ตอนที่ 192 หนีหัวซุกหัวซุนภายในชั่วข้ามคืน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 192 หนีหัวซุกหัวซุนภายในชั่วข้ามคืน

คนร้ายตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ฉันแค่แอบเข้าไปเพื่อขโมยของ ไม่ได้วางแผนทำอะไรอย่างอื่น!”

ทว่าไม่อาจรอดพ้นทักษะการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองไปได้

หลังเสร็จสิ้นการสอบปากคำ เกราะป้องกันทางจิตวิทยาของคนร้ายก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว

หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองแอบเข้าไปในห้องพักของหลินม่ายเพื่อทำอะไรไม่ดีไม่งาม แต่ได้รับคำสั่งมาอีกทีหนึ่งให้เข้าไปอยู่ในห้องของหลินม่ายให้ได้

หลังจากนั้นไม่นาน ก็จะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมการค้าประเวณี จากนั้นเขาก็ย้อนกลับมาที่หลินม่ายอีกครั้ง โดยกล่าวหาว่าเธอเป็นโสเภณี เขาเป็นแค่ตัวล่อเป้าเพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการบุกจับเท่านั้น หลินม่ายต่างหากที่เป็นคนร้าย

เพื่อให้ตัวเองได้รับสิทธิ์ลดหย่อนโทษ เขายังให้การรับสารภาพอีกว่าตัวเองเป็นคนสร้างสถานการณ์ไฟไหม้ขึ้นมาจริง เพื่อฉวยโอกาสชุลมุนดังกล่าวแอบเข้าไปในห้องของหลินม่าย

ตำรวจจึงควบคุมตัวเข้าเพื่อแกะรอยตามจับคนที่สั่งการอยู่เบื้องหลังทันที

หลินม่ายอยากตามพวกเขาไปด้วย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อนุญาต เธอจึงทำได้แค่นั่งรอข่าวอยู่ภายในโรงแรมเท่านั้น

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองพร้อมด้วยคนร้ายเดินทางไปถึงโรงแรมเหิงไหล พบว่าผู้ที่สั่งการเขาจากเบื้องหลังได้หลบหนีไปแล้ว

ถึงอย่างนั้นทางโรงแรมก็ยังคงมีข้อมูลการลงทะเบียนผู้เข้าพักอาศัยไว้อยู่ ว่าชื่อฟางถิง อายุยี่สิบปี มาจากเจียงเฉิง

ขณะเดียวกันนั้นเอง ทั้งฟางถิงและหวังหรงต่างตื่นตระหนกสุดขีดและวิ่งหนีหางจุกตูดเหมือนกับสุนัข พวกหล่อนเร่งรุดไปที่สถานีรถไฟกว่างโจว ซื้อตั๋วรถไฟเที่ยวล่าสุดหนีกลับไปที่เจียงเฉิง

คนร้ายที่พวกหล่อนจ้างวานให้มากระทำย่ำยีหลินม่ายเป็นนักเลงไร้อนาคตที่เพื่อนของฟางถิงซึ่งอยู่ในกว่างโจวแนะนำมาอีกที

ฟางถิงยังรู้สึกงุนงงไม่หาย หล่อนวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างรัดกุมแล้วแท้ ๆ ทำไมผู้หญิงหน้าโง่อย่างหลินม่ายถึงมองออกกัน?

เธอรีบปิดล็อกประตูห้องจากด้านนอก มิหนำซ้ำยังเชิญชวนให้ผู้พักอาศัยที่อยู๋ในโรงแรมเดียวกันโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจค้นห้อง

โชคดีที่หล่อนแทรกตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมากด้านหน้าโรงแรมเพื่อคอยติดตามสถานการณ์ ไม่อย่างนั้นหล่อนคงถูกคนร้ายที่ตัวเองเป็นคนจ้างวานมาพบเห็นและชี้เป้าไปนานแล้ว

ทันทีที่เห็นว่าคนร้ายถูกจับกุม หล่อนก็รีบวิ่งหนีกลับมาที่โรงแรม ขอให้หวังหรงเก็บข้าวของหนีออกไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นคงถูกตำรวจตามมาเจอในที่สุด

ขณะที่นั่งอยู่บนขบวนผู้โดยสาร ฟางถิงยังหวาดกลัวไม่หาย

หวังหรงหันไปดุอีกฝ่ายด้วยความตื่นตระหนกไม่แพ้กัน “ฉันเตือนเธอแล้วว่าอย่าได้คิดจะทำร้ายหลินม่าย แต่เธอก็ยังดื้อดึงทำแบบนั้น เห็นไหมว่าตอนนี้เธอต้องหนีหัวซุกหัวซุนภายในชั่วข้ามคืน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะถูกประกาศจับทีหลังหรือเปล่า”

ฟางถิงกลับไม่สนใจ “ขอให้ฉันหนีกลับไปที่เจียงเฉิงได้ก่อนเถอะ ต่อให้ท้องฟ้าถล่มทลาย พ่อแม่ของฉันก็ยังแบกรับมันเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ยังมีคุณปู่คุณย่าอยู่ทั้งคน!”

พอได้ยินหล่อนพูดแบบนั้น หวังหรงก็เงียบไป

ถึงอย่างไรหล่อนก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่เหมือนฟางถิงที่จะถูกทางการประกาศจับเมื่อใดก็ได้ ต่อให้อีกฝ่ายถูกประหารยิงเป้า ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหล่อนเลยสักนิด หล่อนไม่ได้มีส่วนร่วม และไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน

เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนามควบคุมตัวคนร้ายกลับมายังโรงแรมของรัฐที่หลินม่ายพักอาศัยอยู่ เพื่อแจ้งความคืบหน้าล่าสุดของคดีความ ทั้งยังถามด้วยว่าเธอรู้จักคนที่ชื่อฟางถิงไหม

หลินม่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “รู้จักค่ะ”

ตำรวจถามกลับ “คุณเคยมีเรื่องบาดหมางกับหล่อนงั้นหรือ?”

หลินม่ายจึงเล่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังตามจริงถึงเรื่องขุ่นข้องหมองใจระหว่างทั้งสองฝ่าย

เจ้าหน้าที่ทั้งสองนิ่งเงียบกันไป

พวกเขาพูดอะไรไม่ออก ต้นเหตุเป็นเพียงความขัดแย้งเชิงชู้สาวเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง แต่ฟางถิงกลับโกรธแค้นถึงขั้นจ้างวานคนร้ายมาทำให้เธอเสื่อมเสียถึงที่โรงแรม นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว!

หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายขอตัวกลับไป หลินม่ายจึงสามารถนอนหลับได้อย่างสงบเป็นเวลาสองสามชั่วโมง

ตอนเช้า ฟางจั๋วหรานมารับหลินม่ายเพื่อไปซื้อเสื้อผ้าด้วยกัน พอเห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาก็คาดเดาว่าคงเป็นเพราะอากาศร้อนเกินไปจนเธอนอนหลับไม่เต็มอิ่มในตอนกลางคืน ซึ่งเรื่องทุกข์ใจเหล่านี้ แค่เดินทางกลับไปที่เจียงเฉิงก็คงพอจะชดเชยการนอนได้บ้าง

ทั้งสองออกไปกินอาหารมื้อเช้าด้วยกัน

ฟางจั๋วหรานสังเกตว่าหลินม่ายยังคงกังวล ไม่ค่อยจดจ่ออยู่กับอาหารตรงหน้า จึงถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไป?”

หลินม่ายเงยหน้าขึ้น ร้องเรียกชื่อเขา “จั๋วหราน…”

ฟางจั๋วหรานตอบรับคำด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่รออยู่นาน กลับไม่มีประโยคใด ๆ ต่อจากนั้น

เขามองเธอด้วยความแปลกใจ “คุณอยากจะพูดอะไรหรือเปล่า?”

หลินม่ายส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสองก็เดินทางมาที่ตลาดค้าส่งเสื้อผ้า เวลานี้เป็นช่วงที่การจับจ่ายซื้อสินค้าหนาแน่นที่สุดของวัน ตลาดค้าส่งเสื้อผ้าจึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก

นี่เป็นครั้งที่สองที่หลินม่ายมารับเสื้อผ้าไปขาย เธอรู้ราคาทุนของเสื้อผ้าหลากหลายประเภทแล้ว ดังนั้นจึงเดินนำฟางจั๋วหรานตรงไปยังร้านค้าที่เธอเพิ่งทำธุรกิจซื้อขายครั้งล่าสุด

ร้านแรกที่เธอตั้งเป้าหมายไว้คือร้านขายส่งเสื้อผ้าสตรี “Pretty Lady”

เจ้าของร้านคอยดูแลและให้คำแนะนำเธอเป็นอย่างดี ตราบใดที่อีกฝ่ายให้บริการดี หลินม่ายก็ยินดีจะอุดหนุน

ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยเห็นหนุ่มสาวทั้งสอง ก็รีบปรี่เข้าไปทักทายอย่างอบอุ่น “พ่อหนุ่มรูปหล่อ คนสวย พวกคุณมาซื้อเสื้อผ้าอีกแล้วหรือจ๊ะ?”

ว่าแล้วหล่อนก็เอื้อมมือไปตบไล่ของฟางจั๋วหรานสองครั้ง “ฉันจะบอกให้นะพ่อหนุ่ม คุณน่ะโชคดีมาก แฟนสาวของคุณดีกับคุณมากเชียวล่ะ หล่อนจะเลือกซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองยังลังเล แต่กลับหาซื้อเสื้อผ้าให้คุณหลายตัวเลย”

ฟางจั๋วหรานเพียงยิ้มตอบ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเลี่ยงมือหมูเค็ม(1)ของอีกฝ่ายที่ยื่นมาสัมผัสโดยไม่จำเป็น

รอบนี้หลินม่ายเลือกซื้อเสื้อปีกค้างคาวกับกางเกงยีนจากร้าน Pretty Lady โดยพิจารณาเลือกจากแฟชั่นที่ขายดิบขายดีในครั้งที่แล้ว

หลังจากเลือกครบแล้ว ก็เรียกให้เถ้าแก่เนี้ยมาคิดเงิน ปากก็พูดไปด้วยว่า “พี่สาว พบกันครั้งแรกอาจแปลกหน้า พบกันครั้งที่สองกลายเป็นคนคุ้นเคย คุณเองก็คุ้นหน้าคุ้นตาฉันแล้ว แถมฉันยังเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้อีกด้วย คุณต้องลดราคาให้ฉันแล้วล่ะค่ะ”

เถ้าแก่เนี้ยบ่นด้วยความไม่เต็มใจ “เสื้อปีกค้างคาวของร้านฉันขายส่งอยู่ที่ตัวละแปดหยวน ครั้งล่าสุดฉันขายให้คุณแค่เจ็ดหยวนเอง นั่นเป็นราคาที่ต่ำสุดแล้ว คราวนี้ฉันลดให้ถูกไปกว่านั้นไม่ได้จริง ๆ”

หลินม่ายคิดว่าอีกฝ่ายแค่พูดไปอย่างนั้น “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ไว้ฉันค่อยไปซื้อจากร้านอื่นเอาก็ได้”

พูดแบบนั้นแล้ว พวกเขาก็หันหลังกลับเตรียมเดินออกจากร้านไป

ถึงแม้ธุรกิจค้าขายเสื้อผ้าในยุคนี้จะคล่องตัวกว่าธุรกิจอื่น แต่หลินม่ายซื้อสินค้าครั้งละหลายตัว ถึงไม่ใช่ลูกค้ารายใหญ่ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นลูกค้าระดับกลาง

ที่สำคัญคือเธอเป็นลูกค้าที่ซื้อมาขายไปเร็วมาก ผ่านไปแค่ไม่กี่วันก็เดินทางมาซื้อเสื้อผ้าอีกครั้งแล้ว ลูกค้าระดับกลางที่มีคุณสมบัติถูกใจแบบนี้ จะยอมเสียไปได้อย่างไร!

เถ้าแก่เนี้ยรีบคว้าแขนหลินม่ายไว้ “คนสวย การซื้อขายต้องค่อยพูดค่อยเจรจา ทำไมคุณถึงได้ไม่พอใจนักล่ะ?”

หลินม่ายพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันเปล่าไม่พอใจซะหน่อย ในเมื่อฉันไม่ได้รับส่วนลดพิเศษ ก็ไม่เห็นต้องเจรจาต่อรองราคากันอีก ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่เสียเวลา”

เถ้าแก่เนี้ยชะงักนิ่งไปสักพัก ก่อนจะลดระดับเสียงลง พูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ “คุณอยากซื้อเสื้อผ้าราคาถูกใช่ไหมล่ะ? ฉันยังมีเสื้อผ้าที่ถูกและดีอยู่อีกเพียบเลยนะ อยากไปดูหรือเปล่า?”

สายตาของหลินม่ายเต็มไปด้วยความสงสัย “เสื้อผ้าราคาถูกและดี? เป็นเสื้อผ้าประเภทไหนกัน?”

“ของนำเข้าน่ะ” เถ้าแก่เนี้ยกวักมือเรียกซ้ำเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเธอยังคงปรากฏเครื่องหมายคำถาม “พูดปากเปล่าคุณคงไม่เข้าใจ ตามฉันไปดูสินค้าด้วยกันสิ”

พูดจบแล้วก็หันกลับไปฝากร้านกับผู้ช่วยที่อยู่ภายในร้านอีกสองสามคน แล้วหันกลับมาถามหลินม่ายและฟางจั๋วหราน “พวกคุณขี่มอเตอร์ไซค์เป็นไหม?”

ไม่ว่าจะมอเตอร์ไซค์ จักรยานไฟฟ้า หรือแม้แต่รถยนต์ หลินม่ายก็ขับเป็นทั้งนั้น แต่เพราะมีฟางจั๋วหรานอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ เธอจึงไม่สามารถตอบตกลงได้

นั่นเป็นเพราะเธอกลัวว่าฟางจั๋วหรานจะถามไล่บี้เอาว่าเธอไปเรียนรู้การขับมาจากไหน แล้วเธอก็ต้องโกหกเขา คำโกหกแค่หนึ่งครั้งย่อมตามมาด้วยคำโกหกนับร้อย สร้างปัญหาตามมาไม่รู้จบ

ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้า “จักรยานพอขี่ได้ แต่มอเตอร์ไซค์นี่ไม่เป็นจริง ๆ ค่ะ”

ฟางจั๋วหรานโพล่งขึ้นมา “เดี๋ยวผมขับเอง”

หลินม่ายฝากรถเข็นคันเล็กไว้ที่ร้านของเถ้าแก่เนี้ย ก่อนที่ทั้งสองจะเดินตามหลังเถ้าแก่เนี้ยไปยังโรงจอดรถด้านหลัง

เถ้าแก่เนี้ยขับมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ส่วนฟางจั๋วหรานขับมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งโดยมีหลินม่ายนั่งซ้อนท้าย

ฟางจั๋วหรานวาดขาควบรถมอเตอร์ไซค์ หลินม่ายก็ขึ้นไปนั่งซ้อนด้านหลัง เหยียดแขนออกไปกอดเอวเขาไว้หลวม ๆ

ถึงแม้ทั้งคู่จะคบหาเป็นแฟนกันแล้ว แต่หลินม่ายก็ยังเขินอายเล็กน้อยเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดกับเขาแบบนี้ ส่วนฟางจั๋วหรานนั้นอดยิ้มไม่ได้

หลังจากขับมอเตอร์ไซค์ตามกันมาเป็นเวลาเกือบชั่วโมง พวกเขาทั้งหมดก็มาถึงอาคารโรงงานสภาพรกร้าง

ภายในตัวอาคารไม่มีเสียงคำรามของเครื่องจักร ไม่มีแม้แต่ร่องรอยการเคลื่อนไหวของคนงาน

ดูจากสภาพโดยรวมแล้วที่นี่เป็นเหมือนโกดังมากกว่า

เถ้าแก่เนี้ยกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์เมื่อขับไปจอดอยู่หน้าประตูโกดัง ทักทายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เฝ้ายามอยู่ด้านหน้าอย่างสนิทสนม “สินค้านำเข้าล็อตนั้นยังอยู่หรือเปล่า?”

รปภ.พยักหน้า “ยังอยู่ครับ”

สายตาของเขามองผ่านไปทางหลินม่ายกับฟางจั๋วหราน ก่อนจะหันกลับมาถามเถ้าแก่เนี้ย “คุณพาพวกเขามาดูสินค้าเหรอ?”

เถ้าแก่เนี้ยตอบรับในลำคอ

…………………………………………………

มือหมูเค็ม มีความหมายเดียวกับ มือปลาหมึกของไทยเรา ไว้ใช้พูดถึงคนที่ชอบฉวยโอกาสยุ่มย่ามแต๊ะอั๋งคนอื่น

สารจากผู้แปล

สมน้ำหน้านังถิงถิง เป็นไงล่ะอยากหาเรื่องใส่ตัวนัก ดิ้นใหญ่เลย

ไหหม่า(海馬)