บทที่ 184 อำพันขี้ปลา

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่184 อำพันขี้ปลา

“จ้าวหลิน มีก็ลูกเขยบ้านของเธอนั่นแหละ มาอยู่ตั้งนานแล้ว ทำไมป่านนี้ยังหางานทำไม่ได้เสียที?”

และในทันทีนั้นจ้าวเหมยเหมยก็เอ่ยปากขึ้นมา บรรดาคนทั้งหลายก็พุ่งเป้าไปที่มู่เซิ่ง

จ้าวหลินหน้าเปลี่ยนสีขึ้นในทันที มีรู้สึกให้หงุดหงิดไม่สบาย แม้มู่เซิ่งก็ยังขมวดคิ้วย่น ยายคนนี้นี่ เพิ่งโดนเขาตบหน้าไปทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังจะเริ่มมุ่งหาเรื่องอะไรใส่มาหาเขาอีก?

ส่วนจ้าวลิ่วป๋อต่อหน้าหมู่ญาติมากมาย ฟังเรื่องประชดเหยียดหยามกันอยู่ ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปแขวนไว้ไหนดี สีหน้าที่เหี่ยวย่น บัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวเขียว

ต่างก็เป็นลูกเขยด้วยกัน ทำไมลูกเขยของจ้าวเหมยเหมย เทียบกับลูกเขยของจ้าวหลินแล้วห่างกันมากขนาดนั้น?

“จ้าวเหมยเหมย ลูกเขยบ้านฉันเป็นยังไง เธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วไม่ใช่หรือ?” จ้าวหลินชายตามองไป สะบัดเสียงฮึเบา ๆ

“แก—–”

โดนสะกิดแผลเข้าที่ใจ จ้าวเหมยเหมยให้รู้สึกโกรธขึ้นมา แต่ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าคนจำนวนมาก ย้ายสายตาออก เปลี่ยนเรื่องพูดไปว่า “คุณลูกเขย คนเขาไม่มีงาน สงสัยจะหางานไม่เป็น เธอดูเขาวัน ๆ เอาแต่เกาะชายกระโปรงกิน ก็น่าสงสารอยู่นะ หรือไม่ เธอก็ให้เขาไปช่วยเธอเก็บนู่นจัดนี่ในบริษัทก็ได้นี่”

เฉินเสวียลี่ไหนเลยจะฟังไม่รู้ถึงความหมายของจ้าวเหมยเหมย รีบส่ายหน้าตอบไปว่า “คุณป้าครับ บริษัทเราถึงจะมีรับคนดูแลเก็บกวาด แต่ไม่ใช่จะรับใครก็ได้นะครับ อย่างน้อยก็ต้องระดับมีปริญญาขึ้นไป”

พูดเสร็จ เขายังมองไปที่มู่เซิ่งด้วยสายตาวอนขออภัย “ต้องขอโทษนะ บริษัทเราไม่รับเศษขยะ”

มู่เซิ่งผงกหัวเซื่อง ๆ เรื่องต่อปากต่อคำ เขาไม่เคยใส่ใจเอาเลย

“แต่ถึงยังไงก็เถอะ การหมกอยู่กับบ้านผ่านไปวัน ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเลยนะ”

“นั่นสิ ผู้ชายทั้งแท่ง จะให้เมียตัวเองเลี้ยงไปวัน ๆ ได้ยังไงใช่มั้ย ฉันก็มีรู้จักพวกหัวหน้าคนงานตามไซท์งานอยู่ ถ้าคุณจะหางานขนอิฐขนปูนทรายทำ ฉันก็พอช่วยดูให้คุณได้นะ วัน ๆ จะหาสักร้อยสองร้อยก็คงจะได้อยู่นะ”

เหล่าบรรดาญาติต่างพูดอะไรกันไปต่าง ๆ นา ๆ ในคำที่พูด การสบประมาท แสดงออกชัดไม่มีสงวน

สีหน้าเจียงหว่านหนาวเยือก เธอคิดไม่ถึงเลย พวกที่เป็นญาติเหล่านี้ กลับจะดูถูกมู่เซิ่งกันถึงขนาดนี้ รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก วันนี้ก็ไม่ควรที่จะมางานเลี้ยงฉลองนี้เลย

“คุณตาคะ นี่เป็นของขวัญที่หนูเตรียมมาให้คุณตา ตอนนี้ที่บ้านหนูมีเรื่องต้องทำ พวกเราจำต้องขอกลับก่อนแล้ว”

เจียงหว่านได้หยิบเอากล่องที่สวยประณีตออกมาจากกระเป๋า วางลงบนโต๊ะ

ของในกล่องนั้นเป็นของที่มีค่าสูงมาก มันคือ ‘ตังถั่งเฉ้า’ ราคาท้องตลาดเวลานี้ อย่าพูดเลยว่ากี่สิบหมื่น (แสน)

จ้าวลิ่วป๋อถึงกับจ้องตาค้าง

“กินข้าว มากินข้าวกันเถอะ อย่าเพิ่งไปคุยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย”

เห็นหลานสาวบอกว่าจะรีบกลับ จ้าวลิ่วป๋อรีบออกมาพูดคลายความตึงเครียด พูดชักชวนกับทุกคน

หลายคำของคำพูดนั้นจะฟังไม่ได้เอาเลย แต่มู่เซิ่งดูเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว อะไรกินได้ กิน อะไรน่าดื่ม ดื่ม เวลานี้ในความคิดของเขา ล้วนจมอยู่กับเรื่องตัวยาที่ใช้ทำยาเม็ดฟื้นฟูเม็ดที่สอง

ได้ยาเม็ดที่หนึ่งไปแล้ว รักษาและแก้อาการเกร็งแข็งไปทั้งตัวของคุณพ่อของเขาไปได้แล้ว แต่ทว่า จะต้องทำเม็ดที่สองออกมา จึงจะรักษาให้คุณพ่อหายจากอาการป่วยได้อย่างเด็ดขาด

สภาพของเขาในตอนนี้ เขานอกจากได้ตะขาบมาจากเยี่ยนจิงแล้ว ก็ยังขาดสมุนไพรอีกหลายตัว

“ไอ้ขยะนี่ทำไมรู้แต่จะกิน เศษเดนจริง ๆ ” เห็นมู่เซิ่งไม่พูดไม่จา ทันทีนั้นก็มีคนพูดแดกดันกันขึ้นมา

“ฉันว่าเขาคงไม่เคยได้กินของดี ๆ มาเลยมั้ง แค่ก็น่าจะใช่นะ วัน ๆ ก็ทำครัวบ้าน ๆ จะไปกินของดี ๆ อะไรกันได้”

“ฮ่า ๆ ๆ น่าสงสารจัง…..”

ญาติ ๆ หลายคนหัวร่อต่อกระซิกกันเบา ๆ

พวกเขาต่างคนต่างก็ชมเชยเฉินเสวียลี่กัน ส่วนมู่เซิ่ง กลับกลายเป็นหินรองขาให้พวกเขายกสูงตัวเอง

ในขณะที่ขนมเค้กกำลังถูกเข็นเข้ามา เตรียมจัดทำการตัดอยู่นั้น ประตูใหญ่ถูกเปิดออกในทันใดนั้น ชายหนุ่มในชุดสากลรองเท้าหนังมันขลับ เดินเข้าประตูมา

หนึ่งในนั้นอยู่ในชุดสากลสีขาว เป็นชายหนุ่มหุ่นสูงชะลูดพูดขึ้นว่า “ขออนุญาตเรียนถามครับ นี่ใช่งานแซยิดของท่านจ้าวลิ่วป๋อนะครับ?”

“ไม่ผิด ผมก็คือจ้าวลิ่วป๋อ พวกคุณคือ?”

จ้าวลิ่วป๋อที่นั่งตรงตำแหน่งประธานมองดูพวกเขาก็ไม่เหมือนใช่จะเป็นพนักงานบริการ จึงถามไปด้วยความสงสัย

“สวัสดีครับท่าน นี่เป็นของขวัญที่เจ้านายของพวกผมส่งมา ที่ผมนี่ ยังมีหนังสือถึงท่านด้วยฉบับหนึ่ง” ชายหนุ่มในชุดสูทพูดอย่างนอบน้อม

หลังจากพูดจบ เขาก็ได้นำกล่องของขวัญวางไว้ที่ข้างหน้าจ้าวลิ่วป๋อ ล้วงจดหมายออกมาจากกระเป๋า วางไว้ข้างบนแล้วเดินถอยออกจากไป

จ้าวลิ่วป๋อ รับเอากระดาษนั้นมา ทุกคนต่างถามกันอย่างฉงนใจ “คุณปู่ คนจากไหนกันครับ/คะ?คุณปู่รู้จักไหม?”

“ฉันยังไม่รู้เลย” จ้าวลิ่วป๋องงอยู่เต็มหน้า

คนที่เขารู้จัก ล้วนอยู่กันที่งานเลี้ยงนี้แล้ว นอกจากญาติ ๆ พวกนี้แล้ว ยังจะมีใครมาอวยพรวันแซยิดให้เขาอีก?

จ้าวลิ่วป๋อคิดยังไงก็คิดไม่ออก

“คุณปู่ ลองเปิดออกดูก่อนสิครับ/คะ” มีคนเร่งเร้าขึ้น

จ้าวลิ่วป๋อผงกหัว รีบแกะเปิดกล่องออก ที่เห็นนั้น เป็นเหมือนก้อนดินสีเทาน้ำตาลก้อนหนึ่ง มองดูไม่สะดุดตา นอกนั้น ภายในกล่องมีกลิ่นหอมเย็น ๆ ที่ยากจะอธิบายได้โชยออกมา

“นี่คืออะไรกัน?พวกเธอมีใครรู้จักไหม?”

พวกเหล่าบรรดาญาติต่างก็ไม่เคยได้อยู่ในสังคมโลกกว้าง แต่ละคนก็มีการถามกันขึ้นมาด้วยความสงสัย

เฉินเสวียลี่ตาลุกกว้างขึ้นมาอย่างทันที เดินชิดขึ้นไปข้างหน้า พูดว่า “ให้ผมดูหน่อย”

เขาบรรจงประคองกล่องใบนั้นไว้ เพ่งพิจารณาอย่างละเอียด อ้าปากสูดเอาลมเย็นเยือกเข้าไปเฮือก หลังจากได้กลิ่นหอมประหลาดเข้าไปในฉับพลันนั้น เฉินเสวียลี่อึ้งงงยืนค้างอยู่กับที่

“นี่…..ถึงขนาดเป็นนี่นะ!”

มือของเขาทั้งคู่ออกอาการสั่น กล่องสวยอย่างประณีตดูไม่ได้หนัก อยู่ในมือเขาตอนนี้ เหมือนมีน้ำหนักมากเป็นตัน ๆ

“แล้วนี่มันคืออะไรหรือ?”

“นั่นสิ เฉินเสวียลี่ คุณทำเป็นเอะอะโวยวาย แล้วไอ้นี่มันเป็นอะไรกัน คุณก็รีบบอกพวกเราหน่อยสิ”

“พวกเราก็รู้ว่าคุณมีความรู้กว้างมาก รีบบอกเลย อย่ามัวทำวางตัวเลย”

เหล่าบรรดาญาติพวกนั้นพูดเร่งรัดอย่างอดกันไม่ไหว

“นี่ นี่คืออำพันทะเลนะ!” เฉินเสวียลี่ประคองกล่องไม้นั้นไว้พูดอย่างตื่นใจ “พวกคุณก็รู้นะ ผมเป็นเจ้าของบริษัท ปกติเป็นคนชอบเก็บสะสมของประเภทแบบนี้ อำพันทะเล ผมจำได้อย่างชัดเจน!”

“เพราะในช่วงก่อนหน้านี้ มีงานประมูลที่เจียงหนานอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นงานเลี้ยงจัดประมูลระดับสุดยอดที่มีเฉพาะกลุ่มตระกูลชั้นสูงอันดับหนึ่ง ในงานประมูลครั้งนั้น อำพันทะเลก้อนนี้แหละ ตกลงขายออกไปในราคาแปดสิบล้าน!และนี่ ผมดูจากสีสันรูปร่างของอำพันทะเลนี้ ร้อยทั้งร้อยต้องเป็นชิ้นที่ประมูลกันในงานนั้นแน่นอนเลย!”

“จะเป็นใครกัน ใครนะที่ให้ของขวัญราคาสูงล้ำขนาดนี้มาให้ฉันได้?”

“ฮ๊ะ……..อะไรนะ?”

หลังจากเฉินเสวียลี่แจงบอกออกไป

คนทั้งหมดตกใจอ้าปากหวอกันคางแทบหลุด

“แปดสิบส้าน?”

“อำพันทะเล ?”

“โอพระเจ้า ไม่ว่าเงินจริงหรือเงินปลอม เกิดมาทั้งชาติยังไม่เคยเห็นเงินก้อนขนาดนั้นเลย”

ตัวจ้าวลิ่วป๋อเองก็ยิ่งงงไปใหญ่ เขายืนอยู่ที่หน้าโต๊ะ ถ้าไม่ได้เด็กลูกหลานข้าง ๆ พยุงเอาไว้ เขาคงทรุดนั่งลงกับพื้นแล้ว พวกเขาถึงแม้จะพอมีฐานะหน้าตาในอำเภอซานเซี่ยง แต่ยังจัดเป็นตระกูลชั้นสูงไม่ได้เลย แม้จะไปเทียบตระกูลชั้นสูงอันดับสามก็ยังไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องไปคิดเลยว่าจะได้ของขวัญราคาสุดสูงขนาดนี้

ทว่า ในใจของเขาก็มีรู้สึกหวาด ๆ อยู่

ใครกันแน่ที่ให้มา จะส่งผิดหรือไม่?

“คุณพ่อ ในนี้มีกระดาษเขียนข้อความอยู่ใบหนึ่ง พ่อรีบเปิดดูสิคะ ของขวัญราคาแพงขนาดนี้ อย่าให้มีอะไรผิดพลาดได้ทีเดียว”

“ใช่ ใช่ ใช่ รีบเปิดดูหน่อยซิ”