ตอนที่ 213 เข้าเมืองหลวง นางจะเป็นคนเหนือคน (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 213 เข้าเมืองหลวง นางจะเป็นคนเหนือคน (3)

เมื่อคราวก่อนตอนไปเดินเล่นรอบเมืองเทียนเซียง นางไม่ได้ซื้อแค่ของกินของใช้เท่านั้น แต่ยังมีเข็มเหล่านี้ด้วย

เสียงฟาดฟันด้านนอก ดังก้องในหู

นานๆ ครั้งจะมีคนสองสามคนฝ่าวงล้อมแข็งแกร่งด้านนอก เข้ามาประชิดรถม้า ยื่นหน้าเข้ามาด้านใน แต่ก็ล้วนถูกมั่วเชียนเสวี่ยสังหารด้วยกระบวนท่าเดียว

นี่เป็นการฆ่าคนครั้งแรกของนาง แต่นางกลับไม่มีความหวาดกลัวในการฆ่าคน ในทางตรงกันข้ามจิตใจของนางกลับแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ตอนที่อยู่ในความปลอดภัย มั่วเชียนเสวี่ยมักจะมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ เพื่อมองหาหนิงเซ่าชิง

เสียงฟาดฟันด้านนอกหยุดลง หมอกหนาก็จางลงไปมากแล้ว ได้ยินเพียงเสียงฟ้าร้อง ราวกับพายุฝนฟ้าคะนอง ลำแสงกระบี่และฟ้าแลบปะทะกัน เวลานี้เสื้อผ้าของชายที่ต่อสู้กับหนิงเซ่าชิงเปื้อนไปด้วยเลือดแล้ว ร่างของเขาปลิวออกไป ชนกับก้อนหินฝั่งตรงข้าม แล้วตกหน้าผา

มั่วเชียนเสวี่ยดีใจอย่างมาก

จากนั้น ลมเย็นๆ พัดปลิวมา พัดต้นไม้ใบหญ้าบนพื้น

ฝ่ามือวาโยลอบโจมตีมาจากในที่ลับอย่างยากจะอธิบาย

การลอบโจมตีของฝ่ามือวาโยนี้แปลกพิลึก ทำให้อาซานและอาอู่ที่ยืนปกป้องรถม้า ตัวปลิวจนชนเข้ากับรถม้า

พลังของหนึ่งฝ่ามือยังไม่จบลง พลังของอีกฝ่ามือก็ปะทะขึ้นมา มั่วเหนียงกระโดดลงมาจากหลังคารถม้า รถม้ากระเทือนจนปลิว ปลิวไปยังหน้าผา

หนิงเซ่าชิงยืนอยู่ตรงหน้าผาอีกด้านหนึ่ง ไม่อาจช่วยเหลือได้ทันท่วงที

หากนั่งอยู่ในรถม้าต่อ ย่อมตกหน้าผาไปพร้อมกับรถม้า กระดูกต้องหักเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน แต่หากกระโดดลงจากรถม้า ก็จะตกหน้าผาเหมือนกัน อีกทั้งกระดูกก็ต้องหักเป็นชิ้นๆ เช่นเดียวกัน

ทว่า ถ้าระหว่างนั้นคว้าเถาวัลย์เอาไว้ได้ ก็มีโอกาสรอด

มั่วเชียนเสวี่ยไหวตัวเร็วมาก นางตัดสินใจแล้วกระโดดออกมาทันที ขอเพียงมีโอกาสรอด นางก็จะคว้าเอาไว้

“ไม่!” หนิงเซ่าชิงแผดร้องเสียงดัง เหาะทะยานไปด้านหน้าหมายจะคว้ารถม้าเอาไว้

แต่ว่ารถม้าสร้างขึ้นเป็นพิเศษ เหตุเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของมั่วเชียนเสวี่ย รถม้าจึงทั้งกันลูกธนู กันดาบและกันหอกได้ รถม้าสร้างขึ้นจากเหล็ก แน่นอนว่าตัวรถม้าย่อมหนักมากเป็นธรรมดา ความเร็วในการตกลงไปจึงเร็วมากๆ

แม้หมอกหนาจะจางไปบ้างแล้ว แต่ว่าหมอกใต้หน้าผาย่อมหนากว่าบนพื้นดิน ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดชัดเจน หนิงเซ่าชิงคว้าความว่างเปล่า รถม้าคันนั้นมีเสียงโครมดังขึ้น ตกลงไปใต้หน้าผาที่มองไม่เห็น

อ๊าก… เมื่อหนิงเซ่าชิงได้ยินเสียงนั้น หัวใจของเขาแตกสลาย แผดเสียงร้องคำรามด้วยความเสียใจอย่างไม่อาจหักห้ามตนเองได้ ขณะที่เขากำลังจะลงไปหามั่วเชียนเสวี่ยใต้หน้าผา กลับได้ยินคนร้องเรียกเขาด้วยเสียงที่สั่นเทา “เซ่าชิง…”

หนิงเซ่าชิงคิดว่าตนเองหูฟาด แต่ก็ยังคงหันหน้ากลับไปมองอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้

เขาเห็นมือทั้งสองข้างของมั่วเชียนเสวี่ยคว้าเถาวัลย์และร่างของนางก็ส่ายไปมากลางอากาศ

ความดีใจและเสียใจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน น้ำตาของหนิงเซ่าชิงยังไม่ทันแห้งเขาก็ยิ้มร่า

มั่วเชียนเสวี่ยมองไปที่เขาด้วยแววตางดงาม จากนั้นคลี่ยิ้ม เคยได้ยินแต่สตรีร่ำไห้ ไม่เคยเห็นบุรุษร่ำไห้เช่นนี้มาก่อน

เสียงฟาดฟันด้านบน ดังยิ่งกว่าเดิม

ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1]!

ดูเหมือนว่า คนสองกลุ่มนี้ ไม่ได้มาด้วยกัน

คนกลุ่มนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่า ยากจะรับมือกว่ากลุ่มคนก่อนหน้า

หนิงเซ่าชิงพุ่งตัวไปหามั่วเชียนเสวี่ย เท้าแตะก้อนหินหนึ่งครั้ง แล้วขึ้นไปบนหน้าผา บนหน้าผามีลูกธนูแหลมคมมากมายดั่งสายฝนพุ่งตัวมา

ฝนลูกธนูพุ่งตัวมา หนิงเซ่าชิงโอบกอดมั่วเชียนเสวี่ยด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างกวัดแกว่งกระบี่หยกมายา

กระบี่ถูกเขากวัดแกว่งจนถี่ยิบ ราวกับม่านลำแสง

ตอนที่ฝนลูกธนูปะทะกับม่านลำแสง ลูกธนูก็กระเด็นออกไป มีบางดอกตกหน้าผา มีบากดอกชนกับภูเขา ทั้งยังมีบางดอกกระเด็นกลับไป ปักร่างคนที่ยิงธนู ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้อง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่ถูกยิงจนล้มลงแล้วตกหน้าผา

ถูกลูกธนูเหล่านี้ขวางเอาไว้ อีกทั้งในอ้อมกอดของหนิงเซ่าชิงก็มีมั่วเชียนเสวี่ยเป็นภาระ ดังนั้นร่างของเขาจึงตกลงไปอีกครั้ง

ตาข่ายขนาดใหญ่ ตกลงมาจากด้านบน มากมายนับไม่ถ้วน…

เรื่องหนึ่งเชื่อมประสานกับอีกเรื่องหนึ่ง แผนการหนึ่งต่อจากอีกแผนการหนึ่ง…

ในช่วงคับขัน อิ่งซาโพล่งตัวออกมาจากที่ลับ สังหารคนยิงธนูจนตายเกลื่อกลาด

หนิงเซ่าชิงปกป้องมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้และหลบเลี่ยงตาข่ายขนาดใหญ่ที่ตกลงมามากมาย ปักกระบี่หยกมายาลงบนกำแพงหิน ในที่สุดก็หยุดการตกลงไปของพวกเขาสองคนได้

ทว่าในที่ลับกลับมีลูกธนูเยือกเย็นยิงออกมา ครั้งนี้ไม่ได้เล็งมาที่เขา แต่เล็งไปที่มั่วเชียนเสวี่ย

แน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยย่อมไม่รู้

พวกเขาเพิ่งหยุดนิ่งได้ไม่นาน หนิงเซ่าชิงมือหนึ่งถือกระบี่เอาไว้ อีกมือหนึ่งโอบกอดมั่วเชียนเสวี่ย แน่นอนว่าเขาไม่มีมือเหลือที่จะรับมือกับลูกธนูดอกนั้น

ในสถานการณ์คับขัน เขาโยนมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นไปบนหน้าผา ลูกธนูดอกนั้นจึงปักมาที่ร่างของเขา

มั่วเชียนเสวี่ยลอยขึ้นไปบนหน้าผา แน่นอนว่าย่อมมีอิ่งซารับเอาไว้ นางมองฝุ่นที่ตลบด้านบน ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยคนที่ตามฆ่า

เห็นมั่วเชียนเสวี่ยลอยขึ้นมาจากหน้าผา มั่วเหนียงดีใจมาก

อิ่งซาเป็นห่วงนายของตน ในเวลาเดียวกันที่เขารับมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ได้เขาก็รีบผลักนางไปให้มั่วเหนียงที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นหันไปรับมือกับพวกคนที่ยิงธนู

ผู้ใช้ฝ่ามือในที่ลับต่อสู้กับหมัวมัวและพวกชูอีตั้งแต่ต้น เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบมานานแล้ว เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยถูกโยนขึ้นหน้าผา จึงโจมตีมั่วเหนียง แล้วชิงตัวมั่วเชียนเสวี่ยไป

สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวายอย่างมาก ไม่มีใครปลีกตัวมาช่วยนางได้ ใบหน้าของคนคนนั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ร้ายกาจ

เพียงแต่เขาคิดผิดแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยทิ้งเข็มในมือแม้แต่เสี้ยววินาที ชั่วขณะหนึ่ง ทิ่มแทงไปยังจุดฝังเข็มทั้งสาม แม้นางจะถูกฝ่ามือวาโยโจมตี ทว่าก็ทำให้ร่างของคนที่โจมตีนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ชูอีและสืออู่ฟันไปที่ร่างของเขา เจ้าของฝ่ามือวาโยสิ้นใจทันที!

ตอนที่เขาคนนั้นล้มลง ยังคงเบิกตากว้างตายตาไม่หลับ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะหลงกลสตรีที่ไร้วรยุทธ์

อิ่งซาเจอตัวคนยิงธนูซึ่งซ่อนตัวในที่ลับแล้ว เขาโจมตีด้วยฝ่ามือ ก้อนหินพังทลาย ทางด้านหนิงเซ่าชิงเองก็ทะยานขึ้นมาจากใต้หน้าผากแล้ว

หลังจากหมอกหนาจางหาย ศึกครั้งใหญ่จบลง บนพื้นเต็มไปด้วยศพนอนเกลื่อน อากาศคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด

ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นขอบฟ้า บนใบไม้ที่เขียวชอุ่มมีน้ำค้าง น้ำค้างทอประกายดั่งไข่มุก คล้ายว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นเพียงหมอกควัน

โชคดี ลูกธนูดอกนั้นปักเข้าที่แขนซ้ายของหนิงเซ่าชิง อิ่งซาช่วยดึงลูกธนูออกมาให้หนิงเซ่าชิง หลังจากทำแผลให้เขา ห้ามเลือดให้เขาเสร็จ ท่าทีของอิ่งซาที่มีต่อมั่วเชียนเสวี่ยไม่ดีเท่าใดนัก

มั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจสายตาไม่สบอารมณ์ของอิ่งซา นางนั่งปวดใจอยู่อีกด้านหนึ่ง แท้จริงแล้ว บนโลกใบนี้มีคนที่พร้อมจะสละชีวิตของตนให้นาง มีคนยินดีที่จะเกิดและตายไปพร้อมกับนาง ไม่ทอดทิ้งและไม่ไปจากนาง

หนิงเซ่าชิงตบมือมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ เป็นการปลอบโยน

มั่วเชียนเสวี่ยคว้ามือของเขาขึ้นมาแล้วเอาแนบหน้า จับจ้องหนิงเซ่าชิงนิ่งๆ “จับมือกันและกัน ไปจนแก่เฒ่า!” หนิงเซ่าชิงหันกลับมามองนางโดยไม่พูดสิ่งใด คล้ายกำลังจดจำภาพในตอนนี้

มั่วเชียนเสวี่ยหยุดร้องไห้ แล้วพูดต่อ “ท่านห้ามทำเช่นนี้อีก หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา ท่านคิดว่า ข้าจะยังมีชีวิตตามลำพังหรือ”

“อย่าทำเช่นนั้นเด็ดขาด!” หนิงเซ่าชิงยื่นมือไปเช็ดน้ำตา สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เด็กโง่ หากข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าไม่เพียงต้องมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ยังต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตในส่วนของข้าด้วย”

“ไม่พูดเหลวไหลกับท่านแล้ว…”

เมื่อครู่มีคนมาสองกลุ่มแล้ว หลังจากอิ่งซาตรวจสอบอย่างละเอียด เขารู้ตัวตนของคนทั้งสองกลุ่มอย่างชัดเจน คนที่มามีทั้งคนจากตระกูลมั่ว มีทั้งจากตระกูลเซี่ย มีทั้งนักฆ่าและยังมีหน่วยกล้าตาย

ตอนนี้กลุ่มคนที่ควรลงมือก็ลงมือกันหมดแล้ว คาดว่าหนทางข้างหน้าน่าจะราบรื่นแล้ว ร่องรอย ณ ที่แห่งนั้นไม่กำจัดก็ไม่เป็นเช่นไร ขอเพียงอ้อมผ่านเมืองอวิ๋นฉี่ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม ก็สามารถกลับเข้าเมืองหลวงได้แล้ว

แน่นอน การต่อสู้ที่เกิดขึ้น ทำให้องครักษ์ลับของพวกเขาที่ซ่อนตัวอยู่เหลือเพียงไม่กี่คน อิ่งซาให้คนบาดเจ็บไปหาที่พักฟื้นรักษาบาดแผลเอง แล้วให้คนไม่บาดเจ็บที่เหลือเพียงไม่กี่คนติดตามพวกตน

[1] ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง หมายถึงผู้ที่เอาแต่จ้องจะคิดบัญชีกับผู้อื่น โดยลืมไปว่าตนเองก็อาจจะกำลังถูกผู้อื่นจ้องจะคิดบัญชีเช่นกัน