ตอนที่ 171

The simple life of the emperor

เช้าวันต่อมาเทียนหลางตื่นขึ้นด้วยงัวเงียเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น หลังจากตื่นได้ไม่นานเทียนหลางก็เข้าครัวเพื่อทำอาหารเช้าไว้สำหรับเฟิงหยวน

เมื่อเฟิงหยวนตื่นขึ้นมาก็พบกับอาหารเช้าที่พึ่งทำเสร็จ เธอลงจากเตียงมาอย่างเชื่องช้าด้วยท่าทีขี้เกียจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าการมาอยู่ที่โลกจะทำให้เฟิงหยวนเริ่มกลายเป็นคนขี้เกียจ
ในระหว่างที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่นั้นเฟิงหยวนก็ได้ถามขึ้นมาว่า
“หนูเมื่อคืนกำจัดไปหรือยัง ?”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า เฟิงหยวนจึงถามต่ออีกว่า
“แล้วเป็นยังไงบ้าง ?”
เทียนหลางลูบแก้มตัวเองเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับว่า
“ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นหนูของพวกตระกูลหยูอะนะ แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมได้ฝากของขวัญเล็กๆน้อยๆไปให้พวกนั้นแล้ว”
เทียนหลางพูดออกมาแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม เฟิงหยวนก็ทำได้แต่พยักหน้าเท่านั้น เพราะเธอเชื่อใจในการตัดสินใจของเขาจึงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
ในขณะเดียวกันนั้นเองที่บ้านหลักของตระกูลหยูก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ถึงขั้นเกิดการเรียกประชุมผู้อาวุโสของตระกูลกันเลยทีเดียว แน่นอนว่าเรื่องนั้นต้องเกี่ยวกับพวกหนูเมื่อคืนอย่างแน่นอน
“แกแน่ใจงั้นเหรอในเรื่องนี้ ?”
ชายชราชุดเขียวกล่าวถามกับชายชราชุดดำที่กำลังยืนอยู่กลางห้องโถงซึ่งเขาก็คือ ชายชราเจ้าของบ้านสาขาที่หายไปนั่นเอง
ชายชราชุดดำพยักหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดขึ้นด้วยอาการตื่นตระหนกว่า
“ข้าแน่ใจถึงที่สุด นายท่านการกระทำแบบนั้นแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ยังทำไม่ได้เลย ข้าว่าลูกหลานของตระกูลฉวีจะต้องรู้จักกับผู้เชี่ยวชาญระดับชะตาฟ้าอย่างแน่นอน”
“ผู้เชี่ยวชาญระดับชะตาฟ้าอย่างงั้นเหรอ…”
ชายชราเขียวกล่าวอย่างเงียบๆพร้อมกับครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันไปถามกับชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเขา
“เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง ?”
ชายวัยกลางคนได้ยินแบบนั้นก็หันมาพูดว่า
“ผมได้สั่งให้คนไปดูในที่เกิดเหตุแล้ว เป็นอย่างที่เขากล่าวจริงๆ ทุกอย่างในบริเวณนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับมันไม่เคยมีอะไรอยู่ตรงนั้น เกรงว่าคนที่ทำแบบนั้นอาจจะอยู่ในระดับชะตาฟ้าจริงๆ”
ชายชราได้รับการยืนยันแบบนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาทันทีก่อนจะหันไปมองหน้าทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถงพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยความยากลำบากว่า
“เราคงจะต้องถอนตัวจากเรื่องนี้อย่างแท้จริง พวกเราไม่อาจไปยั่วยุผู้ที่อยู่ระดับชะตาฟ้าได้ ไม่งั้นตระกูลของเขาอาจล่มสลายได้”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยกับชายชราชุดเขียว การประชุมนี้ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็วโดยแท้จริง ไม่มีใครคัดค้านการกระทำของชายชราเลยแม้แต่คนเดียวและถึงว่ามันจะมีแต่ใครจะกล้ากันล่ะ ?
จากนั้นตระกูลหยูก็ได้ถอนตัวจากเรื่องนี้อย่างเงียบๆโดยไม่บอกให้ใครได้รู้ แต่ถึงอย่างงั้นข่าวการถอนตัวนี้ก็ยังเล็ดลอดออกมาอยู่ดี
การต่อสู้ระหว่างตระกูลหาน ตระกูลเสี่ยว และตระกูลฉวีนั้นแม้จะไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตจนกลายเป็นข่าว
แต่แทบทุกตระกูลในเมืองหลวงนั้นต่างก็รู้เรื่องนี้
และการเข้ามาแทรกกลางของตระกูลหยูก็ด้วยเช่นกัน พวกเขาต่างคิดว่าอีกไม่นานตระกูลฉวีก็จะล่มสลายเพราะไม่อาจทนรับการโจมตีของสามตระกูลได้
แต่ไม่คิดว่าตระกูลหยูซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในตระกูลโบราณที่ทรงอิทธิพลจู่ๆพวกเขาก็ได้ถอนตัวออกจาเรื่องนี้ไปเสียเฉยๆ ทั้งที่อีกไม่นานพวกเขาก็จะโค้นล้มตระกูลฉวีได้สำเร็จแล้วแท้ๆ
ทุกคนต่างสับสนกับการกระทำของตระกูลหยู แน่นอนว่าคนที่สับสนกับเรื่องนี้ที่สุดก็ไม่พ้นตระกูลหานและตระกูลเสี่ยวที่มั่นใจเป็นอย่างมากว่าพวกจะชนะหลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหยู
พวกเขากำลังจะได้กินก้อนเค้กชิ้นใหญ่ แต่จู่ๆมันก็อันตรธานหายไปเสียอย่างงั้น ทั้งสองตระกูลเสียสูญเล็กน้อยแต่ถึงอย่างงั้นพวกเขาก็ยังมั่นใจในชนะของพวกเขา
แต่ความมั่นใจนั้นก็อยู่ได้เพียงไม่นาน เมื่อในช่วงบ่ายของสองวันต่อมาก็ได้มีข่าวว่าตระกูลเสวียจะร่วมมือกับตระกูลฉวี
ตระกูลหานและตระกูลเสี่ยวได้ยินข่าวนี้ก็ถึงกับตกตะลึงและเริ่มที่จะตื่นตระหนก ความมั่นใจของเขาหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับข่าวนี้
ตระกูลเสวียเป็นหนึ่งในตระกูลโบราณซึ่งถูกนับว่าเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งอย่างมากแม้ในหมู่ตระกูลโบราณด้วยกันพวกเขามีเส้นสายมากมายทั้งในและนอกประเทศ แถมพวกเขายังขึ้นชื่อในเรื่องการทำลายตระกูลที่กล้ามีเรื่องกับพวกเขาอีกด้วย
นั่นทำให้แม้แต่ภายในหมู่ตระกูลโบราณด้วยกันเองก็ยังไม่มีใครที่อยากจะมีปัญหากับตระกูลเสวียหากไม่จำเป็น ดูเหมือนว่าตอนนี้ตระกูลฉวีจะหนีพ้นการล่มสลายแล้วได้ และยังได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งอีกด้วยเรื่องนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่าชนชั้นสูงภายในเมืองหลวงไม่น้อยเลยทีเดียว
กลับมาที่สองตระกูลตัวต้นเหตุอย่างตระกูลหานและตระกูลเสี่ยว ในตอนนี้พวกเขาเริ่มที่จะคิดหาทางหนีจากเรื่องนี้ แต่ด้วยการกระทำก่อนหน้าของพวกเขานั้นทำให้ยากที่จะหลบหนีจากเรื่องนี้ได้
ในตอนนี้ทั้งสองตระกูลกำลังอยู่ในภาวะที่ยากจะเคลื่อนไหว การกระทำของตระกูลเสวียนั้นได้ผลอย่างแท้จริง ภายในไม่กี่วันธุรกิจทั้งหมดของทั้งสองตระกูลถูกโจมตีอย่างรุนแรง
ทำให้ทั้งสองตระกูลสูญเสียไปไม่ต่ำกว่าสามพันล้านหยวน การเงินของตระกูลหานและตระกูลเสี่ยวถึงกับหยุดชะงักในชั่วข้ามคืน การสูญเสียไม่อาจประเมินได้ทำให้ทั้งสองตระกูลถอนตัวจากสงครามนี้ไปอย่างรวดเร็ว
อำนาจของตระกูลเสวียนั้นเป็นอะไรที่น่าหวั่นเกรงอย่างแท้จริง เพียงไม่กี่วันพวกเขาก็สามารถกำจัดตระกูลหานและตระกูลเสี่ยวลงได้อย่างราบคาบ เรียกได้ว่าเกือบทำให้ทั้งสองตระกูลนั้นล่มสลาย
เทียนหลางที่กำลังอยู่ในคลาสเรียน ได้รับข่าวนี้จากคุณยายของเขาก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เธอยังกล่าวขอบคุณมาอีกด้วยที่ได้ช่วยเหลือในการติดต่อตระกูลเสวียให้
ในตอนแรกเทียนหลางคิดว่าคุณนายเสวียจะเพียงแค่ช่วยประคับประคองตระกูลฉวีให้รอดพ้นวิกฤตเท่านั้น
แต่เขาไม่คิดเลยว่าคุณนายเสวียจะเกือบทำลายทั้งสองตระกูลทิ้งไปแบบนั้น
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับคิดว่าเขาคงจะต้องไปขอบคุณคุณนายตงเสวียอย่างจริงใจสักครั้งหนึ่งแล้ว