บทที่ 156 ปัสสาวะสังหารมังกร

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

“เป็นอะไรไป?”

ครั้นได้ยินไป๋ชิวหรานกล่าวเช่นนั้น จื้อเซียนพลันรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย

“เจ้าปวดท้องอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว”

ท่าทางของชายหนุ่มดูแปลกไป

“ที่จริงแล้วข้า… ขอพักปลดทุกข์ครู่หนึ่งได้หรือไม่?”

“ว่าอย่างไรนะ?! ประหลาดดีแท้!”

จื้อเซียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

มนุษย์ที่เข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนไม่มีความจำเป็นต้องบริโภคอาหาร กินเพียงลม ดื่มน้ำค้าง จากนั้นความสามารถในการย่อยอาหารจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างยิ่ง แม้ผู้ฝึกตนจะกินอาหารเฉกเช่นปุถุชนธรรมดาทั่วไป ทว่าพวกเขาก็สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์โดยที่ไม่จำเป็นต้องขับถ่ายเศษอาหารที่ย่อยสำเร็จออกจากร่างกายแต่อย่างใด

อีกทั้งความแข็งแกร่งทางร่างกายของไป๋ชิวหรานนั้นสูงกว่ามนุษย์ปุถุชนทั่วไปเสียอีก แม้แต่น้ำหวานหรือน้ำค้างหยกที่เหล่าเซียนใช้ดื่มกินล้วนไม่ต่างจากการดื่มน้ำต้มสุกธรรมดา ทว่าร่างกายของเขาในครั้งนี้กลับเกิดปฏิกิริยาต่างออกไป บางอย่างกระตุ้นให้ต้องการปัสสาวะ

“ข้าจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ข้าต้องการขับถ่าย คือตอนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาพิษ”

ไป๋ชิวหรานบ่นพึมพำ

“ขณะนั้นข้าจำเป็นต้องกินสิ่งที่มีพิษร้ายแรงแทบทุกวัน ซึ่งสารพิษที่ร่างกายได้รับไม่สามารถย่อยสลายได้เอง พวกมันล้วนถูกขับออกมาเพราะความจำเป็น”

“เช่นนั้น… ข้าคงอธิบายได้เพียงว่าสรรพสิ่งในยุคเผ่าเทพนั้นเหนือธรรมดาอย่างแท้จริง”

จื้อเซียนแนะนำ

“ในเมื่ออาการเช่นนั้นเกิดขึ้นแล้ว มีแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เจ้าควรแวะปลดทุกข์เสียก่อนออกเดินทางต่อ”

“อืม มีเหตุผล”

ชายหนุ่มเดินผ่านพุ่มไม้ไปยังแม่น้ำสายใหญ่ ทันทีที่เห็นคลื่นลูกใหญ่ท่ามกลางกระแสน้ำใหญ่สาดซัดคลื่นสีขาวเข้าหาฝั่ง ยิ่งกระตุ้นความปรารถนาที่อยากจะปัสสาวะมากขึ้นไปอีก!

ดังนั้นเขาจึงปลดปมผูกกางเกงขนสัตว์ ก่อนย่อตัวลงเพื่อทำธุระส่วนตัว

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ไป๋ชิวหรานก็สวมกางเกงตามเดิม พร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ความรู้สึกหวนรำลึกถึงอดีตเช่นนี้ ไม่เกิดขึ้นกับข้ามานานนับสองพันปีแล้ว”

“อืม… รู้สึกยินดีอย่างนั้นหรือ?”

จื้อเซียนนึกสงสัย

“แน่นอนว่าต้องรู้สึกยินดี…”

กล่าวจบ ไป๋ชิวหรานอุ้มหัวกะโหลกของจื้อเซียนขึ้นจากเข็มขัดก่อนนำมาถือไว้ในมือ ขณะนั้นเอง หางตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นสิ่งแปลกประหลาดหนึ่งปรากฏขึ้นในแม่น้ำ ดูลักษณะแล้วคล้ายคลึงกับหางขนาดใหญ่

“นั่นคือสิ่งใดกัน?”

เพียงครู่เดียว เมื่อคลื่นซัดเข้าฝั่งอีกครั้ง สิ่งนั้นก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ที่แท้คือมังกรยักษ์ลำตัวสีดำสนิทราวน้ำหมึก ขณะนั้นมันกำลังนอนแน่นิ่งลำตัวราบไปกับแนวแม่น้ำ ถูกกระแสน้ำพัดพาร่างไปอย่างเชื่องช้าสู่ทิศทางปลายน้ำ

“มันคือมังกรเลือดบริสุทธิ์”

จื้อเซียนทำเสียงจิ๊จ๊ะขณะกล่าวต่อ

“คุ้มค่าเหลือเกินแล้วที่ได้พบเห็นมังกรเลือดบริสุทธิ์ตัวเป็น ๆ ในโลกยุคเผ่าเทพ สายเลือดของมันบริสุทธิ์เสียยิ่งกว่าเด็กหญิงผู้ครองพรหมจรรย์… ถึงกระนั้นก็เถอะ เกิดสิ่งใดขึ้นกับมันกันแน่? ตายแล้วหรือ? เช่นนั้นตายด้วยเหตุใด?”

“ข้าจะล่วงรู้ได้อย่างไร”

ชายหนุ่มยักไหล่

“ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับข้าอย่างแน่นอน”

ทั้งสองมองดูมังกรยักษ์ที่ถูกกระแสน้ำพัดพาไป ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเดินเลียบริมแม่น้ำตามไปถึงสุดปลายทาง

ไป๋ชิวหรานก้าวเดินตามไปอย่างเนิบช้า แต่เพียงชั่วพริบตา ร่างไร้วิญญาณของมังกรยักษ์กลับจมดิ่งหายลงไปในแม่น้ำ ไม่อาจล่วงรู้ว่ามันจะถูกพัดพาไปที่ใด ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ใส่ใจมากนัก ยังคงเดินช้า ๆ เลียบไปสู่บริเวณปลายน้ำ ฆ่าสัตว์อสูรสองสามตัวที่จ้องจะเขมือบไปตลอดทาง กระทั่งเข้าสู่ช่วงพลบค่ำ เขาเดินมาถึงแหล่งน้ำนิ่งบริเวณปลายน้ำ ทันใดนั้นเสียงคำรามหนึ่งพลันดังขึ้น ฟังดูแตกต่างจากเสียงคำรามของสัตว์ร้ายทั่วไป

“บัดซบ! ผู้ใดบังอาจฆ่ามังกรของข้า?!”

“นั่นเสียงมนุษย์!”

ไป๋ชิวหรานรวบรวมสติทันที เร่งฝีเท้าเดินตามไปยังแหล่งต้นเสียงดังกล่าว

เมื่อผลักแนวพุ่มไม้ออกไป เขาสังเกตเห็นผู้ที่เป็นเจ้าของสุ้มเสียงนั้น

พวกเขาล้วนเป็นเทพเจ้าร่างสูงชะลูด สวมชุดเกราะทองสัมฤทธิ์ ถือกระบี่คมกริบอยู่ในมือข้างหนึ่ง และเจดีย์ขนาดเล็กในมืออีกข้างหนึ่ง

ร่างกายของเขาดูเผิน ๆ แล้วไม่ต่างจากมนุษย์ ทว่ามีใบหน้าเป็นสีเขียว มีเขี้ยวขนาดใหญ่สองซี่ยื่นออกมาจากใต้ริมฝีปาก เขี้ยวนั้นงองุ้มจรดทิ่มลงตรงมุมปาก

คาดเดาว่าความสูงของเทพเจ้าองค์นี้น่าจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้มีขนาดลดลงจากร่างเดิมพอสมควร แต่ถึงกระนั้นความสูงยังอยู่ที่ประมาณสิบจั้ง เมื่อยืนอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำ รูปร่างไม่ต่างอะไรไปจากยักษ์!

ไม่ไกลจากเท้าของเขา มีซากศพมังกรที่ไป๋ชิวหรานกับจื้อเซียนเห็นในแม่น้ำเมื่อไม่นานมานี้ ลำตัวสีดำสนิทนั้นมีความยาวหลายสิบจั้ง คาดเดาว่าเทพเจ้าองค์นี้อาจกู้ร่างของมันขึ้นมาจากแม่น้ำ แล้ววางแผ่ไว้บริเวณริมฝั่ง

ตรงหน้าเขา มีมนุษย์หลายคนที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นุ่งห่มปกปิดร่างกายด้วยหนังสัตว์ ต่างห้อยคันธนูไม้พร้อมกระบอกลูกศรอยู่ด้านหลัง ทุกคนล้วนคุกเข่าลงบนพื้นต่อหน้าอีกฝ่าย ร่างกายสั่นเทา

“นั่นคือเผ่ามนุษย์”

จื้อเซียนกล่าวด้วยเสียงแผ่วต่ำ

ไป๋ชิวหรานรีบอุ้มมันไปซ่อนอยู่ด้านหลังพุ่มไม้ ตั้งท่าคอยสังเกตสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างลับ ๆ ก่อน

“ฮึ่ม! ข้าอาจวางยาพิษมังกรของข้าได้ด้วยการทำให้แม่น้ำแห่งนี้เป็นพิษตลอดสาย ครั้นลองไตร่ตรองดูให้ดี คงมีเพียงผู้ที่อยู่โดยรอบพื้นที่นี้เท่านั้นที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ก็คือพวกเจ้า! มนุษย์ปุถุชนผู้ต่ำต้อย”

เทพเจ้าองค์หนึ่งแห่งเผ่าเทพเดินวกวนไปมาต่อหน้ากลุ่มมนุษย์ เสียงฝีเท้าหนักหน่วงทำให้พื้นดินบริเวณริมฝั่งแม่น้ำสั่นสะเทือน

“ต่อให้กินหัวใจหมีดีเสือดาว*[1] คงไม่บังอาจวางยาพิษมังกรของเทพเจ้าเช่นข้าเป็นแน่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำที่พวกเจ้าวางยาพิษให้เจ้ามังกรนั้นตายตกไป… คิดว่าข้าควรจัดการอย่างไรดี?”

กลุ่มมนุษย์ต่างไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใดอยู่เป็นนาน ในที่สุด มนุษย์คนหนึ่งก้มศีรษะลงต่ำ พร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำไม่แพ้กัน

“ในฐานะที่ข้าเป็นผู้นำของพวกเขา ยินดีที่จะสละชีวิตแทนผู้กระทำผิดตัวจริง…”

“บ๊ะ!”

เทพเจ้าองค์นั้นแค่นเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจะกระทืบเท้าหนัก ๆ ลงบนพื้นดิน

“ชีวิตเจ้ามีค่ามากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?! เจ้าเทียบค่าของตนกับมังกรของข้าได้อย่างไร?! ถึงชีวิตสมควรแลกด้วยชีวิต แต่ชีวิตต่ำต้อยของเจ้ามีค่าทัดเทียมกับมังกรของข้าหรือ?!”

เผ่ามนุษย์คนอื่น ๆ ได้แต่ก้มศีรษะงุด ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่ผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ณ ที่แห่งนั้นจะกล่าวอย่างรวดเร็วว่า

“ท่านเทพเจ้าโปรดระงับโทสะลงก่อน… เช่นนั้นท่านต้องการสิ่งอื่นใดในการชดใช้แทนหรือไม่? เผ่าพันธุ์ของเราจะพยายามหามาชดใช้ให้อย่างสุดความสามารถ”

“เดิมที หากกล่าวกันด้วยเหตุและผล ข้าควรตัดศีรษะหัวหน้าเผ่าพันธุ์เพื่อแลกกับชีวิตมังกรน้อยด้วยซ้ำ”

เทพเจ้ากระชับกระบี่ในมือแน่น พร้อมก้าวเดินไปมา

“เห็นแก่กิจวัตรประจำวันภายในครอบครัวของเจ้าที่คอยสรรเสริญบูชาเทพเจ้าด้วยความจริงใจ ถวายเครื่องสักการะมากมายนับไม่ถ้วน กระทั่งเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิสวรรค์และเทพเจ้าองค์อื่น เทพเจ้าเช่นข้าไม่อาจกระทำการบุ่มบ่าม ดังนั้นจะให้โอกาสสุดท้าย กลับไปคราวนี้จงคำนวณเวลาตกฟากของเด็กแรกเกิดภายในเผ่าพันธุ์ของเจ้าให้ดี เลือกทารกลักษณะอ่อนโยนน่าเอ็นดูสองสามคนแล้วส่งตัวมาเพื่อเป็นการขอขมา แล้วข้าจะละเว้นโทษในวันนี้”

ทันทีที่เขากล่าวจบ ไป๋ชิวหรานเห็นว่าร่างกายของคนที่เป็นผู้นำสั่นเทาอย่างชัดเจน ทว่าเขาทำสิ่งใดไม่ได้นอกเสียจากก้มศีรษะลงพร้อมเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วต่ำ

“ขอบคุณท่านเทพเจ้าสำหรับความเมตตาอันใหญ่หลวงของท่าน… ข้าจะจัดหาให้ตามที่ประสงค์”

“อืม จดจำไว้ให้ดี กำหนดส่งตัวคือเจ็ดวันนับจากนี้”

เทพเจ้าองค์นั้นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“อีกประการหนึ่ง ข้าไม่โปรดปรานทารกที่ถือกำเนิดมาแล้วเกินหนึ่งเดือน ฉะนั้นตัดพวกเขาออกจากตัวเลือกไปซะ”

“ขอรับ”

เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่าตนไม่สามารถสังเกตการณ์อย่างนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเทพเจ้าเหล่านี้ไม่นับว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐแต่อย่างใด ทว่ามองเห็นเป็นเพียงปศุสัตว์ประเภทหนึ่งที่เลี้ยงไว้ในกรง แตกต่างเพียงพวกเขาสามารถใช้ภาษาสื่อสารกับตนได้…

ชายหนุ่มบิดข้อมือหนึ่งครั้ง เตรียมออกแรงส่งให้เทพเจ้าองค์นี้ไปยังปรโลกเพื่อรับโทษทัณฑ์บั่นคอเสีย ทว่าขณะที่เขาพยายามโคจรพลังวิญญาณที่แท้จริงภายในร่างกาย บรรยากาศโดยรอบจากทุกทิศทางกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีเทาอึมครึม ทุกสรรพสิ่งพลันหยุดนิ่ง แรงกดดันอันคุ้นเคยจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง!

คราวนี้แรงกดดันดังกล่าวกับจัดการกับไป๋ชิวหรานต่างออกไป มันพยายามหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเขาเท่านั้น ทว่ากลับกัน… กาลเวลาและเหตุการณ์กลับไม่หยุดดำเนินต่อไป ดูเหมือนว่าวิถีสวรรค์เพียงต้องการแยกชายหนุ่มออกจากโลกตรงหน้าเป็นการชั่วคราว

“นี่คงเป็นการแทรกแซงจากวิถีสวรรค์”

จื้อเซียนกล่าวพึมพำ

“ดูเหมือนว่ามันไม่ต้องการให้เราก้าวก่ายหรือเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์บางส่วนที่เคยเกิดขึ้น”

ไป๋ชิวหรานขยับริมฝีปาก ยังไม่ทันกล่าวตอบแต่อย่างใด จู่ ๆ กลับได้ยินน้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากพุ่มไม้ซึ่งอยู่เบื้องหลังของริมฝั่งแม่น้ำ

“หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้!”

*[1] กินหัวใจหมีดีเสือดาว = หมายถึงใจกล้าบ้าบิ่น