ตอนที่ 164 ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเผชิญ

ภายในห้องม่อี้ส่ายศีรษะขึ้นมาทันที อย่างน้อยตาหนิวก็ไม่รู้ว่าเขาส่ายศีรษะทําไม

จากนั้นมู่ลี้ก็วางต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้บนต้นขาของตนเองและนั่งสมาธิอีกครั้ง

แสงไฟจากตะเกียงทองแดงส่องสว่างขึ้นมาเงียบๆ พร้อมกับเสียงกรนของร่างขนาดใหญ่ที่นอนอยู่ข้างเตียง

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงันและในที่สุดช่วงเวลากลางคืนก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ตอนที่มอื้ออกมาที่ลานกว้างอีกครั้งนั้น หลี่เหล่าลือก็รออยู่ที่นี่แล้วและหลังจากได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาก็ดูเคารพม่อีมากยิ่งขึ้น

“ท่านนักพรตเต๋ รถม้าเตรียมพร้อมแล้วขอรับ” หลี่เหล่าฉือพูดขึ้นมา

“ไปกันเถอะ” มู่พยักหน้า ไม่ว่าใครจะมาเป็นเจ้าของบ้านตระกูลดังคนต่อไปหรือเมืองนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีกมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นแค่คนที่เดินทางผ่านมาเท่านั้นครั้งนี้เขาได้รับประโยชน์จากวัดเจียเซียวทําให้พลังของเนี่ยนหนิวเอ้อร์สามารถยกระดับขึ้นมาได้ในที่สุด

อย่างน้อยครั้งต่อไปที่เขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาโอกาสที่เขาจะชนะก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น

“รับทราบขอรับ!”

หลี่เหล่าฉืออยากจะเข้าไปช่วยต้าหนิวยกกระเป๋าของมันแต่เขาก็ไม่อาจทําให้กระเป๋าขนาดใหญ่นั้นขยับได้เลยแม้จะออกแรงทั้งหมดจนหน้าแดงขึ้นมาเขารู้ดีว่ากระเป๋าใบนี้หนักมากเพียงใดแต่เมื่อลองยกดูมันกลับหนัก ยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้อีก

ต้าหนิวเหลือบมองมาที่หลี่เหล่าจือ ดูเหมือนมันจะรําคาญที่มีคนมายุ่งกับของของตนเองและจากนั้นมันก็ใช้มือเพียงข้างเดียวยกกระเป๋าขึ้นมาจากพื้นทันที

เมื่อเห็นเช่นนี้หลี่เหล่าลือก็รีบหลบหน้าและเดินกลับไปที่รถมาทันที

“ท่านนักพรตเต๋!”

เมื่อม่อี้กําลังเคลื่อนตัวออกจากประตูของหมู่บ้านแห่งนี้นั้น เขาก็เห็นว่ามีชายชราหลายๆคนที่มารอเขาอยู่ที่นี่ท่าทีของทุกคนเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดเจียเซียวเมื่อคืนนี้

“พวกท่านมีอะไรหรือเปล่าขอรับ?” มู่อี้ถามออกมา แม้ว่าเขาจะทําลายวัดเจี๊ยเซียวไปแต่ในขณะเดียวกันเขาก็ทําลายภูตผีที่อยู่ภายในวัดแห่งนั้นไปด้วย อย่างน้อยก็เป็นการตัดปัญหาให้กับชายชราเหล่านี้ในอนาคตได้หญิงสาวภายในหมู่บ้านจะได้ไม่ต้องกลายเป็นหญิงหม้ายตั้งแต่อายุยังน้อย

และเมื่อคืนนี้ชายชราเหล่านี้ก็ได้รับยันต์สะกดวิญญาณไปด้วยเช่นกัน แม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยยืดอายุขัยให้กับพวกเขาแต่อย่างน้อยมันก็ทําให้พวกเขารู้สึกว่าร่างกายของตนเองนั้นแข็งแรงขึ้นและสามารถมีชีวิตอยู่ไปได้อีกหลายปี

ดังนั้นด้วยเหตุและผลทุกอย่าง ถือว่าเขาไม่มีอะไรที่ติดค้างหมู่บ้านแห่งนี้เลย

“ข้าอยากจะขอถามท่านนักพรตเต๋เรื่องหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ พวกเราจะสร้างวัดเต่ําแห่งหนึ่งขึ้นมาภายในหมู่บ้านแห่งนี้และจัดทํารูปปั้นเสมือนจริงของท่านนักพรตเต๋ขึ้นมาเพื่อประดิษฐานเอาไว้ภายในวัดขอรับ”จ้าวเฉวียนรีบพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงที่ดูเคารพ

ชายชราคนอื่นๆก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน

มู่อี้ส่ายศีรษะเล็กน้อย เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านี้คิดอะไรอยู่ยันต์สะกดวิญญาณที่ชายชราเหล่านี้ได้รับไปเมื่อคืนย่อมทําให้พวกเขารู้สึกดีอย่างยิ่งในขณะเดียวกันวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ภายในวัดเจี๊ยเซียวที่ทําให้ทุกๆคนในหมู่บ้านต้องหวาดกลัวมานานก็ถูกกําจัดออกไปแล้วดังนั้นพวกเขาจึงมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมา

พวกเขาคิดว่าตราบใดที่รูปปั้นเสมือนจริงของมู่ประดิษฐานอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ความชั่วร้ายที่เข้ามาจะถูกกําจัดออกไปและพวกเขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องภูตผีปีศาจอีกต่อไปด้วย

“ไม่จําเป็นต้องทําเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าเองก็ไม่ใช่เทพเจ้าองค์ใด ข้าปกป้องพวกท่านไม่ได้หรอกมีเพียงความซื่อสัตย์เท่านั้นที่จะปกป้องพวกท่านได้”มู่อี้พูดออกไปตามตรงไม่ว่าชายชราเหล่านี้จะเข้าใจหรือไม่ก็ตามมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถควบคุมได้อยู่แล้ว

เมื่อได้ยินมู่อี้ปฏิเสธ สีหน้าของชายชราเหล่านี้ก็ดูกังวลขึ้นมาทันทีเห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เมื่อเห็นสายตาของมู่อี้พวกเขาก็กลืนคําพูดเหล่านั้นกลับไปทันที

“เฮ้อ!”

จนกระทั่งมู่อื้ออกจากหมู่บ้านไปแล้ว ชายชราทุกๆคนก็มองหน้ากันพร้อมกับถอนหายใจออกมาทันทีเหตุผลนั้นก็เพราะพวกเขาต่างก็รู้สึกหวาดกลัว

สิ่งที่พวกเขาได้เห็นเมื่อคืนนี้มันเกินกว่าจินตนาการของทุกๆคนไปแล้วและจิตใจของพวกเขาไม่อาจสงบลงได้ในตอนนี้

“ตู้ม!”

ในตอนที่หลายๆคนถอนหายใจออกมานั้นอยู่ๆก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมาจากทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านแห่งนี้และทําให้ทุกคนต้องตกตะลึงทันที แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็รีบวิ่งไปที่ทิศตะวันออกของหมู่บ้านในตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ก็มีเพียงแค่ความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นตรงหน้าเท่านั้น

ซุ้มประตูใหญ่ถล่มลงมาแล้ว ดูเหมือนว่ามันถูกทําลายเพราะสายฟ้าที่ผ่าลงมาก่อนหน้านี้แม้ว่าทุกๆคนจะรู้ดีว่ามู่อี้นั้นสามารถเรียกสายฟ้าได้แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวในใจ

เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ถูกจดบันทึกเอาไว้ในพงศาวดารของหมู่บ้านแห่งนี้ หญิงชราคนหนึ่งจากตระกูลทั้งในหมู่บ้านพี่หมิงเป็นคนไร้ยางอายและสวรรค์ลงโทษด้วยการทําลายซุ้มประตูที่เป็นอนุสรณ์สถานของนาง

หลังจากใช้สายฟ้าทําลายซุ้มประตูของหญิงชราไปแล้ว มู่อี้ที่อยู่ในรถม้าก็เดินทางต่อไปยังเมืองฉางโจวทัน

ในตอนนี้ยุทธภพเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ แม้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านพี่หมิงจะยังไม่กระจายออกไปแต่ในโลกใบนี้ย่อมมีผู้คนที่ชาญฉลาดมากมายมู่ลี้ย่อมไม่อาจหายตัวไปได้โดยไร้ร่องรอยดังนั้นจึงมีหลายๆคนที่เริ่มแกะรอยตามเขาอย่างเงียบๆมาโดยตลอด

ไม่ว่าจะรางวัลจากศาลพิพากษามณฑลหรือกุญแจแห่งเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลือต่างก็คุ้มค่าพอที่ทําให้พวกเขาอยากเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยง

ยิ่งไปกว่านั้นชวีหยางคือผู้ที่รู้ดีว่ามู่อี้มีพลังมากเพียงใดและเขาก็ไม่ได้ปกปิดเรื่องนี้เลย ทุกคนจึงคิดว่ามู่ลี้เป็นเพียงเด็กที่โชคดีคนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าเขาจะสามารถสังหารบุตรชายของขุนนางใหญ่และลูกสมุนเป็นจํานวนมากไปได้แต่ทุกๆคนก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย

กุญแจเพียงแค่ดอกเดียวก็ทําให้ยุทธภพกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งและข่าวของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ํา เหลืองก็ถูกพูดถึงอยู่หลายครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้คนที่ได้ทราบเรื่องของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลือง

มากขึ้นเรื่อยๆแม้แต่รายชื่อของผู้ที่เป็นเจ้าของกุญแจอีก 5 ดอกที่เหลือก็ถูกเปิดเผยออกมาด้วยเช่นกันดูเหมือนว่าในตอนนี้จะมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นกําลังชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

ในตอนบ่ายของวันนี้หลังจากต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคนถึง 3 กลุ่มที่เข้ามาหยุดรถม้าของเขาเอาไว้มู่อี้ก็รู้ดีว่าปัญหาของเขาไล่ตามมาถึงแล้ว

ความจริงแล้วมู่อี้ไม่เคยคิดว่าเขาจะถูกพบเจอตัวระหว่างเดินทางเพราะโอกาสมันมีน้อยมากการเดินทางจากเมืองลั่วหยางไปยังเมืองฉางโจวแม้ว่าระยะทางจะไม่ได้ไกลมากนักแต่เขาก็ไม่คิดว่าศัตรูจะไล่ตามมาได้รวดเร็วขนาดนี้

แม้ว่าเขาจะรับมือกับศัตรูทั้ง 3 กลุ่มได้ไม่ยาก แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่คลื่นลูกแรกเท่านั้นยังเหลือคลื่นอีกมากมายหลายลูกที่พร้อมจะซัดสาดตามหลังมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่รถม้าจะเดินทางไปถึงเมืองฉางโจวได้อย่างปลอดภัย

ครั้งนี้ม่อี้ไม่ได้ลงมือด้วยตนเองแต่เป็นตาหนิวที่ลงมาจากรถม้าและฝ่ามือของมันก็ฟาดออกไปสังหารศัตรูที่ละคน

ม่เข้าใจหลักการของยุทธภพได้อย่างชัดเจนดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงความเมตตาใดๆ แม้จะมีนักบุญที่เข้ามาขวางทางในครั้งนี้แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาสนใจเรื่องความเมตตา ไม่ต้องพูดถึงเลยว่านักบุญคนนั้นอาจจะถือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ในมือข้างหนึ่งแต่มืออีกข้างหนึ่งอาจจะถือดาบเอาไว้ก็เป็นได้

มีเพียงโลหิตและความตายเท่านั้นที่จะทําให้ทุกๆคนหวาดกลัวได้ ไม่อย่างนั้นแล้วปัญหาก็จะถาโถมเข้ามา อย่างไม่จบไม่สิ้น

ทําไมถึงไม่มีใครกล้าไปช่วงชิงกุญแจจากเมืองไปต์? ไม่ใช่เพราะว่าเมืองไปตี้มีกองกําลังที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างนั้นหรือ? ทําไมถึงไม่มีใครกล้าไปช่วงชิงกุญแจจากภูเขาหลงหูหรือสํานักเหมาซาน?เหตุผลนั้นก็เพราะม่ อื้อ่อนแอเกินไป อย่างน้อยเขาก็ยังอ่อนแอเกินไปในสายตาของทุกๆคน

เมื่อเป็นเช่นนี้ม่อี้ก็พร้อมที่จะให้ทุกๆคนได้เห็นพลังของเขา

แม้ว่าม่อี้ไม่อยากสังหารคนบริสุทธิ์ แต่เมื่อคนเหล่านี้เลือกที่จะตามล่าเขาก็ไม่อาจเรียกได้ว่าคนบริสุทธิ์อีกต่อไป

“ไม่ต้องไปเส้นทางเดิมแล้ว ตรงไปที่เมืองไคเฟิงทันที” หลังจากต้าหนิวกําจัดศัตรูทั้ง 3 กลุ่มไปทั้งหมดแล้วม่อี้ก็พูดขึ้นมาทันที

“เมืองไคเฟิงหรือ?” หลี่เหล่าลือมองมาที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูสับสน เพราะม่อี้บอกกับเขาตั้งแต่เริ่มเดินทางว่าจะไปที่เมืองฉางโจว ถ้าหากเขาเดินทางไปที่เมืองไคเฟิงเช่นนั้นแล้วการเดินทางก็จะยาวนานมากขึ้นกว่าเดิม

“ใช่ อีกหลายๆวันหลังจากนี้พวกเราคงใช้ถนนเส้นนี้ไม่ได้แน่นอน ตรงไปที่เมืองไคเฟิงก่อน ส่วนค่าจ้างข้าจะเพิ่มให้ท่านเป็น 2 เท่า” มู่อี้พูดออกมาตามตรง

“ท่านนักพรตเต๋ ข้าไม่ได้หวาดกลัวอันตรายใดๆเลย ให้ข้าไปส่งท่านที่เมืองฉางโจวเถอะขอรับ”แม้ว่าหลีเหล่าฉือจะเป็นคนซื่อสัตย์แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ ศัตรูทั้ง 3 กลุ่มที่เข้ามาก่อนหน้านี้เขาก็ได้เห็นด้วยตาของตนเอง

แต่เขาก็รับเงินของม่อี้มาตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้วและมู่อี้ก็ดูแลเขาเป็นอย่างดีตลอดการเดินทางครั้งนี้เขาไม่ได้หวังอะไรมากนักและมองนักพรตเต๋คนนี้เป็นลูกค้าที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น

ดังนั้นแม้เขาจะรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้อันตรายแต่เขาก็เลือกที่จะไปส่งม่อี้ที่เมืองฉางโจว

“ความปรารถนาดีของท่านข้าขอรับเอาไว้ แต่ลักษณะรถม้าของพวกเราคงถูกเปิดเผยออกไปแล้วเช่นนั้นแล้วพวกเราคงต้องลงเรือและล่องไปตามแม่น้ําเหลืองเถอะ ด้วยวิธีนี้ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน” ม่อี้พูดออกมาตามตรงแต่เมื่อเขาพูดถึงแม่น้ําเหลืองเขาก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่างภายในใจของตนเอง

ถ้าหากสิ่งที่เรียกว่าเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแม่น้ําเหลืองคงไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้แน่นอนเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองย่อมต้องอยู่ภายในแม่น้ําเหลืองแต่ถ้าหากมู่อี้ต้องการจะไปที่นั่นมันก็ยังไม่ถึงเวลา

เมื่อได้ยินคําพูดของม่อี้หลี่เหล่าลือก็พยักหน้าทันทีและไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะการเดินทางด้วยเรือนั้นก็รวดเร็วกว่าและสะดวกสบายกว่ารถม้าจริงๆ

หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ม่อี้คิดเอาไว้ภายในวันเดียวเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูถึง 4 กลุ่มที่เข้ามาหาแต่คนเหล่านั้นต่างก็ต้องตายด้วยพละกําลังอันมหาศาลของต้าหนิว

ดูเหมือนว่าต้าหนิวจะชอบต่อสู้ด้วยกําปั้นของมันมากกว่านั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมมันถึงไม่ใช้ขวานยักษ์ที่มันได้รับมาเลย

ในวันนี้แม้ว่าจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแต่หลี่เหล่าลือก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวจนหน้าซีด ความตายที่เขาได้เห็นในวันนี้มากยิ่งกว่าความตายที่เขาได้เห็นมาทั้งชีวิตเสียอีก

ถนนไปสู่เมืองไคเฟิงที่ม่อี้พูดถึงก่อนหน้านี้ต่างก็ถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน

“ท่านนักพรตเต๋พวกเราจะเข้าไปในเมืองจริงๆหรอขอรับ?”

หลังจากตาหนิวลงมือสังหารศัตรูกลุ่มสุดท้ายที่มาปล้นชิงกุญแจไปแล้ว รถม้าก็เดินทางมาถึงเมืองแห่งหนึ่งหลี่เหล่าลือก็ถามความเห็นจากมู่ทันที

“ทําไมกันล่ะ?” มู่อี้ตอบกลับมา

“เอ่อ …” หลี่เหล่าลือเปิดปากเล็กน้อยแต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเขารีบนํารถม้าเข้าไปในเมืองทันที

เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก เมื่อหลี่เหล่าลือขับรถม้าเข้ามาที่นี่นั้นก็ดึงดูดสายตาของผู้คนในเมืองทันทีจากนั้นพวกเขาก็รีบหาโรงเตี้ยมเพื่อพักผ่อนและเมื่อตาหนิวปรากฏตัวออกมาหลี่เหล่าลือก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศโดยรอบนั้นเปลี่ยนไปทันที

แต่ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นหวาดกลัวต่อตาหนิวหรือยังไงกันจึงไม่มีใครเริ่มลงมือเลยซึ่งทําให้หลี่เหล่าฉือรู้สึกโล่งใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน

“ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินอะไรในคืนนี้ อย่าออกมาจากห้องเด็ดขาด”

ก่อนที่หลี่เหล่าจือจะเข้าไปในห้องของตนเองนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของมู่และรีบพยักหน้าตอบกลับมาทันที

ความจริงแล้วหลี่เหล่าลือก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีด้วยพลังของเขาเขาไม่สามารถช่วยเหลือม่อี้ได้เลยคงเป็นได้เพียงแค่ภาระของมู่อี้เท่านั้นดังนั้นแม้ว่ามู่จะไม่พูดแบบนี้เขาเองก็ไม่มีทางออกไปจากห้องเด็ดขาด

แต่เมื่อได้ยินคําพูดของม่อี้แล้ว อย่างน้อยคืนนี้โรงเตี้ยมแห่งนี้คงไม่มีทางสงบสุขได้แน่นอน

เมื่ออธิบายเสร็จสิ้นแล้วม่อี้ก็กลับเข้าไปในห้องของเขาพร้อมกับตาหนิว อย่างน้อยตาหนิวก็ไม่ทิ้งเขาไปไหนถ้าหากเขายังไม่แยกจากกับต้นไผ่แห่งชีวิต

ม่ไม่ได้ปิดบังตัวตนแม้แต่น้อย ดังนั้นตอนที่เขาเข้ามาในโรงเตี้ยมก็มีผู้คนมากมายที่ได้เห็น

ไม่นานหลังจากม่อี้เข้ามาในโรงเตี้ยมแล้ว ตัวตนของเขาและต้าหนิวก็ถูกเปิดเผยออกมาทันที นกพิราบมากมายถูกส่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินหายไปตามทิศทางต่างๆอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันนั้นก็มีหลายๆคนที่มาเคาะประตูของศาลพิพากษาด้วยความตื่นตระหนก