ตอนที่ 299 มโนธรรม นางไม่มี!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 299 มโนธรรม? นางไม่มี!

แม้ว่าวัดผู่ซ่านจะเป็นสำนักชี แต่ก็ค่อนข้างมีชื่อเสียง แม้ว่าแม่ชีส่วนใหญ่ที่นั่นจะไม่ลงรอยกัน แต่ปกติก็ใจดีเสมอ เจ้าสำนักชีเป็นหมอหญิง รักษาให้สตรีเป็นส่วนใหญ่ ทั้งยังมีลูกศิษย์ภายใต้การดูแลสองคน มีผู้คนนับหน้าถือตาเป็นอย่างมาก อย่างไรเสียสตรีก็มีโรคบางอย่างที่ยากจะบอกได้ หมอหญิงจึงเหมาะสมที่จะรักษาให้มากกว่า ดังนั้นสำนักชีแห่งนี้จึงมีคนมาจุดธูปบูชาและมีชื่อเสียงอยู่บ้าง

บนยอดเขาตรงข้ามวัดผู่ซ่านมีป่าต้นสาลี่ขนาดย่อม ที่เชิงเขามีหมู่บ้านสองสามหมู่บ้าน ตระกูลเซียวครอบครองหนึ่งในนั้น

ฉินหลิวซีหาสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยที่ดีบนยอดเขานี้ฝังกระดูกของฝูเซิง ซ้ำยังแกะสลักป้ายหลุมศพด้วยตัวเอง เช่นนี้หลุมศพของฝูเซิงก็จะหันหน้าไปทางวัดผู่ซ่าน สามารถมองเห็นกันได้จากระยะไกล

เซียวชิงหันเข้าใจสิ่งที่นางทำ ย่อเข่าคำนับฉินหลิวซีอย่างเป็นทางการเพื่อเป็นการขอบคุณ

ฉินหลิวซีเอ่ย “หนทางยังอีกยาวไกล จะไปต่ออย่างไรก็ต้องเคารพความปรารถนาของตัวเจ้าเอง บางครั้งความหงุดหงิดและการโกรธตัวเองก็ไม่ได้ทำให้ใจของเจ้ารู้สึกดีขึ้น หากต้องการชดใช้บาป ไม่สู้ทำความดีในนามของอีกฝ่ายให้มากๆ ด้วยวิธีนี้นางจึงจะสามารถพอได้รับบุญบ้าง เมื่อไปนรกก็จะได้นำบุญมาชดเชยสิ่งที่ทำไป อย่างไรเสียตอนที่นางอยู่ในร่างเจ้าได้ทำให้บ่าวรับใช้ตกใจตายไปหนึ่งคน นี่ก็นับว่าเป็นกรรมของนางด้วย”

เซียวชิงหันตกตะลึง

ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “อีกอย่างเมื่อมุมมองกว้างขึ้น จิตใจก็จะเปิดกว้างขึ้นด้วย จะได้ไม่ยึดติดกับใครคนใดคนหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อได้พบกันอีกครั้งในภายภาคหน้าก็จะสามารถปล่อยวางซึ่งกันและกันได้”

เซียวชิงหันพิจารณา

ฉินหลิวซีหันหลังกลับเดินลงจากภูเขา

เมื่อเรื่องจบลงก็ถือว่างานของนางเสร็จสิ้นลงแล้ว ส่วนฝูเซิงน่ะหรือ

ฝูเซิงลอยออกมาจากกำไลข้อมือ มองไปยังร่างบอบบางที่ยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพบนภูเขา เอ่ย “ข้าไม่ไปแล้ว”

ฉินหลิวซีมองนาง หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง

ฝูเซิงรีบเอ่ย “ข้าไม่ได้ต้องการจะเข้าสิงร่างนางเหมือนเมื่อก่อน นางเป็นเช่นนี้ข้าวางใจไม่ได้ ข้าไปไม่ได้”

“หากเจ้าอยู่แล้วจะอย่างไร”

ฝูเซิงเอ่ยขอร้อง “ข้า ข้าเฝ้ามองนางจากไกลๆ ได้หรือไม่ ข้าสัญญาว่าจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้านาง จะไม่รบกวนชีวิตนาง และไม่ทำร้ายใคร”

นางพูดพลางคุกเข่าให้ฉินหลิวซี ประนมมือพลางเอ่ย “ข้าขอร้องท่าน ข้าเพียงแค่อยากเห็นว่านางสบายดีก็พอแล้ว ข้าจะไม่สร้างปัญหา ท่านต้องมีวิธีอย่างแน่นอน ท่านช่วยข้าด้วยเถิด”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ต่อให้ในภายภาคหน้าไม่สามารถไปเกิดในที่ที่ดีได้อย่างนั้นหรือ”

ฝูเซิงยิ้มอย่างขมขื่น “ชีวิตนี้ของข้าช่างสั้นยิ่งนัก มีหรือจะกล้าคาดหวังชีวิตในภพหน้า”

ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นมา “เจ้าจงฝังตัวเองกับกำไลนี้เถิด ข้าจะผนึกเจ้า ไม่ให้พลังของเจ้ารั่วไหลออกมา และไม่สามารถออกมาจากกำไลนี้ได้ เจ้าเป็นได้เพียงสิ่งของเท่านั้น”

ฝูเซิงดีใจมาก โขลกศีรษะคำนับนางสามครั้ง เหลือบมองเซียวชิงหันอีกครั้ง จากนั้นก็เข้าไปในกระดิ่งของกำไลข้อมืออย่างไม่ลังเล

ฉินหลิวซีบีบกำไลในมือพลางส่ายหน้า

นี่คือคนที่โง่เง่าในโลกมนุษย์

นางนั่งขัดสมาธิ วางกำไลข้อมือลงบนพื้นหยิบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นก็ใช้เข็มเงินแทงที่ปลายนิ้ว เค้นเลือดออกมาวาดยันต์วิญญาณ เผายันต์บอกกล่าวแก่เทพเจ้า มือทั้งสองข้างร่ายคาถาโบราณที่ซับซ้อนไปยังกำไลข้อมือ

หลังจากร่ายคาถาทั้งเจ็ดแล้วก็วาดยันต์ขึ้นมาอีกหนึ่งแผ่น เผาบนกำไลข้อมือ เห็นแสงแห่งจิตวิญญาณส่องประกายบนกำไลผ่านตาเนื้อ จากนั้นก็กลับสู่ความเงียบสงบ

กำไลข้อมือกระดิ่งเดิมทีมีสีเงินหม่น แต่ตอนนี้กลับสดใสสะอาดตา เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ

ฉินหลิวซีหยิบมันขึ้นมา กระดิ่งขยับและส่งเสียงที่คมชัดราวกับเป็นการขอบคุณนาง

จากการปลุกเสกของนาง กำไลข้อมือนี้สามารถใช้เป็นเครื่องรางป้องกันตัวได้

เซียวชิงหันถูกพยุงเดินลงมา เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซียังไม่ไปก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

“ได้มาจากกล่องเครื่องประดับของเจ้า ข้าคืนให้เจ้าก็แล้วกัน” ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า สวมกำไลบนข้อมือของนางด้วยตัวเอง เอ่ย “ชีวิตต่อจากนี้ หวังว่าเจ้าจะราบรื่นและสงบสุข”

กำไลข้อมือสวมลงบนข้อมือที่ผ่ายผอมแทบจะเป็นหนังหุ้มกระดูก ไม่ได้มีความเย็น แต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น เซียวชิงหันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางแตะที่กำไลข้อมือ รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก นางยิ้มพลางยกมือขึ้นประสานคารวะ “ท่านอาจารย์จิตใจประเสริฐ ชิงหันขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”

คำขอบคุณอย่างจริงใจ ฉินหลิวซีได้รับแล้ว

“เช่นนั้นก็ลากันเสียตรงนี้”

เซียวจั่นรุ่ยรีบก้าวเข้ามา เอ่ย “ท่านอาจารย์ ท่านจะกลับเมืองหลีหรือไม่ หรือว่าจะอยู่ที่เมืองฝู่ก่อนสักหนึ่งถึงสองวัน พรุ่งนี้ข้าจะได้ไปอารามพร้อมกับท่านเพื่อสร้างหลังคาทอง”

“ข้ายังมีธุระ ยังไม่กลับเมืองหลีเป็นการชั่วคราว มีเตาเผากระเบื้องในเมืองหลีสำหรับสร้างหลังคาทองที่เจ้าจะบริจาค เพียงแค่สั่งจากที่นั่นโดยตรงแล้วหาช่างฝีมือมาทำก็พอแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ

เมื่อเซียวจั่นรุ่ยได้ฟังดังนั้นจึงรีบเอ่ย “ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่รีบกลับ ไม่สู้พักอยู่ที่จวนก่อนดีหรือไม่”

“ไม่ต้องหรอก ข้าให้เหล่าโฉวจองโรงเตี๊ยมไป๋จวีในเมืองแล้ว” ฉินหลิวซีเดินไปยังรถม้า

เมื่อเซียวจั่นรุ่ยเห็นท่าทางนางเช่นนี้จึงรีบหยิบกระเป๋าเงินออกมาแล้วยัดไปให้ “เช่นนั้น นี่เป็นเงินเล็กน้อยสำหรับค่าน้ำมันตะเกียง ท่านอาจารย์โปรดรับไว้ด้วยเถิด”

ฉินหลิวซีรับไว้

การเดินทางครั้งนี้ยากลำบาก ค่าน้ำมันตะเกียงนี้นางรับไว้ได้อย่างไม่ต้องรู้สึกละอายใจ

เซียวจั่นรุ่ยถามเสียงเบาอีกว่า “ท่านอาจารย์ กำไลข้อมือของน้องหญิงเส้นนั้น?”

ฉินหลิวซีเข้าใจอย่างชัดเจน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฝุ่นคืนสู่ฝุ่น ดินคืนสู่ดิน ฝูเซิงหายไปแล้ว วางใจเถิด”

นางกระโดดขึ้นไปบนรถม้า ให้เหล่าโฉวขับรถออกไป

เซียวจั่นรุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก เห็นว่าทิศทางที่พวกเขาจากไปดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ทางกลับเมือง ราวกับจะไปที่ไหนสักแห่ง เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะไปไหน

แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน อีกฝ่ายก็คงจะกลับเมืองอยู่กระมัง ไม่ใช่ว่าจองโรงเตี๊ยมไป๋จวีไว้แล้วหรอกหรือ

เซียวจั่นรุ่ยก็สั่งให้บ่าวผู้ติดตามออกเดินทางกลับเมืองเช่นกัน แต่ทันทีที่กลับมาถึงจวนก็ถูกมู่ซีกักตัวไว้

มู่ซีมองไปข้างหลังเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถามว่า “เจ้านักต้มตุ๋นล่ะ”

“อะไรนะ ไปแล้วหรือ” มู่ซีจ้องเขา

เซียวจั่นรุ่ยพยักหน้าพลางเอ่ย “ท่านอาจารย์บอกว่าเรื่องของตระกูลข้าจบลงแล้ว ได้เวลาไปแล้ว”

“เจ้า พอเรื่องจบแล้วเจ้าก็ปล่อยไปเลย ไม่ได้รั้งไว้ให้ข้าแม้แต่นิด เจ้ามันคนไร้ประโยชน์!” มู่ซีโมโหถึงขีดสุด ผลักเขาแล้วจะวิ่งออกไปข้างนอก “ไป ไป ไป รีบตามไป”

ซวงเฉวียนดึงแขนเสื้อของเขาไว้พลางเอ่ยร้องขอ “ท่านซื่อจื่อ ในเมื่อท่านอาจารย์ไปแล้ว พวกเราก็เดินทางขึ้นเหนือต่อเถิด มิเช่นนั้นองครักษ์หลวงของฮองเฮาจะมาเชิญท่านด้วยตัวเองนะขอรับ”

เซียวจั่นรุ่ยอยากจะบอกว่าแม้ฉินหลิวซีจะไปแล้ว แต่นางยังจะกลับมาอีก นางได้จองโรงเตี๊ยมไว้แล้ว

แต่เมื่อกำลังจะเอ่ยก็ได้ยินคำพูดของซวงเฉวียน สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เช่นนั้นก็ช่างเถิด อย่าหาเรื่องให้องครักษ์หลวงของฮองเฮามาจะดีกว่า

ยิ่งจอมอันธพาลน้อยผู้นี้ไปเร็วเท่าใดก็ยิ่งดี เกรงว่ายิ่งอยู่นาน หนวดเคราของท่านพ่อเขาก็จะยิ่งร่วง อย่างไรเสียความสามารถในการสร้างปัญหาของท่านผู้นี้ก็ถือเป็นอันดับหนึ่ง

อีกอย่างท่านอาจารย์ก็ไม่ได้อนุญาตให้เขานำความไปบอก และไม่ได้ให้เขาบอกใครว่านางพักอยู่ที่ไหน ดังนั้นจึงบอกไม่ได้

เมื่อเซียวจั่นรุ่ยคิดถึงตรงนี้ จึงปิดเป็นความลับอย่างสบายใจ

เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น จริงๆ นะ

มู่ซีสะบัดมือของซวงเฉวียนออกด้วยความโกรธ เอ่ย “มาก็มาสิ ข้ากลัวที่ไหนกัน อย่าขวางข้า ข้าอยากจะถามเจ้านักต้มตุ๋นว่ายังมีมโนธรรมอยู่หรือไม่ ไปโดยไม่บอกไม่กล่าว เห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่”

ทุกคนต่างพากันก้มหน้า ไม่กล้าตอบแม้แต่คำเดียว

ท่านอาจารย์เห็นท่านอยู่ในสายตาหรือไม่พวกเราไม่รู้จริงๆ แต่ท่าทางดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ของท่านราวกับสะใภ้ที่ถูกทอดทิ้ง ช่างน่าสงสารนัก

ส่วนฉินหลิวซีในเวลานี้พลันจามออกมาสองที นางดึงเสื้อคลุมบางๆ บนตัวให้มิดชิดขึ้น ลูบจมูกพลางเข้าไปในวัดอวิ๋นหลิง

มโนธรรมคืออะไร นางไม่รู้จัก!