ตอนที่161 คุ้มค่าแล้ว

“คุณหนูเซีย แม้นในอดีตเราเคยมีเรื่องผิดใจกันอยู่บ้าง แต่หวังว่าจะไม่นำมาเก็บงำมาใส่ใจ”

เย่หลีเทียนกล่าวกับเซียถงโดยใช้น้ำเสียงที่เบามากเจียนจะกระซิบในตอนที่เขานำโอสถมาส่งคืนในมือของนาง

เห็นอีกฝ่ายกำลังเดินลาจากกลับไปยืนตำแหน่งเดิม รอยยิ้มเย้ยหยั่นยิ่งปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นบนใบหน้า จงใจกล่าวเสียงดัง ไล่หลังตอบกลับไปว่า

“อัครมหาเสนาบดีเย่ เรื่องผิดใจในอดีตทั้งหมดทั้งมวล ข้าคนนี้ย่อมไม่นำพามาใส่ใจ และในวันนี้เอง ท่านก็ตัดสินอย่างเป็นธรรมยิ่งแล้ว ส่งผลให้สามารถสะสางปัญหาคาใจระหว่างข้ากับองค์รัชทายาทได้ในท้ายที่สุด ในนามสาวน้อยคนหนึ่ง รู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง”

ทันทีที่สิ้นเสียงจางหาย นางก็เหลือบหางตาแลมอง พลางเห็นไป๋หลี่เย่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ปั้นหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดเกินพรรณนา สายตาคู่นั้นของเขาเคลื่อนมองไปยังทิศทางที่เย่หลีเทียนเดินจากไปยืนท่ามกลางฝูงชนอย่างไม่เข้าใจนัก ซึ่งประโยคเมื่อครู่ที่เซียถงเอ่ยกล่าวออกไป ใครฟังก็ย่อมทราบ มันมีไว้สำหรับไป๋หลี่เย่โดยเฉพาะ และสิ่งที่นางปรารถนาคือ การทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไป๋หลี่เย่กับเย่หลีเทียนสั่นคลอน

สีหน้าการแสดงออกของเย่หลีเทียนผันแปรไปหนึ่งส่วน มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจถึงเจตนายั่วยุของเซียถง? ทันทีทันใด คล้ายบังเกิดไอหมอกขึ้นในแววตาดูหม่นประกายเล็กน้อย เขากล่าวตอบนางกลับไปอย่างใจเย็นว่า

“ข้าเพียงตัดสินตามความจริง มิได้เจตนาช่วยเหลือใครเป็นพิเศษ คุณหนูเซียไม่จำต้องขอบคุณ”

หลังจากนั้น เขาก็ปิดปากเงียบเฝ้ามองอยู่ท่ามกลางฝูงชน ปล่อยให้ไป๋หลี่เย่และเซียถงจัดการสะสางปัญหากันต่อ

ไป๋หลี่หานลอบสังเกตการณ์อยู่ตรงฝูงชนชั้นนอก สองมือไพล่หลังพร้อมสายตาเหลียวแหลมที่หรี่แคบ เฝ้าจับจ้องทุกอากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของเย่หลีเทียนไม่มีคลายอ่อน ยิ่งได้ฟังคำกล่าวเหล่านั้นของเย่หลีเทียน เขาก็อดใจลอบยิ้มเย้ยเยาะบนมุมปากของตนมิได้

“องค์รัชทายาท ในเมื่อข้าเป็นฝ่ายชนะ เช่นนั้นก็คงถึงเวลาที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันก่อนหน้า เรื่องราวต่อจากนี้เป็นหน้าที่ของข้าจัดการดูแลโดยสมบูรณ์”

เซียถงใบหน้าเย็นชาค้างแข็งขึ้นกะทันหัน เสมือนเครื่องทำน้ำแข็งเคลื่อนที่ ไอเย็นยะเยือกไร้ขอบเขตพลันแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของนางในทันใด ในรัศมีสิบก้าว เสมือนถูกแช่แข็งทั้งเป็นในพริบตา

ฝูงชนที่ยืนรุมล้อมอยู่โดยรอบตัวนางรีบถอยห่างออกไปทันควัน ส่งสายตามองเซียถงเจือแววสยดสยองอยู่เต็มทั่วใบหน้า ภาพฉากดังกล่าวยิ่งทำให้ไป๋หลี่เย่รู้สึกหวาดกลัวขึ้นเป็นทวี พึงตระหนักดี ในยามนี้เขาเป็นฝ่ายพลาดท่าแก่นางแล้ว และหากถึงขั้นต้องปะทะต่อสู้กันจริงๆ เขาเองก็หาใช่คู่มือของอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย พอคิดได้ดังนั้น เขารีบยกเท้าก้าวสับฝ่าฝูงชนเตรียมหนีออกไปทันที

“องค์รัชทายาทจะไปไหนรึ?”

ประกายเงาพิสดารสีครามกระตุกวูบ ร่างของเซียถงหยุดลงต่อหน้าไป๋หลี่เย่ในเสี้ยวพริบตา ดวงตาฉายแววเย็นสะท้านชวนขนหัวลุก ราวกับกำลังจะสื่อว่า คิดจะหนีตอนนี้มันไม่สายเกินไปหน่อยรึ?

“เซียถง! จะ-เจ้า..เจ้า..เจ้าคิดจะทำอะไรกับองค์รัชทายาทผู้นี้!? ข้าคือองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิตงหลี่! หากเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายเล็บ เสด็จพ่อของข้าจะไม่มีทางละเว้นเจ้า!!”

ไป๋หลี่เย่แสร้งทำตัวสงบนิ่งไม่ไหวหวั่น ทว่าสีหน้าของเขาในขณะนี้กลับปราศจากเลือดหล่อเลี้ยง ซีดเซียวจนขาวเผือดไปหมดแล้ว

“ข้าต้องการให้เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้แก่โดยดี พร้อมไปขอโทษและชดใช้ทุกสิ่งอย่างที่ทำกับสาวใช้ของข้าคืน”

เซียถงเปล่งเสียงสะกดทีละคำอย่างเย็นชา แต่ก่อนที่จะกล่าวจบดี พลันได้ยินเสียงระเบิดพลังขุมใหญ่ ไป๋หลี่เย่รีดเร้นพลังทั้งหมดที่มีเร่งหมุนตัวกลับ และวิ่งฝ่าฝูงชนหนีตายออกไปด้วยความเร็วสูงสุด ซึ่งนางเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ มุมปากกระตุกยิ้มเยาะสบประมาททีหนึ่ง และพุ่งเข้าใส่ไป๋หลี่เย่ไล่ล่าติดตามไปทันที

“ปรมาจารย์เสวี่ย! ช่วยด้วย!”

หันไปมองหญิงสาวที่วิ่งไล่ตามมาติดๆ ไป๋หลี่เย่ร้องอุทานเสียงหลงด้วยความเสียขวัญสุดขีด

เสี้ยวพริบตาต่อมา ประกายเงาพิสดารสีม่วงไสวพวยพุ่งออกมาจากมุมหนึ่ง ในมือถือกระบี่เล่มยาวเข้าจู่โจมใส่เซียถงโดยตรง

ปฏิกิริยาของเซียถงเองก็ไวใช่ย่อย เร่งยกมือขวาร่ายตั้งรับ ทันใดนั้น กระบี่ทัณฑ์ฟ้าก็ปรากฏกายขึ้นในมือ แนวปราการป้องกันนวางกระบี่เป็นแนวนอน เข้าปะทะชนกับคมกระบี่ของปรมาจารย์เสวี่ยที่ฟันฉับลงมาเสียงโลหะประสานงาเสียงดัง ‘เกร๊ง’

“ปรมาจารย์เสวี่ย จัดการมัน!”

ปรมาจารย์เสวี่ยตรงเข้าขัดขวาง ปิดกั้นเส้นทางเบื้องหน้าไป๋หลี่เย่โดยไว

“ท่านยอดฝีมือ โปรดหลีกทาง มิฉะนั้นแล้วก็อย่าตำหนิว่าข้าไร้เมตตา!”

ปรมาจารย์เสวี่ยส่ายหัว

เมื่อได้เห็นทีท่าอันแน่วแน่ของอีกฝ่าย เซียถงพึงตระหนักได้ทันใดว่า คงไม่มีประโยชน์อันใดอีกแล้วที่ต้องพูดมากกว่านี้ เช่นนั้นนางจึงค่อยๆ กรอกเทกระแสพลังลมปราณขุมใหญ่ลงไปยังตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้า รัศมีความกระหายเลือดสีแดงฉานพลันเบ่งบานขึ้นจากส่วนลึกที่สุดในดวงตา

พบเห็นสีหน้าอันดุร้ายของหญิงสาวเบื้องหน้า ควบคู่ไปกับขุมพลังสุดแกร่งกล้าแห่งขอบเขตเสาหลักฟ้าที่โหมทะลักข้นคลั่กออกมาไม่หยุดหย่อนจากร่างอรชรเพรียวบาง สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งแก่ตัวปรมาจารย์เสวี่ย ใจหนึ่งรู้สึกสะเทือนขวัญแปลกๆ โดยเฉพาะกับสายตาคู่เย็นเยียบของนางที่ราวกับว่า จะเอาให้ตายกันไปข้าง

พินิจได้ดังนั้น ถึงกับกระชับจับกระบี่ในมือแน่นหนายิ่งขึ้นไปอีก และในที่สุด ก็เป็นฝ่ายของปรมาจารย์เสวี่ยเสียเอง ที่จู่ๆ ริเริ่มกล่าวเกลี้ยกล่อมเซียถงขึ้นว่า

“นี่เจ้าแน่ใจแล้วรึ? คิดจะสู้ตายเพียงเพื่อสาวรับใช้แค่คนเดียว?”

“คุ้มค่ายิ่งแล้ว!”

เซียถงก่นเสียงเย็นคำรามลั่นเป็นคำตอบ ปลายเท้าดีดเด้งถีบตัวขึ้นจากพื้นทะยานสู่ฟ้า ตวัดคมกระบี่ฝ่าห้วงอากาศฟันฟาดลงมา คลื่นกระบี่ประกายเยียบเย็นสะบั้นผ่าลงมาเป็นจันทร์เสี้ยว หวังพิฆาตปรมาจารย์เสวี่ยให้ตายในอึดใจ

ปรมาจารย์เสวี่ยตื่นตัวขึ้นฉับพลัน ฟันคมคลั่นกระบี่สวนกลับไปโดยไว สองรัศมีคมเขี้ยวกระบี่ปะทะชนกลางอากาศ กลิ่นอายสุดน่าสะพรึงขวัญเข้าปกคลุมร่างกายาของทั้งสอง พลังวิญญาณฟ้าดินสารทิศไหลเกลียวโคจรหมุนติ๋ว โดยมีทั้งสองเป็นจุดศูนย์กลางความโกลาหลทั้งหมด

ชั่วขณะที่สองกระบี่เข้าประหัตประหาร เซียถงพลันรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่ค้นพบว่า พลังความแข็งแกร่งของปรมาจารย์เสวี่ยในยามนี้ มิได้สูงเท่าก่อนหน้าที่เคยพบเจอ แต่ราวกับว่า ขีดจำกัดของอีกฝ่ายในตอนนี้หยุดอยู่แค่เพียงขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงเท่านั้น ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายน่าจะได้รับบาดเจ็บมาจากที่ไหนสักแห่ง ก่อนที่จะมาสู้ศึกสัประยุทธ์กับนาง เพราะขุมพลังความแกร่งกล้าของอีกฝ่ายคล้ายถูกลดทอนลงไปมาก…

อึดใจต่อมา นางอดนึกถึงมิได้ เกี่ยวกับศึกสัประยุทธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนระหว่างปรมาจารย์เสวี่ยและหยุนซี ถึงไม่ทราบว่าผลแพ้ชนะจะเป็นอย่างไร แต่จากเหตุการณ์นั้น น่าจะส่งผลกระทบจวบจนวันนี้มิใช่น้อย

เซียถงกวาดสายตามองย้อนกลับไปทางฝั่งฝูงชนโดยไว ท่ามกลางสายตาที่เร่าร้อนและสุ้มเสียงอุทานลือลั่นหลายหลาก ทันใดนั้นพลันสังเกตเห็นดวงตาสีดอกท้อคู่สวยอยู่ ณ มุมหนึ่งจากรอบนอกฝูงชนระยะไกล อีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลมอบให้แก่นางตรงนี้ ภายในใจรู้สึกเร่าร้อนขึ้นทันควัน เซียถงพยักหน้าตอบหยุนซี กระชับกระบี่ทัณฑ์ฟ้าให้แน่นขึ้น และกระหน่ำฟาดฟันอัดใส่ปรมาจารย์เสวี่ยอีกคราอย่างหนักหน่วง

เฝ้ามองฉากการต่อสู้ระหว่างเซียถงและปรมาจารย์เสวี่ย ผู้คนรอบข้างต่างรู้สึกใจเต้นสั่รระรัวไม่เป็นจังหวะ บางคนลืมตาโพล่งด้วยความตกตะลึงยิ่งยวด ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ผู้บำเพ็ญตบะขอบเขตเสาหลักฟ้าจะมีทุนรอนมากเพียงพอที่จะต่อกรกับยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงได้ถึงขนาดนี้! ซึ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำเอาพวกเขาไม่สามารถละสายตาออกมาได้เลยสักนิด

โดยเฉพาะกับไป๋หลี่เย่ที่ในเวลานี้ตกตะลึงสุดขีด ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง เซียถงสามารถรับมือยอดฝีมือแห่งขอบเขตราชันย์ม่วงได้อย่างไรกัน? นี่มัน…เป็นไปได้ยังไง?! เขาถึงกับยกมือขึ้นมขยี้ตาอย่างแรงหลายที ทว่ากลับต้องผิดหวัง เพราะภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็นความจริงหาใช่ความฝัน

ไป๋หลี่หานและเย่หลีเทียน หรือแม้กระทั่งคณอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่เฝ้ามองเหตุการณ์ดังกล่าว ย่อมมองผ่านอ่านสถานการณ์ออกโดยธรรมชาติ เซียถงที่มีระดับพลังอยู่เพียงขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นกลาง แต่กลับสามารถสัประยุทธ์กับปรมาจารย์เสวี่ยผู้เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงได้อย่างสูสี ทั้งหมดมันเป็นเพราะสภาพร่างกายของปรมาจารย์เสวี่ยที่ไม่สมบูรณ์เป็นทุนเดิม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมาจากกระบี่ที่นางถืออยู่

ถึงแม้ระดับพลังลมปราณของเซียถงจะไม่ได้สูงเทียบเทียมปรมาจารย์เสวี่ย ทว่ากระบี่ในมือของนางกลับมีศักยภาพเหนือกว่ากระบี่ของปรมาจารย์เสวี่ยหลายช่วงตัว หากวัดกันแค่ตัวกระบี่ สิ่งนี้ได้สร้างความได้เปรียบแก่นางค่อนข้างเยอะ

เย่หลีเทียนเหล่ตาพินิจมองกระบี่ในมือของเซียถง คล้ายกับว่าเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยเห็นจากที่ไหนสักแห่งหนหนึ่ง ทันใดนั้นเอง เขาก็หวนนึกไปถึงกระบี่ที่ถูกผนึกอยู่ในบ่อน้ำตกพิสุทธิ์ในถ้ำป่าสน? แต่ตอนที่เขาเห็น กระบี่เล่มนั้นมันเคยเปล่งประกายเป็นสีเขียว แตกต่างจากกระบี่เล่มที่นางถืออยู่ซึ่งเป็นสีแดง ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวปฏิเสธความคิดนี้ทิ้งไปทันที

“ปรมาจารย์เสวี่ย! หากเจ้าฆ่านางทิ้งได้ ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าเป็นเงินหนึ่งแสนเหรียญทอง!”

คล้อยหลังที่ตื่นจากภวังค์ความตะลึงงัน ไป๋หลี่เย่ก็คล้ายจะสังเกตเห็นถึง ความลับที่เซียถงสามารถต่อกรกับอีกฝ่ายได้แล้วเช่นกัน เขาจับจ้องกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือของเซียถงตาเป็นมัน ภายในใจบังเกิดความโลภขึ้นทันใด พร้อมเปล่งเสียงดังตะโกนลั่น หวังปลุกกระตุ้นให้ปรมาจารย์เสวี่ยมีแรงจูงใจในการสังหารนางทิ้งเพิ่มมากขึ้น

เพราะหากเซียถงตายไป กระบี่เล่มนั้นจะตกมาเป็นของเขาทันที!