ตอนที่ 183 หวาดผวาไปเองจนเห็นผี
ท้องฟ้าภายนอกเพิงเซ่นไหว้ศพ มีกลุ่มเมฆลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ มันทะยานสูงขึ้นไปจนสุดขอบฟ้า เพียงพริบตาเดียวก็ฟุ้งไปทั่วนภา
ท้องฟ้ายังคงสว่างจ้า ผู้คนในเพิงเซ่นไหว้ศพไม่มีใครสนใจการเปลี่ยนแปลงนี้ ทุกคนล้วนจดจ้องไปไปที่อาสะใภ้แปด
อาสะใภ้แปดรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย จึงยิ้มออกมาพลางเอ่ยขึ้น “ต้องพูดอะไรหรือ”
รอยยิ้มนั้นขัดตาเซี่ยชิงเหยายิ่งนัก เด็กสาวทำหน้าเคร่งเครียด จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พูดว่ามีแผนจะทำเพื่อพี่ข้าอย่างไร ฝ่ายหญิงมีอะไรดีบ้าง เมื่อครู่อาสะใภ้แปดยังกล้าพูดได้อย่างหน้าตาเฉยอยู่เลย ทำไมพอมาอยู่ต่อหน้าศพพ่อกับแม่ข้าถึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรล่ะ”
อาสะใภ้แปดแอบดึงเสื้อพลางเหลือบมองป้าสะใภ้ “จิ้วไท้ไท่พูดก่อนเถอะ พวกเจ้าเป็นแขก”
ป้าสะใภ้มองอาสะใภ้แปดอย่างเหยียดหยาม แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จะแบ่งว่าเป็นหรือไม่เป็นแขกทำไมกัน พวกเราหวังดีต่ออินโหลวอยู่เต็มอก ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ ชิงเหยา พี่รองดีกับเจ้ามาตั้งแต่เด็ก นางเป็นคนอย่างไรเจ้ารู้ดี ให้พี่รองแต่งเข้ามาฝ่าฝันอุปสรรคความลำบากไปกับพี่ชายเจ้าเป็นประสงค์ของท่านยาย พวกเจ้าคิดดู จะมีผู้ใดใส่ใจเขาได้ดีกว่าบุตรสตรีจากบ้านลุงอีกเล่า ไม่เหมือนบางคนหรอกที่พาสตรีไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจากไหนไม่รู้มา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดีหรือไม่ดี เอาแต่คิดจะดันเข้ามาอยู่ในจวนปั๋ว…”
อาสะใภ้แปดได้ยินก็ไม่ยอม รีบพูดเย้ยทันที “จิ้วไท่ไท่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หญิงสาวที่ข้าแนะนำให้อินโหลวเป็นที่รู้จักของหัวหน้าตระกูลเชียวนะ พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่างหวังดีต่ออินโหลวกันทั้งนั้น”
ทั้งสองทั้งปากดีและพูดจาดุดัน เจ้าพูดคำข้าพูดคำ เถียงกันข้างๆ คูๆ ไม่นานก็ลืมว่าที่นี่คือห้องโถงไว้ทุกข์ที่บรรยากาศเคร่งขรึม
เซี่ยชิงเหยาพูดแทรกเข้าไปบางครั้ง คอยผสมโรง
เซี่ยอินโหลวคล้ายจะเดาออกแล้วว่าที่น้องสาวทำเช่นนี้ไม่มีทางไม่มีเหตุผลแน่นอน เขาจึงยืนดูเรื่องสนุกตั้งแต่ตนจนจบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจียงซื่อยืนอยู่นอกสุด จึงสามารถเห็นสภาพอากาศบนท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
ขณะที่ป้าสะใภ้กำลังเถียงกับอาสะใภ้แปดหน้าดำหน้าแดง จู่ๆ กลุ่มเมฆที่สูงชะลูดอยู่บนฟ้าก็พังทลายราวกับจะตกลงมา
เจียงซื่อกระแอมเสียงขึ้นเบาๆ
เซี่ยชิงเหยาคว้ากระโปรงผ้าป่านไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็ควบคุมสติอารมณ์หันไปมองปฏิกิริยาของเจียงซื่อ
“ป้าสะใภ้กับอาสะใภ้แปดล้วนบอกว่าหวังดีกับพี่ชายข้า พี่ชายกับข้าก็เลยลังเลใจ หากว่าที่พี่สะใภ้ทำพี่ชายข้าผิดหวัง จะทำอย่างไร”
เซี่ยชิงเหยาตั้งใจทำให้ป้าสะใภ้กับอาสะใภ้แปดลำบากใจแล้วหยุดปะทะกันชั่วคราว เพื่อหันมาสนใจนาง
หน้าโลงศพ เด็กสาวในชุดไว้ทุกข์ ฝืนยิ้มออกมา “ป้าสะใภ้กับอาสะใภ้แปด หากผู้ใดสามารถสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าตั้งใจทำเพื่อหวังดีต่อพี่ชายข้าจริงๆ พวกเราจะเชื่อและไปสู่ขอสตรีของจวนนั้น”
อาสะใภ้แปดรู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลกๆ จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “เด็กคนนี้นี่ เดิมการแต่งงานก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว จะให้สาบานอะไรกัน…”
เซี่ยชิงเหยาหันขวับไปพูดกับป้าสะใภ้ “ท่านป้าสะใภ้ เช่นนั้นข้าจะเลือกพี่รอง”
อาสะใภ้แปดได้ยินก็ร้อนใจ รีบยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วพูดขึ้น “ข้าสาบานว่า พวกเราหวังดีต่ออินโหลวจริงๆ ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว…”
ป้าสะใภ้คิดว่าคงเป็นเพราะเซี่ยชิงเหยาเสียทั้งพ่อและแม่ไปอย่างกะทันหันจึงยังไม่ได้สติ ทำอะไรจึงไร้สาระไม่มีเหตุผล ทว่าเป็นเพราะยังไม่ได้สตินี่แหละ เด็กคนนี้ถึงได้ทำอะไรก็ได้ และเพื่อไม่ให้อาสะใภ้แปดได้อะไรมาง่ายๆ จึงยกมือขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้
ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมาเถียงกับเด็กที่ไร้เหตุผลคนนี้ ควรแย่งการตำแหน่งตัวตั้งตัวตีในการจัดงานแต่งงานมาให้ได้ถึงจะถูก
ในความคิดของป้าสะใภ้คิดว่ามีเพียงแค่คนของทั้งสองตระกูลในเพิงเซ่นไหว้ศพที่รับรู้เรื่องนี้เท่านั้น ไม่ว่าจะเถียงกับอาสะใภ้แปดหรือสาบานตอนนี้จึงไม่ถือเป็นเรื่องน่าอาย
มีคนมากมายหลังจากพ่อกับแม่เสียพี่น้องก็แตกคอกัน คนเราน่ะ เมื่อเจอผลประโยชน์แล้วไม่แก่งแย่งนั่นคือคนโง่ รอลูกสาวของนางได้เป็นปั๋วฮูหยินเมื่อไหร่ คนอื่นก็จะเห็นเพียงแค่หน้าตาความสง่างามของลูกสาวนาง ใครจะยังสนใจเรื่องพวกนี้กัน
ขณะที่ทั้งสองยื้อแย่งกันสาบาน ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำขลับ เดิมเพิงเซ่นไหว้ศพที่สว่างจ้า ตอนนี้ราวกับมีก้อนสีดำขนาดมหึมาวางทับลงมา พลันมืดครึ้มลงทันที
ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องอันน่าสะพรึงกลัว มันดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนอยู่ใกล้หู ทั่วทั้งเพิงเซ่นไหว้ศพสั่นไหวไปตามๆ กัน
ป้าสะใภ้กับอาสะใภ้แปดกรีดร้องออกมาพร้อมกัน
ทั้งเพิงเซ่นไหว้มืดครึ้มไปหมด มีเพียงแค่เปลวไฟบนเทียนเล่มขาวส่ายไปมา บรรยากาศอึมครึมน่ากลัว
“พวกเจ้าทำเพื่อหวังดีกับเซี่ยอินโหลวจริงรึ” เสียงผู้หญิงดังขึ้นมาจากไหนไม่มีใครรู้
สายฟ้าฟาดตัดท้องฟ้า สะท้อนให้เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเซี่ยชิงเหยา
อาสะใภ้แปดขยี้ตา พลางก้าวถอยหลัง เหยียบโดนถังที่ใช้เผากระดาษเงินกระดาษทอง
เสียงร้องอันเจ็บปวดดังขึ้น อาสะใภ้แปดตกใจตาแข็งทื่อ ล้มลุกคลุกคลานวิ่งออกมา ทว่าจู่ๆ เด็กสาวที่อยู่ไม่ไกลจากนางนักก็เปลี่ยนกลายเป็นหย่งชังปั๋วฮูหยิน
“น้องสะใภ้แปด หากพูดปดจะโดนฟ้าจะผ่าเอานะ” หย่งชังปั๋วฮูหยินที่เลือดอาบท่วมตัวฉีกยิ้มออกมาอย่างน่ากลัวให้อาสะใภ้แปด แล้วเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว
“กรี้ดดด เจ้าอย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา!”
หย่งชังปั๋วฮูหยินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังอาสะใภ้แปดอย่างรวดเร็ว มือที่เย็นยะเยือกวางลงบนคอของนาง
ไม่นานอาสะใภ้แปดก็รู้สึกหายใจไม่ออก หน้าเขียวคล้ำไปหมด
“ใครใช้ให้เจ้าโกหก ใครใช้ให้เจ้าโกหก!” หย่งชังปั๋วฮูหยินแวบไปแวบมาแล้วพูดประโยคนี้ “หากพูดปดจะต้องถูกฟ้าผ่า”
เสียงดังกระหึ่ม สายฟ้าฟาดลงมาดังสนั่นหวั่นไหวราวกับระเบิดลงบนร่างของอาสะใภ้แปด อาสะใภ้แปดได้กลิ่นผมไหม้จางๆ
อาสะใภ้แปดสติหลุดทันที แล้วตะโกนร้องดังลั่น “ปล่อยข้าไปเถอะ ข้ามิกล้าแล้ว มิกล้าแล้วจริงๆ พวกเราคิดเพียงแค่ว่าไม่อยากให้ผลประโยชน์ตกไปเป็นของผู้อื่น จึงอยากให้เซี่ยอินโหลวมาสู่ขอหลานสาวจากตระกูลมารดาของข้า พอถึงตอนนั้นพวกข้าจะได้ดูแลจัดการทรัพย์สมบัติของจวนปั๋วได้ คนตระกูลเซี่ยกันเองทั้งนั้น จวนปั๋วมีทรัพย์สมบัติมากมายก็ควรจะแบ่งให้คนในตระกูลบ้างสิ….”
ในขณะเดียวกันป้าสะใภ้ก็กำลังพูดเรื่องคล้ายๆ กัน “หากพวกเราไม่ยกลูกสาวให้แต่งงาน คนพวกนั้นก็คงยกเรื่องการแต่งงานของเซี่ยอินโหลวมาใช้ประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อิ๋งเอ๋อร์เป็นน้องสาวของญาติสนิทเขา สินเดิมที่น้องทิ้งไว้จะมาให้ผู้อื่นแย่งชิงไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน”
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ หุบปากเดี๋ยวนี้” ท่านลุงของเซี่ยชิงเหยาวิ่งตรงเข้ามา ง้างมือตบฉาดเข้าที่ใบหน้าป้าสะใภ้ส่วนท่านอาแปดก็ยกเท้าขึ้นถีบอาสะใภ้แปดอย่างแรง “สตรีโง่ เจ้าเสียสติจนเป็นบ้าไปแล้วรึ”
ข้างนอกเพิงเซ่นไหว้ศพฝนตกหนักมาก ทว่าเวลานี้ท้องฟ้าเริ่มเปิด แสงสว่างเริ่มกลับมาอีกครั้ง
ภายในเพิงเซ่นไหว้ ผู้คนต่างทำหน้าเอือมระอา มองสตรีสองนางที่กำลังบ้าคลั่งด้วยสายตาเย็นชา
อาสะใภ้แปดกับป้าสะใภ้ที่ตัวสั่นงันงก ค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา
“ข้าเป็นอะไรไป” อาสะใภ้แปดยกมือขึ้นมาจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง พอจับโดนเส้นผมที่ไหม้ไปกระจุกหนึ่ง สีหน้าก็ซีดเผือด จากนั้นก็จำได้ลางๆ ว่าเมื่อครู่หลังจากที่เหยียบใส่ถังเผากระดาษเงินกระดาษทอง เปลวไฟได้ไหม้ผมที่ปล่อยสยายออกมา
“เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ ผีเข้ารึอย่างไร” ท่านอาแปดเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ
เสียงหัวเราะดังออกมา ใสกังวานเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวแรกรุ่น
เซี่ยชิงเหยามองผู้คนที่คิดไม่ซื่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ขณะที่กำลังดึงดูดสายตาของทุกคน จู่ๆ นางก็เอามือกุมหน้าร้องไห้โฮ “ที่แท้ป้าสะใภ้กับอาสะใภ้แปดล้วนไม่จริงใจกับพี่ชายข้า หากพี่ข้ารับปากพวกท่านไปจริงๆ ว่าจะแต่งงานภายในเจ็ดวัน ท่านพ่อกับท่านแม่คงนอนตายตาไม่หลับแน่…”
เด็กสาวมองพี่ชายด้วยความเศร้า “ท่านพี่ ท่านเห็นด้วยหรือไม่”
สายตาที่เซี่ยอินโหลวมองฝูงชนเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง “ข้าเห็นด้วย เช่นนั้นเรื่องที่จะแต่งงานในช่วงไว้ทุกข์ ขอท่านผู้อาวุโสทั้งหลายอย่าได้เอ่ยถึงอีก”