“เมืองเฉียนซาน!”โจจู๋ ได้ตอบกลับ

“เมืองเฉียนซาน?”

ดวงตาของลู่เฟิงขยับเล็กน้อยวันนี้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับดินแดนทางตอนเหนือของอาณาจักรซีหยางและรู้จักเมืองเฉียนซาน

เมืองเฉียนซานเป็นเมืองที่ตั้งอยู่เบื้องหลังเมืองหนานกวง ทั้งยังเป็นสถานที่อันตรายทางตอนเหนือของอาณาจักรซีหยางเนื่องจากมีภูเขาอยู่ทั้งทางด้านซ้ายและขวาซึ่งมันป้องกันได้ง่ายและยากต่อการโจมตี

ถ้าจะบอกว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดทางตอนเหนือของอาณาจักรซีหยางก็ไม่พ้นเมืองเฉียนซานแห่งนี้

“ถูกต้อง เป็นเมืองเฉียนซาน!”

โจจู๋ ได้พยักหน้า”ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เป้าหมายของเราก็คือเมืองเฉียนซานแห่งนี้!”

ลู่เฟิง ครุ่นคิดเล็กน้อยและมองไปที่ โจจู๋ ด้วยรอยยิ้ม”อาวุโสหยวนฟาง ช่างมากความสามารถ แต่ทว่า ข้ายังคงจำเป็นจะต้องใช้กองกำลังจำนวนมากในการยึดครองเมืองเฉียนซาน ถ้าเกิดสามารถเอาชนะเมืองเฉียนซานได้เรื่องการขนส่งม้าศึกจำนวนมากเหล่านี้ก็คงจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป”

โจจู๋ ได้ยิ้มตอบกลับ”ชายแก่คนนี้ เพียงแค่เดินทางผ่านมา และ บังเอิญพบสถานที่แห่งนั้นก็เท่านั้น ไม่ได้มากความสามารถอะไร!”

“ยังไงก็ขอบคุณ!”

ลู่เฟิง พยักหน้าตอบกลับ”เกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องรบกวนอาวุโสหยวนฟางช่วยเหลือแล้ว!”

“เข้าใจแล้วพะยะค่ะ!”

ลู่เฟิง ไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาปล่อยให้ ลิโป้ อยู่ที่นี่ และ จากไปพร้อมกับ โจจู๋

ลิโป้ ไม่ได้มีกองทัพติดตัวมามากมาย เขาเพียงเดินทางมาพร้อมกับกองทัพลำเลียงม้าศึกเพียงเท่านั้น

ลู่เฟิง ได้กลับไปยังเมืองโฮวฉิว ด้านนอกเมืองโฮวฉิวเต็มไปด้วยเปลวเพลิงลุกไหม้

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป!

หลังจาก ชูหยี ถูกฆ่าตาย ยังคงมีแม่ทัพที่ภักดีอยู่มากภายใต้เงื้อมมือของเขาที่คิดต่อสู้จนตัวตาย

แต่ถึงอย่างนั้นปราการหน้าเมืองโฮวฉิวก็ไม่สามารถต้านศึกไว้ได้นาน

สำหรับ ลู่เฟิง และ โจจู๋ ที่แข็งแกร่งนั้นพวกเขาใช้เวลาไม่นานในการผ่านเข้าไปยังใจกลางกองทัพหน้าเมืองโฮวฉิว

พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยซากศพสีแดงฉาน

มันเป็นแอ่งโลหิตขนาดใหญ่

จำนวนผู้เสียชีวิตมีมากกว่าสองล้านคนในสถานที่แห่งนี้

ลู่เฟิง พา โจจู๋ กลับไปที่ค่ายของเมิ่งเถียน ที่ตอนนี้เหลือแต่ เจี๋ยสวี่

“ถวายบังคมฝ่าบาท!”

เมื่อ เจี๋ยสวี่ เห็น ลู่เฟิง กลับมาเขาก็รู้สึกโล่งใจ

ลู่เฟิงได้ยกมือขึ้นและตอบกลับ”เหวินเหอ ไม่จำเป็นต้องสุภาพ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

ลู่เฟิงมองไปรอบ ๆ และกล่าวถาม”เหวินเหอ บอกข้ามาเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของสนามรบตอนนี้”

“ฝ่าบาท กองทัพของอาณาจักรซีหยางได้พ่ายแพ้ไปแล้ว ในปัจจุบัน เหลือเพียงหนึ่งหรือสองกองกำลังเพียงเท่านั้น ตอนนี้ แม่ทัพเมิ่งเถียน ได้นำกองทัพส่วนตัวบุกโจมตี คาดว่าภายในสองชั่วโมงน่าจะประกาศชัยชนะของศึกครั้งนี้ได้!”เจี๋ยสวี่ ได้ตอบกลับ

ลู่เฟิงได้พยักหน้าเล็กน้อย”ดีมาก!”

หลังจากหยุดชั่วครู่เขาก็มองไปที่ผู้พิทักษ์เงาที่อยู่ข้าง ๆ “เจ้าติดตามอาวุโสหยวนฟางไปที่ด้านหลังเมืองโฮวฉิวและไปรับคำสั่งจากแม่ทัพลิโป้”

“ขอรับ!”

เจี๋ยสวี่ ผงะไปเล็กน้อยและกล่าวถาม”ฝ่าบาท เฟิงเชี่ยน ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือพะยะค่ะ?”

“เขากลับมาจากการซื้อม้าศึกตอนนี้ถูกปิดกั้นอยู่บนที่ราบสูงบนภูเขาด้านหลังเมืองโฮวฉิว เขาจำเป็นจะต้องได้รับการเปิดทางเพื่อนำม้าศึก 100,000 ตัวกลับมา”ลู่เฟิงตอบกลับ

เจี๋ยสวี่ รู้สึกดีใจทันที”ด้วยม้าศึก 100,000 ตัวนี้ เราสามารถสร้างทหารม้าได้อีกนับแสนคน จนถึงตอนนั้นแม้จะบุกรุกประเทศโดยรอบก็คงจะง่ายดายมากขึ้นเป็นแน่!”

ลู่เฟิง เองก็พยักหน้า”ดังนั้นข้าจึงจำเป็นจะต้องให้กองทัพเงาไปช่วยเปิดเส้นทางก่อน”

หลังจากพูดจบเขาก็มองไปที่ โจจู๋”อาวุโสหยวนฟาง ข้าหวังว่าท่านจะช่วยแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด”

“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ข้าน้อยจะช่วยเหลือแม่ทัพลิโป้อย่างสุดความสามารถ!”

ลู่เฟิง ไม่ได้พูดอะไร เขาให้กองทัพเงาติดตาม โจจู๋ ออกไปทันที

หลังจากนั้น เขาก็ยืนอยู่บนรถม้าสูงของกองทัพมองไปที่เปลวเพลิงด้านหน้าสนามรบที่ยังไม่มอดดับ เขาได้กล่าวถาม เจี๋ยสวี่”เหวินเหอ เจ้าคิดว่าเราจะสูญเสียกองกำลังไปมากน้อยแค่ไหนกับศึกครั้งนี้?”
เจี๋ยสวี่ ได้ครุ่นคิดและตอบกลับ”คาดว่าฝ่ายเราน่าจะเสียหายประมาณ 500,000 คน ในขณะที่กองทัพของอาณาจักรซีหยางคงต้องมากกว่า 700,000 คน”

“เป็นจำนวนที่สาหัสทีเดียว!”ลู่เฟิง ถอนหายใจออกมา

เจี๋ยสวี่ มองไปที่ ลู่เฟิง และดูเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ!”

ลู่เฟิงยิ้มออกมา

“ฝ่าบาท เช่นนั้นโปรดยกโทษให้กับการเสียมารยาทของข้าด้วย”

เจี๋ยสวี่ ได้หยุดไปชั่วครู่และกล่าวถาม”ฝ่าบาท ข้าน้อยรู้สึกสงสัยทำไมเหตุใดพระองค์ถึงยืนกรานที่จะต่อสู้ศึกกับกองทัพอาณาจักรซีหยางเร็วเพียงนี้ กองทัพของอีกฝ่าย ยังคงมีจิตวิญญาณต่อสู้เหลือล้นทั้งฝ่ายเรายังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ข้าน้อยต้องการกล่าวถามพระองค์”

ลู่เฟิง ยิ้มออกมา”ในเมื่อเจ้าสงสัยข้าก็จะตอบให้”

“มีสองเหตุผลที่ข้ายืนยันที่จะโจมตีพวกอาณาจักรซีหยางตอนนี้ หนึ่งคือ ข้ามีชุดเกราะพยัคฆ์ดำ สมบัติป้องกันที่สามารถเพิกเฉยการโจมตีจากลูกศรพลังปราณได้ ด้วยพลังระดับ 8 ขั้นเชื่อมจิตวิญญาณของข้า ข้าสามารถบุกเดี่ยวนำทัพทหารม้า 50,000 นายทำลายปีกซ้ายของศัตรูและสร้างโอกาสให้ปีกขวาของเรา บวกกับความเข้าใจในรูปแบบทางทหารของเมิ่งเถียน เราย่อมสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ส่วนเหตุผลที่สอง…”

ลู่เฟิง หันหน้าไปมอง เจี๋ยสวี่ด้วยรอยยิ้ม”เหวินเหอ เจ้าคงไม่ได้ลืมข่าวที่เจ้าให้ข้าก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?”

“ข่าวที่ข้าแจ้งต่อฝ่าบาทก่อนหน้านี้?”

เจี๋ยสวี่ ได้คร่ำครวญทันใดนั้นเขาก็ฉุดคิดขึ้นได้”ฝ่าบาทกำลังหมายถึงเรื่องที่อาณาจักรซีหยางซื้อม้าจากพวกคนเถื่อนทางตอนเหนือมากกว่า 150,000 ตัวนั่น?”

ลู่เฟิง พยักหน้า”เวลาที่ ชูหยี ซื้อม้าศึกเหล่านั้นยังสั้นนัก มันไม่เพียงพอที่จะฝึกทหารม้าให้มีประสิทธิภาพในการรบทั้งยังไม่สามารถเข้าร่วมการรบ วันนี้ ชูหยี ไม่มีทหารม้า ดังนั้นข้าจึงได้อาสานำทัททหารม้าบุกโจมตีและสกัดกั้นลูกศรพลังปราณเหล่านั้น”

“สำหรับอีกฝ่าย ที่น่าเเปลกใจก็คือพวกมันคงไม่คิดว่าข้ามีสมบัติป้องกันลูกศรพลังปราณได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงเอาชนะศึกกองทัพของอาณาจักรซีหยางได้ภายในวันเดียว หากรอจนถึงฤดูใบไม้ผลิหน้า กองทัพของอาณาจักรซีหยางจะมีทหารม้ามากกว่า 150,000 นาย แล้วเจ้าคิดว่าเราจะสามารถเอาชนะได้ง่าย ๆ หรือไม่?”

“หากเป็นอย่างนั้นตอนที่เราเปิดฉากโจมตีซึ่งกันและกันและอาณาจักรซีหยางได้ส่งทหารม้า 150,000 นายมา แม้ว่ากองทัพของเมิ่งเถียน จะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถหยุดทหารม้า 150,000 นายได้ ดังนั้น การจัดการกองทัพของชูหยี ในตอนนี้ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”

เจี๋ยสวี่ ได้ยินดังนั้นก็ก้มกราบลงบนพื้นทันที”พระปรีชาของท่านช่างลึกล้ำยิ่งนัก!”

“เหวินเหอ การถ่อมตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่การเจียมตัวของเจ้าไม่ใช่เรื่องที่ดีแม้แต่น้อย”

ลู่เฟิงยิ้มและตอบกลับ”ครั้งนี้ เป็นเพราะเจ้าคาดหวังกลยุทธ์มากเกินไปบางทีกลยุทธ์ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามกาลเวลาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถเป็นไปตามที่เราคิดได้ทั้งหมดหรอกนะ…”