————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย

เสียงรอยเท้าเล็ก ๆ วิ่งดังอย่างต่อเนื่องเป็นของเด็กสาว ม.ปลาย

แม้ว่ากันตามตรงจะผิดไปหน่อย เพราะเจ้าของรอยเท้าสูงกว่ามาตรฐานหญิงไทยที่อายุเท่ากันเสียด้วยซ้ำ

…แต่หากเทียบกับรอยเท้าเหล็กที่ไล่ตามย่ำกลบรอยเท้าเด็กสาวจนหายไปสิ้นในก้าวเดียวแล้ว จะไม่เรียกรอยเท้าของเธอว่าเล็กอย่างไรได้

หนอย… จะตื้อไปถึงไหนกันยะ!

ไม่แปลกที่เด็กสาว… พิมจะรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อถูกเจ้ามอนเสตอร์เกราะอัศวินดำทมิฬร่างยักษ์พรรค์นั้นไล่ตาม

ร่างอันใหญ่โตมโหฬารเป็นเหตุผลให้เธอรู้สึกขนลุกชูชัน พอกับดาบซามูไรยักษ์สองเล่มในมือ คมกริบจนรู้สึกเหมือนโดนบาดเพียงแค่มอง

แต่ความน่ากลัวเกือบทั้งหมดเป็นเพราะออร่าสีดำแผ่บรรยากาศน่าหวาดผวาออกมาจากทั่วทั้งร่างของมัน เผลอจินตนาการว่ามันลอยผ่านอากาศมากระทบผิวหนังทำเอาหนาวเย็นไปทั้งไขสันหลัง

พิมยิ่งรู้สึกอันตรายในจังหวะที่ดวงตาสีแดงของมันกะพริบ

ฟุ่บ!!!

“!!!?”

มันฟาดดาบลงโดยไม่หยุดเท้า ปล่อยคลื่นพลังสีดำทมิฬเข้าใส่พิมจนเกือบไม่ทันจะตั้งตัว ทลายทั้งพื้นและเพดานเหมือนคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่เพื่อกลืนกินเธอ

แต่พิมเองก็ไม่ได้หัวทึบ เธอถีบพื้นหลบออกด้านข้างก่อนที่คลื่นนั่นจะเข้าถึงตัว

ภาพของทัตที่ถูกท่าเดียวกันนี้เข้าจนเลือดอาบฝังความหวาดกลัวลงในความทรงจำของเธอ นั่นคงเป็นเหตุผลที่พิมมีปฏิกิริยาอันรวดเร็วต่อท่าโจมตีนี้

และการนึกถึงเรื่องนั้น ก็ทำเอาพิมเป็นห่วงทัตตามไปด้วย

ทำไมเสียงทางฝั่งของหมอนั่นถึงเงียบไปล่ะ

คงไม่ใช่ว่า———

ความกังวลแทรกเข้ามาในตอนที่คลื่นการโจมตีที่สองพุ่งใส่เธอจนเกือบหลบไม่พ้น

แค่เกือบ… เพราะพิมหลบมันได้อย่างฉิวเฉียด เส้นผมเป็นอย่างเดียวที่มันช่วงชิงไปจากเธอได้

ทว่า…

“อึก!” แต่รัศมีการโจมตีแรงกว่าที่คาด มันทำลายพื้นที่รอบ ๆ ที่ฟันผ่านราวกับเป็นพายุพุ่งทะลวง

ถ้าคาดไว้แล้วและหลบออกไปนอกรัศมีก็คงไม่น่ากังวล แต่การเสียสมาธิจากเรื่องก่อนหน้าทำให้คาดการณ์ผิดจนเธอกระเด็นออกไปด้านข้างจากการโจมตีของมัน

เรื่องน่ากลัวยังไม่จบแค่นั้นด้วย เพราะเจ้าเกราะทมิฬได้ถีบพื้นวิ่งเข้ามาหาพิมในจังหวะที่เธอเสียหลักราวกับรออยู่แล้ว

ไม่สิ… มันรอให้พิมเสียหลักอยู่เลยต่างหาก

แย่แล้ว มันใช้การโจมตีตัวเองเป็นเหยื่อล่อ!

พิมตระหนักได้ทันที

แต่ก็สายไปแล้ว… ระยะห่างที่สร้างไว้ด้วยการวิ่งหนีก่อนหน้านี้ถูกร่นลงในพริบตา พิมคิดว่ามันน่ากลัวเหลือเกินที่เคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนั้นทั้งที่ร่างกายมีขนาดใหญ่กว่าเธอถึงสามเท่า

ความเร็วในการง้างดาบน่าหวาดหวั่นพอกัน การตวัดคมดาบลงก็เร็วปานสายฟ้า ฟาดลงใส่พิมหวังผ่าเธอเป็นสองซีก

“อึก!” แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น ต้องขอบคุณที่เธอยกดาบขึ้นมาเบี่ยงการโจมตีออกไปด้านข้างได้ทัน

“!!?”

ทว่าพริบตาที่ดาบของมันกระแทกลงพื้น โมเมนตัมที่เกิดขึ้นจากตอนที่คมดาบกระทบผืนดินได้ทำให้เกิดระเบิดขึ้นจนพิมกระเด็นไปไกล

“อั๊ก!”

แผ่นหลังของพิมกระแทกเข้ากับผนังร้านค้า เป็นจังหวะที่ไม่ดีเอาเสียเลย

…เพราะมันเปิดช่องว่างให้ศัตรูมีจังหวะใช้ปิดฉาก

เจ้าเกราะทมิฬยักษ์ถึงปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพิมที่เงยหน้าลืมตา เธอสะดุ้งเฮือกจนลืมหายใจ

ดาบในมือขวาของมันถูกฟาดลงมา แต่พิมที่กำลังตื่นตระหนกยังสามารถยกดาบขึ้นป้องกันได้ทัน

“เอ๋!?”

แต่ใครจะรู้… ทั้งที่ดาบยังฟาดลงมาไม่ถึง มันกลับยกเท้าขึ้นถีบพิมจนทะลุผนังเข้าไปเสียเต็มแรงโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว

เรียกว่าถูกหลอกเข้าเต็มเปาเพราะเธอกำลังโฟกัสอยู่กับดาบที่กำลังจะฟาดลงมา

การโดนถีบอย่างแรงในระยะประชิดทำพิมกระอักเลือด กระเด็นเข้าไปนอนกองในร้านด้วยสภาพอิดโรย

แย่แล้ว… ไอ้เจ้านี่มันรอจังหวะเราเผลอเพื่อโจมตีปิดฉากอย่างนั้นเหรอ!?

พิมรู้เรื่องนั้นเมื่อสาย ได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บใจ

ส่วนเจ้าเกราะทมิฬใช้ดาบฟันผนังร้านเดินเข้ามาหาเธออย่างไม่รีรอใด ๆ

แม้พิมจะพยายามชันตัวขึ้น แต่ร่างกายกลับรู้สึกหนักราวกับมีอะไรกดทับ แขนที่ใช้ดันร่างขึ้นหมดแรงลงไปนอนหงายอีกครั้ง

ไม่ไหว… เธอรู้ได้ในทันทีว่าถึงลุกขึ้นมาก็ไม่มีโอกาสจะหนี นั่นคือสัญญาณแรกที่ร่างกายอันอ่อนล้าส่งผ่านมาถึงจิตใจ ทำให้รู้สึกยอมจำนนต่อความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ

นี่ถ้าฉันดันตายไปซะตอนนี้… หมอนั่นจะเสียใจเรื่องที่ไม่ยอม ‘ตอบรับ’ ฉันไหมนะ

พลันนั้นความคิดไม่เข้าท่าก็ลอดเข้ามา

แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อนั่นคือเรื่องที่เธอรู้สึกเสียใจที่สุด

บ้าจริง… เริ่มเพ้อแล้วสิ คิดอะไรของเราอยู่กันเนี่ย

พิมรู้ตัวถึงยิ้มแห้ง ตระหนักถึงความรู้สึกด้านลบที่เข้าเกาะกุมหัวใจเมื่อชีวิตถึงจุดวิกฤต

ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็ทำให้เธอเห็นสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจ แต่ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดว่าโอกาสที่สองอาจไม่มีวันมาถึง

เจ้าเกราะทมิฬช่างใจไม้ไส้ระกำเดินเข้าหา ตอกย้ำความทรมานของเด็กสาวคนนึงอย่างพิม

เด็กสาวธรรมดา… ผู้ปรารถนาจะมีความสัมพันธ์อันแสนวิเศษกับชายที่เธอตกหลุมรักสักครั้งก่อนที่จะตาย

แน่นอนว่าเจ้ามอนสเตอร์เครื่องจักรสังหารตัวนี้ไม่มีความรู้สึกเห็นใจ ไม่สนใจน้ำที่กำลังรื้นในดวงตาของพิม

มันเงื้อดาบในมือขวาขึ้นสูงอีกครั้งหากแต่ไม่ใช่การหลอกล่อเหมือนครั้งก่อนหน้า รอบนี้มันตั้งใจจะปิดฉากพิมจริง ๆ

ทัต!!!

พิมหลับตาแน่นปี๋ ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเปลือกตาเผชิญหน้ากับวินาทีแห่งจุดจบ

ในเมื่อความหวังที่เหลืออยู่ในอกไม่มีทางเป็นจริง อย่างน้อยเธอก็อยากจะให้วินาทีแห่งความสิ้นหวังนี้ผ่านไปเร็ว ๆ

โดยให้สิ่งสุดท้ายที่อยู่ในความคิด เป็นความปรารถนาสุดท้ายของเธอ

แต่ว่า… ความหวังอันเกิดจากการทอดทิ้งความหวังไปนั้นกลับไม่เกิดขึ้นเสียที

เปลือกตาที่กำลังหนักค่อย ๆ พยายามเปิดขึ้นเผชิญหน้า

ดาบซามูไรยักษ์ที่ควรจะฟาดลงมาหยุดนิ่งอยู่เพียงแค่กลางทาง ไม่ใกล้จะเฉียดตัวเธอเลยสักนิด

ไม่สิ… มันกำลังสั่นราวกับยื้อยุดอะไรสักอย่างอยู่

และอะไรสักอย่างที่ว่า ก็คือโซ่ที่กำลังพันรอบปลายดาบ ถูกรั้งยื้อไว้ทำให้มันลงดาบไม่สำเร็จสักทีแม้จะพยายามฟันลงมาใส่พิมมากแค่ไหน

นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยเธอไว้ไม่ผิดแน่ แต่คำถามคือคืออะไรและเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“อย่ายุ่งกับเธอ ไอ้เศษเหล็กเวร”

เสียงของชายที่เธอถวิลหาดังขึ้นจากจุดที่ห่างออกไป น้ำเริ่มรื้นขึ้นในดวงตาของพิมอีกครั้ง แต่เป็นคนละเหตุผลกับก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

“ทัต!!!”

เสียงที่ลอดออกมาจากริมฝีปากเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ทั้งที่ถอดใจไปแล้วแท้ ๆ… ทั้งที่เตรียมใจไปแล้วแท้ ๆ…

ทั้งอย่างนั้นกลับ…

ความสิ้นหวังถูกแทนที่ด้วยความหวังถูกที่ถูกเวลา

เสียงนั่นคือสิ่งที่ถวิลหา ใบหน้านั่นคือสิ่งที่เธอรอคอย

ใครเล่าจะคิด ว่าคนที่เธอต้องการจะปรากฏตัวในเวลาที่เธอต้องการที่สุด

แต่ก็เพราะแบบนั้น ช่องว่างแห่งความสิ้นหวังในหัวใจจึงถูกเติมขึ้นเต็มทันที

“ขอโทษที่ให้รอนาน มาช่วยแล้ว!”

ก่อนจะสายเกินไป ในที่สุดเด็กหนุ่ม… ทัตก็มาถึงทันเวลา

และใช่ว่าพิมจะเป็นคนเดียวที่หลุดจากความสิ้นหวังมาได้ ระหว่างทางทัตเองก็กลัวว่าจะมาช่วยพิมไม่ทันเวลาเช่นกัน

รอยยิ้มบนใบหน้าของทัตจึงเป็นแบบเดียวกับพิมไม่มีผิด

พิมเริ่มสังเกตสภาพของทัต ร่างกายของเขายังเต็มไปด้วยเลือดจากอาการบาดเจ็บของตัวเขาเอง

แต่มีสิ่งหนึ่งแตกต่างจากก่อนหน้าจะแยกกันไป

นั่นคือมือขวาของเขามีปลอกแขนเหล็กสีดำสนิทสวมทับอยู่ ลักษณะของมันเป็นแบบเดียวกับของเจ้า Chivalry ตัวที่ทัตจัดการไปไม่มีผิด ความแข็งแรงทนทานเองดูมากพอกันอย่างไม่ต้องสงสัย

แน่นอน… ของเล่นเสริมอันร้ายกาจอย่างโซ่เหล็กกล้าที่ยึดกับหลังข้อมือของปลอกแขนเหล็กเองก็มีติดมาด้วย

และก็เป็นเพราะโซ่นี่แหล่ะ ทัตจึงหยุดการเคลื่อนไหวของดาบเจ้าเกราะทมิฬได้ก่อนที่จะสังหารพิม

แถมไม่ใช่แค่นั้น…

“มานี่!”

ทัตดึงโซ่เข้าหาตัวเอง เจ้าเกราะทมิฬไม่ยอมปล่อยมือจากดาบเลยโดนแรงนั่นทำให้ล้มตึงหงายลงไป

นั่นเป็นเรื่องง่ายสำหรับทัต เขาตอนนี้สวมอาวุธของ Chivalry อันมีสกิลติดตัวอย่าง ‘พรแห่งอัศวิน’ ทำให้สเตตัสทั้งหมดเพิ่มขึ้น 50 แต้มในขณะสวมใส่

ส่งผลราวกับทัตมีเลเวลเพิ่มขึ้น 50 เลเวลในพริบตา

ทัตปลดโซ่ ถีบพื้นร่นระยะเข้าไปโอบร่างพิมหนีออกมา ทั้งรวดเร็วและแม่นยำ ง่ายดายกว่าแต่ก่อนราวเกิดเป็นคนใหม่

ทัตอุ้มพิมในท่าเจ้าหญิงอยู่นอกตัวร้านที่เธอกระเด็นเข้าไปก่อนหน้านี้ ระยะห่างกับศัตรูอยู่ในจุดที่พอวางใจได้แล้ว

“มาช่วยได้ถูกจังหวะเลยนะเนี่ย เท่อย่างนี้หลงตายเลยค่ะ”

ความอบอุ่นแนบชิดจากทัตทำให้พิมหลุดปากพูดออกมาแบบกึ่งจงใจ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มแฝงปิติทำให้รู้ว่าเธอดีใจมากแค่ไหน

แน่นอน นั่นทำเอาทัตประหม่า

“…ให้ตายสิ เธอเนี่ยนะ เดี๋ยวปัดจับโยนลงพื้นเลย”

ทัตว่าแก้เขินพยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ยังไงก็ซ่อนแก้มที่กำลังแดงระเรื่อไว้ไม่มิด

การสังเกตสภาพร่างกายของพิมก็ทำให้ความเยือกเย็นกลับมา

ถึงจะไม่หนักเท่าตัวเขา พิมก็ยังมีการบาดเจ็บภายในร่างกายจากการถูกกระแทกอยู่ นั่นคือจุดที่น่าเป็นห่วง

“…ยืนไหวไหม” ทัตเอ่ยถาม พิมได้ยินแล้วรีบเลื่อนสายตาดูสภาพของทัต

เธอยังยืนไม่ไหว ความอ่อนล้ายังมีอยู่อย่างแน่นอน

แต่พอเห็นร่างกายทัตเต็มไปด้วยเลือด เธอก็ค่อย ๆ ขยับลงจากอ้อมกอดของเขาทันที

ถึงสุดท้ายจะยังต้องให้ทัตช่วยพยุง แต่คงไม่แย่เท่ากับการให้เขาอุ้มเพื่อรับน้ำหนักตัวของเธอ นั่นคือแง่มุมความเป็นห่วงของพิม

“…สภาพนายแย่มากเลยนะ” พิมเริ่มเห็นร่างกายทัตชัดตั้งแต่หัวจรดเท้า แผลที่ร่างกายฝั่งขวาทั้งซีกรวมถึงเท้าขวาของทัตทำให้พิมขมวดคิ้วกังวลหนักทีเดียว

“…ฉันยังรอดมาได้ นั่นแหล่ะที่สำคัญ”

ทัตตอบกลับความกังวลของพิมตรง ๆ

ในเวลาแบบนี้ เขาคิดว่าสิ่งจำเป็นคือความมั่นใจแน่วแน่ นั่นคงเป็นกำลังใจให้พิมได้อย่างดีหากเขาเป็นคนพูด

เพราะศึกที่ต้องพิชิตยังเหลืออีกหนึ่ง และมันกำลังลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับทั้งสองคน ทั้งสองไม่มีเวลาพะวงเรื่องบาดแผลเลยสักวินาทีเดียว

“เอาไงต่อดีอ่ะ คิดว่ามีโอกาสชนะไหม?”

ความตึงเครียดถูกส่งผ่านคำถามและน้ำเสียง เป็นครั้งแรกที่พิมแสดงความวิตกขนาดนั้น

คงเป็นเพราะได้ลองสู้ดูเองถึงรู้สินะ

ไม่ค่อยดีใจที่พิมต้องเจออันตรายก็จริง แต่พอเป็นงี้พิมคงประมาทมันน้อยลงแล้วล่ะ

ถ้าได้พิมสนับสนุนในการต่อสู้ คงวางใจได้ระดับนึงว่าพิมจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

…ภาวนาให้เป็นอย่างนั้นนะ

ทัตไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกยังไง

แต่เรื่องนึงที่แน่นอน คือการได้เห็นความต่างชั้นของพลังทำให้พิมประเมินสถานการณ์ได้ตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น จึงไม่แปลกที่จะคิดว่าไม่มีโอกาสชนะ

เว้นเสียแต่ว่า… พิมยังไม่ได้นำการวิวัฒนาการขั้นที่สองและอาวุธ Chivalry ของทัตมาเป็นกำลังรบ

“ชนะสิ” ทัตจึงมีความเห็นต่างจากพิมอย่างสิ้นเชิง เขาตอบพิมด้วยความมั่นใจ

“ก็… อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอก แต่ฉันเองใกล้จะหมดแรงเต็มทีแล้ว ถ้าให้ดึงความสนใจก็พอจะทำได้ แต่ไม่น่าจะปิดฉากไหว”

“อะไรเนี่ย อุตส่าห์คิดว่าเมื่อกี้นายโคตรเท่เลยนะ”

พิมเห็นทัตยิ้มแห้งกลับคำก็ทำเอายิ้มขมออกมาตาม

แต่ถึงแบบนั้นกำลังใจก็ไม่ได้ลดลงเลยสักนิด กลับกันแล้ว…

“เอาเถอะ… ยังไงฉันก็ไม่คิดจะให้นายแบกทั้งสองศึกด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว วางใจฉันได้เลย!”

พิมเป็นห่วงทัตจนไม่อยากให้เขาสู้ต่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คำพูดของทัตทำให้เธอสบายใจมากกว่าเสียขวัญด้วยซ้ำไป

แล้วถ้าปล่อยให้นายโค่นมันได้อยู่คนเดียว

ฉันก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอที่ช่วยเหลือนายยามคับขันไม่ได้พอดีน่ะสิ!

ถ้านายโค่นมันได้ฉันเองก็ทำได้! พิมมีกำลังใจอย่างนั้น

เรี่ยวแรงของเธอเริ่มกลับมาพอดีทำให้พอยืนด้วยตัวเองได้ ทัตเองก็เห็นอยู่ แต่ว่า…

คงยังไปสู้กับมันไม่ไหวหรอกมั้งเนี่ย

พิมยืนโซเซอยู่ข้าง ๆ ทำให้ทัตขมวดคิ้วสังเกต เขาเห็นชัดเจนว่าพิมยังไม่พร้อมจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปถ่วงเวลาหาจังหวะให้พิมปิดฉากมันแทน

ทัตในตอนนี้ได้รับความสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของ Chivalry รวมถึงรู้จังหวะในการโต้กลับศัตรูอย่างแม่นยำมาด้วยสาเหตุบางอย่างที่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ

บวกกับความแข็งแกร่งจากการวิวัฒนาการเป็น ‘แรงค์ 2’ ร่วมด้วย เขาจึงเป็นคนเดียวในที่นี้ที่มีคุณสมบัติมากพอจะหยุดมันได้สักพักก่อนที่จะหมดแรงไปก่อน

และหากจะทำเรื่องนั้นก็ไม่มีจังหวะไหนเหมาะสมไปกว่าวินาทีนี้อีกแล้ว

นั่นเพราะเจ้าเกราะทมิฬยักษ์ได้เริ่มหันมาทางเขากับพิมแล้ว แถมยังจ้องด้วยสายตาอาฆาตทีเดียวเชียว

“ฉันจะถ่วงเวลาให้จนกว่าอาการบาดเจ็บของเธอจะฟื้นฟูมากพอ”

ทัตเริ่มตั้งท่าร่าง ยื่นเท้าและมือขวาออกไปข้างหน้า หมัดขวาที่กำแน่นมีเสียงของโลหะเพราะสวมปลอกแขนเหล็กต่างจากทุกที

เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด แต่ก็ดูแข็งแกร่งน่าเกรงขามและไว้ใจได้

“เข้าใจแล้ว ถ้าไหวเมื่อไหร่ ฉันจะรีบหาช่องว่างเข้าไปโจมตีมันทันทีเลย”

พิมพยักหน้ารับทันทีด้วยความจริงจังและเชื่อมั่น มือของเธอกระชับมีดแน่นจ้องศัตรูตาไม่กะพริบ

ทัตถีบพื้นเข้าหาศัตรูในทันทีก่อนที่มันจะทันขยับตัว

ร่างกายหนักมาก เราเริ่มล้าแล้วสินะ

แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้หนักเท่ากับก่อนหน้านี้

น่าจะพอถ่วงเวลาให้พิมได้หลายนาทีอยู่

ความแข็งแกร่งถูกเสริมขึ้นมาทำให้ร่างกายของทัตทนทานต่ออาการบาดเจ็บมากขึ้น รวมถึงเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น เรื่องนั้นชัดเจนจากการร่นระยะเข้าประชิดศัตรูในพริบตา

มีเรื่องที่อยากทดสอบอยู่ด้วย

งั้นก่อนอื่น!

ปลายดาบซามูไรของเจ้าเกราะทมิฬแทงพุ่งเข้ามาในจังหวะความคิดนั้น

ก่อนคมจะถึงตัว ทัตมองเห็นดาบในมือขวาอีกเล่มเตรียมเหวี่ยงใส่เขา เป็นอีกครั้งที่ Chivalry มันวางกับดักการโจมตีซ้อนเอาไว้

แต่… การโจมตีที่สองของมันมีไว้หลังจากทัตหลบการโจมตีแรกสำเร็จ

ดังนั้น วิธีการรับมือจึงง่ายดาย และสอดคล้องกับความต้องการที่อยากจะทดสอบของทัตพอดิบพอดี

เคร้ง!!!

แทนที่จะหลบ ทัตใช้ปลอกแขนเหล็กมือขวาเบี่ยงคมดาบออกไป

เขาใช้ดาบที่ถูกเบี่ยงออกเป็นมุมบังการโจมตีจากดาบอีกเล่ม ทำให้ทัตพุ่งหลบไปข้างหลังมันได้สำเร็จ

ความทนทานของอาวุธ Chivalry นี่สุดยอดจริง ๆ

แต่ในเมื่อมันสร้างมาจากเกราะของ Chivalry ด้วยกัน จะป้องกันการโจมตีของสิ่งเดียวกันได้ก็สมเหตุสมผลแล้ว

แล้วการโจมตีล่ะจะเป็นยังไง!?

ความสงสัยตามมาเหมาะเจาะกับสถานการณ์ ทัตจัดการออกหมัดขวาสวมปลอกแขนเหล็กอัดเข้าใส่กลางหลังของมันเข้าอย่างจัง ทำเอาเจ้าเกราะเหล็กยักษ์หลังแอ่น

เขารีบกระโดดถอยหลบออกมาดูเชิง

มันหันหลังกลับมามองทัตโดยทิ้งรอยควันไว้ตรงจุดที่โดนต่อย ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้มากเท่ากับที่หวังเอาไว้

จัดการในหมัดเดียวไม่ได้จริงด้วย

เวรเอ้ย… ไอ้ตรรกะที่ว่า ‘ของดรอปจากบอสจะกากกว่าอันที่บอสใช้’ มันตามมาถึงชีวิตจริงเลยเหรอ!

น่าหงุดหงิดชะมัด

ทัตรีบกลับมาตั้งท่ากำหมัดแน่น คิดว่าสถานการณ์น่าจะได้เปรียบกว่านี้หากโซ่ที่ติดปลอกแขนเหล็กมีคมขวานอันร้ายกาจติดอยู่แบบเดียวกับตัวที่ทัตโค่นไป

แต่คร่ำครวญไปก็เท่านั้น ทัตตระหนักแล้วเตรียมพร้อมจู่โจมอีกครั้ง

เริ่มจากอาบเปลวเพลิงเสริมให้กับปลอกแขนเหล็ก อาบเท้าสองข้างด้วยสายฟ้า

ถีบพื้นทะลุกระเบื้อง ทิ้งรอยแตกไปรอบทิศประหนึ่งจุดระเบิดพุ่งเข้าประชิดเจ้าเกราะทมิฬ

มันเห็นความเร็วอันน่าเหลือเชื่อจึงรีบตอบสนอง ไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับมันเลย

มันเหวี่ยงดาบซ้ายผ่านหลังโดยที่ไม่ได้มองด้วยซ้ำ แต่ทัตคิดไว้แล้วว่าไม่มีทางประชิดตัวได้ง่าย ๆ เขาจึงเอี้ยวตัวหลบ คมดาบแฉลบเส้นผมไปอย่างฉิวเฉียด

ทัตพลิกตัวขณะหลบ ไม่ลืมเหวี่ยงโซ่พันขาซ้ายของมันไปพร้อมกัน ที่จริงเขาหวังให้มันล้มแต่ก็ทำได้แค่ให้มันชะงักเสียจังหวะเท่านั้น

เวรเอ้ย! แรงเราเหลือน้อยขนาดนี้เลยเหรอ!?

แถมถ้าใช้เวทมนตร์เราก็จะยิ่งเหนื่อยอีก

พละกำลังลดลงจนน่าใจหายแถมยังทำให้ใช้เวทมนตร์ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะสำหรับผู้มีพลัง ‘ความสามารถทางกาย’ เป็นสเตตัสร่วมสำหรับพลังชีวิต อัตราการฟื้นฟู ความทนทาน พลังเวท รวมถึงความจุพลังเวทหรือมานาหากเปรียบเป็นเกม

หากมีอย่างใดอย่างนึงลดลง ทุกอย่างที่เหลือก็จะลดลงตามไปด้วยเพราะใช้ตัวแปรเดียวกันเป็นพื้นฐาน

และแม้ว่าทัตจะได้รับการฟื้นฟูมาพอสมควร แต่เห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่มีทางกลับไปเต็ม 100%

จุดที่เริ่มกังวลก็คือ เวลาที่ทัตคิดว่าจะถ่วงให้พิมได้มันน้อยลงเยอะกว่าที่คาดเอาไว้ก็เพราะเรื่องนี้

งั้น… อย่างน้อยก็ต้องทำลายขามันให้ได้สักข้างก่อน!!!

ทัตแน่ใจว่านั่นคือสิ่งสุดท้ายที่พอจะทำให้พิมได้เปรียบหากเขาหมดแรงไปเสียก่อน

แต่ในจังหวะที่คิดแบบนั้น ขาศัตรูข้างที่ทัตใช้โซ่พันไว้ก็กระตุกดึงทัตเข้าไปแทน

ทัตรีบจำใจปลดโซ่ออกมาเพื่อไม่ให้มันทำสำเร็จ

ระหว่างนั้นมันก็หันกลับมาหาทัตทั้งตัว เจ้าเกราะทมิฬแทงดาบใส่ทัตจากข้างบนราวกับจะเสียบตรึงเขาไว้กับพื้น

แน่นอนเขาเห็นการโจมตีนั้น แต่ทัตก็สังเกตเห็นดาบในมือซ้ายที่เตรียมง้างใส่เป็นการโจมตีซ้อนด้วย

ทัตไม่ยอมเล่นตามมัน เขารีบเอี้ยวตบหลบไปอีกฝั่งแทนทำให้ดาบที่แทงลงพื้นของมันกลายเป็นการโจมตีเสียเปล่า ดาบในมือซ้ายเองก็ไม่สามารถฟันใส่เขาได้เพราะถูกดาบอีกเล่มที่แทงพื้นขวางไว้

“!!!?”

แต่ในจังหวะที่คิดว่าพ้นแล้ว ดาบที่แทงลงพื้นก็ถูกตวัดฟันครูดผ่าทะลุพื้นเข้าใส่ทัตแบบไม่ทันตั้งตัว ระยะห่างแค่นี้เขาไม่มีโอกาสหลบพ้นเลย

เคร้ง!!!

ทัตรีบยกปลอกแขนเหล็กขึ้นรับการโจมตีนั้นไว้ เขาต้องขอบคุณมันไม่งั้นคงกลายเป็นเศษเนื้อไปแล้ว

ดาบของมันสร้างรอยขีดข่วนให้โซ่ที่พันอยู่รอบปลอกแขนเหล็กไม่ได้ด้วยซ้ำ เห็นแบบนั้นทัตยิ่งรู้สึกไว้วางใจ

ประมาทไม่ได้เลยแฮะ…

ทัตกัดฟันกรอด

ยิ่งเวลาผ่านไปความเหนื่อยล้าที่สะสมจะลดทอนสติลงทำให้เขาเพ่งหลบการโจมตีของศัตรูได้ยากขึ้น เขารู้เรื่องนั้นจึงเริ่มกังวล

แล้วเวลานั้นก็กำลังจะมาถึงด้วย

หลังจากทัตรับการโจมตีของเจ้าเกราะทมิฬได้ มันก็เริ่มกระหน่ำฟันใส่ทัตด้วยดาบอีกมืออย่างต่อเนื่อง

ในพริบตาที่คิดจะถีบพื้นหนี มันก็ย่ำเท้าเข้าประชิดโจมตีใส่ทันที

หากถอยไปตอนนี้มันจะตามมาแล้วอาศัยช่องว่างนั้นโจมตีสวนทัตที่ยังตั้งหลักไม่ได้แน่

เมื่อทางหนีถูกปิด ทัตจึงทำได้แค่ใช้ปลอกแขนเหล็กป้องกันการโจมตีของมันต่อไป

แย่แล้ว! ขืนเป็นแบบนี้ต่อ เราหมดแรงก่อนแน่!

ความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะเกิดขึ้น ทัตเริ่มสับสนว่าจะเลี่ยงสถานการณ์นี้ไปยังไงดี ซ้ำร้ายดาบของมันยังเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับตอกย้ำชะตากรรม

ไม่สิ… เป็นทางทัตเองต่างหากที่ช้าลง ปลายดาบของมันผ่านช่องว่างการป้องกันจากปลอกแขนไปเฉือนโดนผิวของทัตมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ

แย่แล้ว! แบบนี้แย่ของจริงแน่———

ตู้ม!!!

คลื่นดาบเพลิงพุ่งกระแทกเข้าใส่หัวของเจ้าเกราะทมิฬจนเกิดระเบิดขึ้นก่อนที่สถานการณ์จะแย่ไปกว่านี้ มันชะงักมือตัวเองเพราะการโจมตีไม่ได้มาจากทางทัต

แต่มาจากพิมที่อยู่ด้านหลังของเจ้าเกราะทมิฬ เธอยังยืนหอบอยู่เลยด้วยซ้ำในตอนที่ตวัดดาบ

“ทำอะไรเนี่ย! ทำไมไม่พักให้หายเหนื่อยก่อน————”

“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันยะ!”

โดนพิมตวาดสวนทำเอาทัตสะดุ้ง แต่เขาก็รีบรวบรวมสติ รีบใช้จังหวะนี้ถีบพื้นกลับไปข้าง ๆ พิมเหมือนก่อนเริ่มสู้

“คิดจะทำอะไรเนี่ย” ทัตกลับมาเอ่ยถามอย่างใจเย็น พอสงบใจลงแล้วก็คิดได้ว่าพิมคงไม่ทำอะไรเสียเปล่าอย่างการตะโกนใส่เขาในสถานการณ์อย่างนั้น

และความเชื่อใจนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

“เพิ่งนึกขึ้นมาได้น่ะ… นายใกล้จะหมดแรงแล้ว และฉันเองก็สู้มันด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ คงพอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมล่ะ?”

น้ำเสียงเธอจริงจังจนฟังดูเหมือนถูกดุโดยอาจารย์ แต่เนื้อความนั่นสมเหตุสมผลกว่าที่คิด

เห็นกันอยู่ว่าพิมคนเดียวโค่นมันไม่ได้แน่ถ้าทัตไม่สนับสนุน แต่จากที่เห็นเมื่อครู่ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าความสามารถในการสนับสนุนของทัตน่าจะลดต่ำลงเป็นอย่างมากจนอาจดำเนินการตามแผนเดิมไม่ได้

ความยืดหยุ่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่อย่างนั้นคงพากันกอดคอตายทั้งคู่เป็นแน่แท้

“ที่นายไม่อยากเพราะกลัวฉันเสี่ยงใช่ไหมล่ะ แต่แบบนั้นจะตายกันหมดเอานะ” พิมย้ำเสริม ภาพความล้มเหลวก็ยิ่งชัดเจนซึ่งทัตเองก็รู้อยู่ แต่ว่า…

“แต่ว่า… ถ้าใช้แผนเดิม อย่างน้อยโอกาสรอดของเธอก็เยอะกว่า”

สิ่งที่ทัตต้องการไม่ใช่สิ่งเดียวกับพิมเสมอไป และนั่นหมายความว่าเขาพร้อมจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อความต้องการนั้น

ไม่ว่าจะเป็นคืนแรกที่ยอมเป็นตัวล่อ เหตุการณ์ตอนบอสผึ้งยักษ์ เหตุการณ์ปลอกแขนแดงหรือที่โรงพยาบาล หากความเสี่ยงนี้แปรเปลี่ยนเป็นความปลอดภัยของพิมเพื่อให้เธอรอดชีวิตไปได้ ทัตก็คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่คุ้มค่า

“นายนี่พูดอะไรโหดร้ายจังเลยนะ” แต่แน่นอนว่าเรื่องนั้นพิมเห็นต่าง เธอถึงได้ทำสีหน้าเศร้าสร้อยออกมาโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าทัตด้วยซ้ำ

“ถ้านายตายขึ้นมา ถึงฉันรอดไปได้มันก็ไม่มีความหมายหรอก”

น้ำเสียงของเธอเบาลง นั่นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความรู้สึกหวาดกลัวความสูญเสีย สิ่งนั้นน่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้พิมเลือกที่จะเปลี่ยนแผน

เพราะเหนือสิ่งอื่นใด… ไม่ว่าจะทัตหรือตัวพิมเองต่างก็รู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองสู้ไปเพื่ออะไร

และตระหนักชัดยิ่งกว่า ว่ากำลังปกป้องอะไรอยู่

ให้ตายสิ… เล่นทำหน้าแบบนั้นฉันจะปฏิเสธได้ยังไง

เห็นแบบนั้นมีหรือทัตจะทนไหว เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เข้าใจแล้ว” ทัตจึงตอบกลับทันควัน แม้การเอาตัวรอดจะสำคัญ แต่มันคงไม่มีประโยชน์ถ้าพิมไม่ยอมทำตามแผน

และที่สำคัญกว่าคือเขารู้ดีกว่าใครว่าพิมนั้นหัวรั้นแค่ไหน และถึงห้ามไปก็คงไม่ฟังอยู่ดี ทางเลือกจึงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียว

“ฝากหลังฉันทีนะ แล้วอย่าทะเล่อทะล่าโดนมันเล่นงานเข้าล่ะ”

“รู้อยู่แล้วหรอกย่ะ!”

นั่นคือสู้ไปด้วยกันจนถึงที่สุด