กล้ามาทำตัวเป็นเด็กน้อยขี้แยในเวลาเช่นนี้?ยาเหล่านี้มีมูลค่ามากเพียงใดนั้นต่อให้ท่านพยายามใช้สมองของท่านมากเพียงสักแค่ไหนก็ไม่อาจประเมินออกมาได้ ท่านไม่ชื่นชอบ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่ามีผู้ป่วยวัณโรคจำนวนเท่าไหร่ที่รอคอยยาเหล่านี้ในการเยียวยาชีวิตต่อไป?ข้าขอเตือนท่านเอาไว้เลยว่านับแต่วันนี้ไปหากท่านกล้าคายยาออกมาแม้แต่เม็ดเดียว ข้าจะสังหารท่านเสีย จะได้ลดความลำบากใจและความอึดอัดที่ท่านมอบให้กับทุกคน ท่านป่วยอยู่ที่กาย ไม่ใช่ใจท่านที่ป่วย พระชายาจี้ที่อยู่ด้านนอกเพียงกล่าวไม่กี่คำที่ว่าท่านจะตาย ท่านก็เชื่อคำพูดของนางแล้ว และยังคิดอีกว่าทุกคนไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตารอให้ท่านหายดีอีก ท่านตาบอดหรือไร?ที่ไม่เห็นว่าด้านนอกนั่นนอกจากพระชายาจี้แล้ว ยังมีพี่น้องที่ยังรักและใส่ใจท่านด้วยใจจริงอยู่ด้วย?หลิงเอ๋อร์ที่ไม่สนใจการคัดค้านของเสียนเฟย มาอยู่ที่นี่คอยดูแลท่าน ท่านมองไม่เห็นเลยหรือ?ท่านไม่ได้ใส่ใจบ้างเลย?ช่างเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยม!”
หยวนชิงหลิงด่าเสร็จ ก็ผลักประตูเดินออกไป
ซึ่งผู้ที่อยู่ด้านนอกต่างก็ตื่นตกใจ
การพูดครั้งนี้หยวนชิงหลิงนั้น นางไม่ได้สนใจว่าจะมีผลกระทบสิ่งใดตามมาเลยแม้แต่น้อย จนทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน รวมถึงหลู่เฟยที่เพิ่งกลับไปนอนแต่ไม่อาจวางใจได้จึงกลับมาดู
ใบหน้าของพระชายาจี้ซีดเผือดดึงมือหยวนชิงหลิงเอาไว้ อย่างไม่สามารถอดกลั้นความโกรธที่ซ่อนเอาไว้ได้อีกแล้ว
: “พระชายาฉู่ เจ้าจงพูดมาให้ชัดเจน ข้าไปกล่าวหาว่าเขาจะไม่มีทางหายดีตั้งแต่เมื่อใดกัน?เจ้าอย่าได้มาพูดจาใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนี้”
หยวนชิงหลิงที่กำลังโมโหหนักเมื่อถูกพระชายาจี้ดึงตัวเอาไว้พร้อมกับคำถาม มีหรือที่นางจะสะกดอารมณ์โกรธเอาไว้ได้ ก่อนจะด่าทอออกมาดั่งสายฟ้า “เจ้าหวังอยากจะให้เขาหายดีงั้นหรือ?เจ้าหวังอยากจะให้เขาหาย แล้วเหตุใดถึงไม่พิจารณาเสียหน่อยว่าสิ่งที่เจ้าพูดออกมานั้นมีแต่คำพูดแทงใจ?คนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการรักษา เจ้าก็ดันออกไปป่าวประกาศว่าอีกไม่นานก็จะมีต้องมีเรื่อง จงใจให้เขาได้ยินแล้วจะได้ทุกข์ใจใช่ไหมเล่า?และข้าก็กล้าท้าเช่นกันว่าเจ้าจะต้องเคยพูดต่อหน้าเขาอีกด้วยว่าเขาไม่มีทางหายป่วยเป็นแน่ แล้วให้เขาอย่าหลงต่อสะกดจิตของข้า จะได้ไม่ต้องเจ็บปวด ใช่หรือเปล่า?”
พระชายาจี้โกรธเป็นอย่างมากจนตัวสั่น ดวงตาทั้งสองกลอกไปมา จนเกือบจะหมดสติลงไป
หลู่เฟยกล่าวห้ามอย่างขุ่นเคือง: “ทุกคนเงียบเดี๋ยวนี้ จะมาทะเลาะอะไรกันตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้?เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
แน่นอนว่าหยู่เหวินหลิงจะช่วยหยวนชิงหลิง จึงรีบกล่าวขึ้นมา : “ท่านแม่หลู่ เมื่อสักครู่นี้พี่สะใภ้ใหญ่ไปตะโกนในลานว่าท่านพี่หกไม่มีทางรักษาหาย จากนั้นไม่นาน พี่สะใภ้ห้าจึงอาละวาดอยู่ด้านใน ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะพี่หกไม่ยอมทานยาหรือเปล่า”
หยวนชิงหลิงสงบอารมณ์โกรธลงแล้วเดินเข้าไปโน้มตัวเคารพ “หลู่เฟย อ๋องหวยคายยาออกมาจนหมด ยาทั้งสองครั้งที่เมื่อวานได้ทานไปก็คายออกมาจนหมด หากเป็นเช่นนี้ข้าเองก็ไร้ซึ่งปัญญาที่จะรักษาเขาให้หายได้ ข้าคิดว่าข้าควรที่จะไปรายงานแก่เสด็จพ่อโดยเร็วจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
หลู่เฟยถึงกับตกใจ “คายยา?แต่ว่าเมื่อวานนี้เขาดีขึ้นมาแล้วนี่!”
“ที่ดีขึ้นเพราะว่าเมื่อในตอนกลางวันข้าได้ให้เขาทานยา พร้อมกับฉีดยาให้เขาด้วยสองเข็ม ข้าอยากจะแจ้งไว้ก่อนเลยว่ายานี้ไม่อาจที่จะหยุดทานได้เด็ดขาด ซึ่งไม่รู้ว่าท่านอ๋องไปฟังผู้ใดพูด จนคายยาออกมาจนหมด”
หลู่เฟยประหลาดใจ ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองพระชายาจี้ “เจ้าไปกล่าวสิ่งใดต่อหน้าเขา?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ” หลังจากที่พระชายาจี้โกรธอย่างหนักก็มีอาการสับสนเล็กน้อย
จากนั้นข้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็คุกเข่าลงพลางกล่าว
: “ขอน้อมหลู่เฟย เมื่อวานนี้พระชายาจี้เข้าไปพบท่านอ๋อง แล้วกล่าวกับท่านอ๋องว่าที่ฝ่าบาทเรียกให้พระชายาฉู่มา เป็นเพียงการทำให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น เพราะในใจของฝ่าบาทนั้นทราบดีว่าไม่สามารถที่จะรักษาท่านอ๋องให้หายดีได้แล้ว จึงได้ให้หมอหลวงทั้งหมดกลับไปเจ้าค่ะ”
ครั้งนี้หลู่เฟยถึงกับกลอกตาไปมา ก่อนจะชี้ไปยังพระชายาจี้ โดยที่ยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด นางก็หมดสติล้มลงไปเสียก่อน