ตอนที่ 103 การต่อสู้ครั้งแรกระหว่างการทำลายล้างสำนักเทพทะเล

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

หลี่ฉางโซ่วเพียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นการลอบพบกันลับๆ ของผู้อาวุโสกั๋ว และปีศาจอีกา

เพราะเขารู้มาตั้งแต่ชาติก่อนแล้วว่า สิ่งที่ซับซ้อนที่สุดเป็นอันดับสองของโลกนี้คือ หัวใจมนุษย์

แต่มันย่อมไม่สมเหตุสมผลที่จะบอกว่าร่างที่ปรากฏขึ้นกลางดึกนั้นเป็น ‘ปีศาจอีกา’

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วเพียงใช้ใยแมงมุมสองตาและพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาเพื่อสังเกตสถานที่นั้นจากระยะไกล

นอกจากจะรู้ว่า ‘สิ่งนั้น’ อยู่ในขอบเขตพลังเซียนเสิ่นระดับต้นแล้ว เขาก็ยังไม่อาจตัดสินได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้บำเพ็ญปีศาจหรือไม่

อาจเป็นไปได้ว่าอีกาในตอนนี้เป็นเพียงภาพลวงตาและเป็นวิธีการเปลี่ยนรูปประเภทหนึ่ง

ผู้อาวุโสกั๋วก้มศีรษะลงและรายงานอยู่ครู่หนึ่งในขณะที่ร่างนั้นพยักหน้าอย่างรวดเร็วแล้วโยนเหรียญทองสองเหรียญและกระดาษยันต์ลงไปบนพื้น จากนั้นก็กลายร่างเป็นอีกาอีกครั้ง และบินจากไปเงียบ ๆ แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา…

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอย่างรอบคอบอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อความปลอดภัยของเขาแล้ว เขาจึงไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ต่อ

หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วยาม หลี่ฉางโซ่วก็ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายหนีออกจากป่าที่อยู่ห่างออกไปนับร้อยลี้และแอบไปที่ใต้ดินของวิหารแห่งนั้นเงียบๆ

หากมองจากอีกมุมมองหนึ่ง ‘น่าตื่นตกใจ ในยามราตรี ท่านเทพแห่งท้องทะเลแอบย่องเข้าไปในวิหารของเขาและยื่นมือเข้าไปยุ่งกับนักพรตของวิหาร!’ ช่างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นระทึกใจนัก

เขายังต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่า อีกฝ่ายหนึ่งจะเผยตัวให้เขาเห็นเพื่อจงใจหลอกล่อเขาให้เข้าไปติดกับดัก ดังนั้น ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วจึงระมัดระวังการกระทำของเขาเป็นอย่างยิ่ง

เขาไม่ได้ปรากฏตัวโดยตรง แต่อยู่ใต้ดิน และใช้เล็บเพื่อโปรยผงสลายพลังเซียนบนพื้นเบาๆ และทำให้ผู้อาวุโสกั๋วที่กำลังหลับใหล หลับสนิทขณะที่ถือเหรียญทอง และจากนั้นเขาก็หมดสติไป

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ทำพิธีกรรมด้วยเชือกที่บางพอๆ กับเส้นผมออกมา

เชือกนั้นยืดออกไปเองและคืบคลานออกมาจากพื้นอย่างเงียบๆ ก่อนจะเข้าพันรอบหน้าผากของผู้อาวุโสกั๋ว

ทักษะการค้นหาวิญญาณ กลยุทธ์ฝันหมอก

วิธีนี้อาจทำให้ผู้ถูกร่ายเวท ตกสู่ความฝันและเปิดเผยความทรงจำของเขาในความฝันอย่างเต็มที่ แต่ข้อเสียคือใช้ได้เฉพาะกับผู้ที่มีขอบเขตพลังด้อยกว่าเท่านั้น จึงเรียกได้ว่าเป็นวิธีย่อย

หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฉางโซ่วก็อ่านเรื่องราว ‘ชีวิตแสนลำเค็ญ’ ของผู้อาวุโสกั๋วจบ เขาก็ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเพื่อแอบหนีไปเงียบๆ โดยไม่อยู่ที่นี่นานมากเกินไป

ในเวลาเดียวกัน ยังมีอีกอย่างก่อนจะจากไปคือ เขาไม่ลืมที่จะโยนยาแก้เมาค้างออกไปให้สักเล็กน้อยซึ่งจะส่งผลให้พลังของผงสลายพลังเซียนเป็นกลางเพื่อให้ผู้อาวุโสกั๋วตื่นขึ้นตามปกติในวันพรุ่งนี้…

เวลานี้เขาเดินทางเงียบๆ อย่างไร้ร่องรอย

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ค้นพบป่าภูเขารกร้างแห้งแล้งและทำให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์หยุดเคลื่อนไหวใต้ดินก่อนจะเริ่มแยกแยะข้อมูลมากมายที่ได้รับมาจากผู้อาวุโสกั๋ว

ผู้อาวุโสกั๋วผู้นี้…

ภายนอก เขาเป็นคนที่รับผิดชอบจุดธูปที่วิหารสำนักเทพทะเล ทว่าความจริงแล้ว เขาเป็นคนของทั้งเจ็ดสำนักที่อยู่ภายในระยะสามพันลี้ เช่น ‘สำนักเทพอีกา’ ‘สำนักบุรุษสตรี’ ‘สำนักเทพโบราณ’ ‘สำนักเพชฌฆาตใหญ่’ และอื่นๆ

หลี่ฉางโซ่ว เทพแห่งท้องทะเล รู้สึกว่า…ช่างน่าประทับใจยิ่งกับคนทรยศอย่างเขา

หากมีคนทรยศเช่นผู้อาวุโสกั๋วมากขึ้นกว่านี้ เช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วยังต้องพยายามอย่างหนักเพื่อทำลายสำนักของเขาเองอีกหรือไม่

อีกาในตอนนี้คือทูตเทวะแห่งสำนักเทพอีกาซึ่งสั่งให้ผู้อาวุโสกั๋วเฝ้าตรวจสอบติดตาม ‘คนแปลกหน้า’ ที่มาปรากฏขึ้นที่นี่…

ความขัดแย้งระหว่างสำนักที่หลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้ก่อนหน้านี้คือ สำนักเทพอีกาและสำนักเทพทะเลกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงเครื่องสักการะและอาณาเขตโดยสำนักเทพอีกาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน

หลี่ฉางโซ่วต้องคิดพิจารณาถึงปัญหาที่ร้ายแรงมาก

แกนหลักของสำนักเทพทะเลทั้งหมดคือ ชาวบ้านในหมู่บ้านสง ซึ่งเต็มไปด้วยทูตเทวะและมีชาวบ้านที่แข็งแกร่งหลายร้อยคนกำลังวิ่งไปรอบๆ

พวกเขาใช้ทะเลเพื่อแสดงความดีงามของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ใช้กล้ามเนื้อเพื่อส่งเสริมหลักคำสอนของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล และใช้หมัดของพวกเขาเพื่อแสดงพลังของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล…

หลี่ฉางโซ่วไม่เคยสนใจสถานที่นั้นมาก่อน เขาไม่เคยปรากฏในความฝันของผู้ใดหรือเป็นผู้เผยแผ่ให้หลักคำสอนใดๆ มาก่อน

ชาวบ้านในหมู่บ้านสงเหล่านี้ อาศัยสิ่งใดไปต่อสู้กับสำนักเหล่านี้ที่มีทูตเทวะเซียนเสิ่น

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกมึนงงสับสนในเรื่องนี้ และอดสงสัยไม่ได้ว่ามีคนต้องการทำให้ท่านเทพแห่งท้องทะเลยิ่งใหญ่มากขึ้นก่อนที่จะฆ่าเขา!

ผู้อาวุโสกั๋วรู้ข้อมูลภายในของสำนักเทพทะเลมากมาย

แม้ผู้อาวุโสกั๋วจะเป็นเพียงคนหนึ่งที่ดูแลการจุดธูปที่วิหารและรับงานนอกเวลาถึงเจ็ดงาน แต่เขาก็ยังมีความทะเยอทะยานที่จะปีนป่ายไปถึงระดับสูงจนกลายเป็นทูตเทวะ!

ในเรื่องนี้…หลี่ฉางโซ่วอยากแสดงจิตวิญญาณของเขาสักครั้ง และเริ่มส่งเสริมผู้อาวุโสกั๋วผู้นี้ ทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ช่วยให้ทำลายสำนักเทพทะเลได้ง่ายขึ้น

แค่กๆ นี่ไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไปแล้ว

หลี่ฉางโซ่วมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อจะปล่อยให้สำนักเทพทะเลล่มสลายไปตามธรรมชาติ เขาต้องการกำจัดกรรมนั้นและกวาดล้างอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่นี้

กระบวนการนี้ไม่อาจก่อให้เกิดสงครามระหว่างสำนักในโลกมนุษย์ได้ เขาไม่สามารถสร้างกรรมร้ายและยังต้องหลีกเลี่ยงการบรรลุผลตรงกันข้ามที่จะทำให้สำนักเทพทะเลเติบโตต่อไปอีก

ก่อนมาถึงที่นี่ หลี่ฉางโซ่วก็ได้คิดแผนการเอาไว้หลายอย่างแล้ว

และวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือ การคิดหาวิธีที่จะทำให้เทพทะเลทักษิณพ่ายแพ้ ‘รัศมีแห่งเทพ’ ของเขา

นั่นจะทำให้ผู้แสวงบุญมนุษย์เหล่านี้รู้สึกว่าพวกเขาศรัทธาเทพที่ผิด

เขาจะทุ่มสุดตัวเลย!

ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วได้เรียนรู้ว่า อีกเพียงสามวันต่อมา จะมีพิธีการเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งท้องทะเลอย่างยิ่งใหญ่ใน ‘เมืองอันสุ่ย’

เนื่องจากผู้อาวุโสกั๋วมีหน้าที่เผาเครื่องหอมที่วิหารซึ่งอยู่ค่อนข้างไกล เขาจึงไปงานในคราวนี้ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลที่ได้รับจากผู้อาวุโสกั๋ว จะมีคนสำคัญหลายคนของสำนักเทพทะเลและผู้แสวงบุญนับหมื่นมารวมตัวกันที่เมืองอันสุ่ยเพื่อจัดพิธีบูชาเทพเจ้าแห่งท้องทะเลอันยิ่งใหญ่!

มันเป็นโอกาสที่ดียิ่ง และเมื่อถึงเวลานั้น หากหลี่ฉางโซ่วเอาชนะ ‘คนสำคัญ’ ของสำนักเทพทะเลได้ด้วยตนเองโดยที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาปรากฏขึ้นและทำลายรูปปั้นที่นั่น…

นี่ย่อมพิสูจน์ได้ว่าเทพแห่งท้องทะเลไม่มีอยู่จริง

และหลังจากนั้น หากมีเหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกสักสองสามครั้ง สำนักเทพทะเลก็จะล่มสลายไปเองตามธรรมชาติ!

แม้แผนจะเรียบง่ายและไม่ต้องเผชิญกับปรมาจารย์คนใด แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังไม่กล้าประมาทแต่อย่างใด…

เขาจะต้องสอบสวน วางแผน พิจารณาและจัดเตรียมรายละเอียดอย่างรอบคอบ!

เมื่อลงมือโจมตี ข้าก็จะทำลายเทพทะเล!

และหลี่ฉางโซ่วก็เริ่มลงมือในคืนนั้น

เขาวนไปรอบอาณาเขตของสำนักเทพทะเลก่อนอย่างรวดเร็ว แล้วกวาดพลังสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปตรวจสอบวิหารทุกแห่งของสำนักเทพทะเล

สองวันก่อนพิธีบูชาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล หลี่ฉางโซ่วก็มาถึงใกล้เมืองอันสุ่ย และตรวจสอบรายละเอียดของทูตเทวะที่นั่น นอกจากนี้ เขายังแอบพยายามทดสอบชาวบ้านในหมู่บ้านสงอย่างลับๆ อีกด้วย

ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วแน่ใจแล้วว่า ‘ทูตเทวะ’ ของเขาเป็นคน ‘ธรรมดา’ มากที่สุดซึ่งมีพลังมากมาย และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีฐานพลังการฝึกฝน แต่ก็อยู่เพียงในขอบเขตหลอมรวมปราณ และขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพเท่านั้น…

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วยังคงตรวจสอบเพื่อค้นหาข้อบกพร่องในแผนของเขา

เพื่อป้องกันไม่ให้พิธีการเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งท้องทะเลถูกสำนักเทพอีการบกวน เขาจึงได้ซ่อนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘สวรรค์’ ทั้งสองตัวเอาไว้นอกเมืองอันสุ่ยซึ่งพร้อมที่จะโจมตีได้ตลอดเวลา

หากสำนักเทพอีกามาก่อปัญหา ก็ย่อมจะนำไปสู่ศึกสู้ระหว่างสำนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และบางทีอาจมีการนองเลือด ซึ่งจะเป็นการเพิ่มกรรมร้ายให้ข้า เทพเจ้าแห่งท้องทะเลผู้นี้

ดังนั้น เขาต้องคอยระวังให้ดี

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็แอบตรวจสอบผู้บำเพ็ญที่อาจเกี่ยวข้องกับสำนักเทพทะเล

และในท้ายที่สุด เขาก็พบว่าธิดาแห่งทูตเทวะจากสำนักเทพทะเลได้ไปที่แดนอมตะทางตอนเหนือและกลายเป็นศิษย์ของเซียนผู้หนึ่ง นางน่าจะเป็นสตรีสาวจากหมู่บ้านสงที่เข้าสู่สำนักเซียนในดินแดนเทวะมัชฌิมา

และหลี่ฉางโซ่วก็อดนึกถึงเด็กสาวนาม สงหลิงลี่ซึ่งมีรูปร่างดุจหอคอยเหล็กไม่ได้…

แต่เขาก็มีเวลาน้อย ไม่อาจยืนยันได้

อย่างไรก็ตาม ศิษย์ที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักเซียนมาเพียงสองสามปี ย่อมไม่อาจทำอะไรได้มากนัก…แม้เขาจะต้องพิจารณาถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไป

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา หลี่ฉางโซ่วยังคงฉวยประโยชน์จากรายละเอียดและช่องโหว่เพื่อพยายามทำให้แผนการของเขาสมบูรณ์แบบ

เขาเตรียมการสำหรับสถานการณ์ทั้งหมดที่เขาพิจารณาได้อย่างระมัดระวัง

คราวนี้ มันน่าจะมั่นคง…

แค่กๆ จะพูดเรื่องแบบนี้เร็วเกินไปไม่ได้

ในขณะนี้ ข้าไม่อาจประมาทหรือมองข้ามความเป็นไปได้ที่ไร้สาระใดๆ ออกไป…

และในคืนก่อนพิธีเทพทะเลในเมืองอันสุ่ย

เวลานี้ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในลานเล็กๆ ที่เขาเช่าอยู่ กำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความคิด

พิธีถูกจัดขึ้นในช่วงเช้าตรู่ และการเฉลิมฉลองจะใช้เวลาหนึ่งวันและหนึ่งคืน

เวลานี้ เนื่องจากมีศิษย์ของสำนักเทพทะเลหลั่งไหลเข้ามาในเมืองอันสุ่ยมากเกินไป จึงมีผู้คนหนาแน่นมาก ทำให้ทั้งถนนและตรอกซอกซอยต่างๆ ล้วนคึกคักขึ้นมาเป็นพิเศษ

ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วยังตรวจไม่พบภัยคุกคามใดๆ ภายในรัศมีพันลี้

และหลังจากเฝ้าระวังอยู่ครึ่งคืน บัดนี้ มาถึงยามอรุณรุ่งดวงอาทิตย์กำลังขึ้นแล้ว

ในขณะนั้น เมืองนี้ล้วนเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกท่ามกลางเสียงฆ้อง กลองลั่น และเสียงของผู้คน ทั้งยังมีผ้าหลากสีสันที่ถูกแขวนเอาไว้ทุกที่

รูปปั้นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลสูงสองจั้งถูกทูตเทวะที่แข็งแกร่งแปดคนของหมู่บ้านสง ย้ายออกไปจากวิหาร และเริ่มขบวนแห่ไปตามถนนเพื่อแสดงถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา……

มีสานุศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันมารายล้อมรูปปั้นนี้ และผู้คนทุกเพศวัยต่างก็รีบเคลื่อนเข้ามาถวายเครื่องสักการะบูชากัน

หลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้ชัดเจนว่าบุญเครื่องสักการะของเขาเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย!

หากตอนนี้ ข้าเป็นเซียนต้าหลัวจิน บุญนี้ย่อมจะถูกหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน

แย่จริง…หลี่ฉางโซ่วลอบถอนหายใจ แต่ไม่รู้สึกเสียดายเลย

เมื่อเทียบกับบุญแล้ว ชีวิตคือพื้นฐาน

ยังคงเป็นส่วนของงานเฉลิมฉลองที่พวกเขาจะเดินขบวนแห่ไปตามถนน และเมื่อวางรูปปั้นลงนอกเมือง เหล่าสานุศิษย์ก็มารวมตัวชุมนุมกัน…

และนั่นเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดที่เขาจะลงมือโจมตี!

หลี่ฉางโซ่วยังคงเฝ้าติดตามตรวจจับสภาพแวดล้อมของเขาต่อไป แม้เขาต้องการจะจัดการกับมนุษย์ แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังระวังอย่างยิ่ง

ในเวลาเดียวกันนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วก็ไม่อาจใช้พลังสัมผัสเซียนรับรู้ตรวจจับสถานที่ได้…

ทะเลทักษิณอยู่ห่างจากเมืองอันสุ่ยไปสองพันลี้

ในขณะนั้น มีเรือสมบัติที่ล้อมรอบด้วยแสงเซียน กำลังล่องลอยไปบนพื้นผิวทะเลอย่างนุ่มนวล เรือสมบัตินี้ดูเหมือนเปลือกหอย แต่จริงๆ แล้ว มันมีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งร้อยจั้ง

ที่ขอบเรือสมบัตินี้ มีกลุ่มทหารเซียนมังกรจากวังมังกรทะเลทักษิณยืนอยู่

เพื่อสร้างความบันเทิงอย่างดีให้กับอ๋าวอี่ และหานจื่อ องค์ชายรองของวังมังกรทะเลทักษิณ อ๋าวโหมวได้ส่งองครักษ์ส่วนตัวของเขาไปเป็นผู้คุ้มกัน

มีเซียนมังกรวารีหลายร้อยตัวล้วนอยู่ในขอบเขตเซียนเสิ่นระดับสูง!

ทหารเซียนมังกรประเภทนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่เพิ่มพูนศักดิ์ศรีของวังมังกร

เป็นเรื่องยากที่ศาลสวรรค์จะรวบรวมเซียนเสิ่นจำนวนมากเพื่อมาใช้เป็นอาวุธได้

ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ อ๋าวโหมวได้พาอ๋าวอี่ และหานจื่อไปเที่ยวเล่นในทะเลทักษิณอย่างมีความสุข

พวกเขาเยี่ยมชมเกาะอมตะในทะเล และชื่นชมทัศนียภาพที่ก้นทะเล เยี่ยมชมสระสมบัติของวังมังกร และค้นหาดินแดนลึกลับของชนเผ่าทะเล

และหานจื่อก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

การได้เห็นอาจารย์ของนางที่เลี้ยงดูนางมาต้องโชคร้ายเช่นนั้น ทำให้นางต้องทนทุกข์ทรมานคล้ายกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนในครอบครัว ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะกว่าที่นางจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ และขณะนี้ นางกำลังลอยอยู่ในทะเลเพราะรู้สึกเบื่อจริงๆ

ในเวลานี้ หานจื่อกำลังคุยเรื่องดนตรีกับเหล่านักดนตรีหญิงสองสามคนจากชนเผ่าทะเล ซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนหยวน

ขณะนี้กลุ่มสตรีสาวทะเลแสนสวยกำลังร่ายรำกันอย่างสง่างาม แต่องค์ชายรองทั้งสองแห่งวังมังกรกำลังยืนอยู่ที่หัวเรือและมองดูดินแดนทางเหนือโดยไม่ได้ชื่นชมท่วงท่าร่ายรำของสาวทะเลเหล่านี้…

ในเวลานี้ อ๋าวอี่ได้กล่าวถึงชะตากรรมของเผ่ามังกร และอ๋าวโหมวก็ถอนหายใจพลางกล่าวถึงความคิดเห็นของเขาเองอย่างน่าฟัง

ก่อนที่เขาจะอายุสิบขวบ อ๋าวอี่ก็รู้สึกว่าทุกคนล้วนมัวเมาในขณะที่เขามีสติ

เมื่ออ๋าวอี่อายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปี เขาก็พบว่ามีคนมากมายรอบตัวเขาที่แกล้งทำเป็นมัวเมา

แต่ตอนนี้ อ๋าวอี่เข้าใจมานานแล้วว่า กลุ่มคนจำนวนมากมายนั้นล้วนตระหนักถึงปัญหาของเผ่ามังกร แต่พวกเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย

ทว่าก็ยังมีคนที่ไม่ค่อยกังวลในเรื่องสำคัญนั้นมากเท่าใด พวกเขาเป็นมังกรที่ใช้ชีวิตอย่างมึนเมาและเพ้อฝันไปทั้งวันจริงๆ

และอ๋าวโหมวก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

อ๋าวอี่เอามือไพล่หลัง เขาเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลา ดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงหลังจากอ่อนใจไปกับความเป็นจริง

“เมื่อใดที่เผ่าพันธุ์ของเราจะทะยานเหนือเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าและผงาดขึ้นมาอย่างภาคภูมิท่ามกลางหลายร้อยเผ่าพันธุ์ได้อีกครั้ง”

“พี่รอง ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว” อ๋าวโหมวยิ้มแล้วกล่าวว่า “มีชีวิตอยู่แบบนี้ไม่เหนื่อยหรือ คนรุ่นเก่าคงคิดถึงสิ่งที่เราคิดไว้นานแล้ว พวกเขาจะทำทุกอย่างที่ทำได้อย่างแน่นอน เราแค่อย่าไปกังวลอะไรอย่างไร้ประโยชน์”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร หากไม่พยายาม” อ๋าวอี่ถอนหายใจเบา ๆ และกำลังจะกล่าวต่อ ทว่าทันใดนั้นเขาก็เห็นเมฆลอยขึ้นมาจากทางทิศเหนือ

เมฆมีเสี้ยวลำแสงสีทองและจางหายไปในท้องฟ้าอย่างเงียบๆ…

อ๋าวอี่กล่าวว่า “มีอันใดกัน”

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” อ๋าวโหมวหันกลับมาแล้วตะโกนว่า “อัครเสนาบดีเต่า มาอธิบายเดี๋ยวนี้!”

เซียนเต่าที่รอคำสั่งอยู่ไม่ไกลก็รีบปรี่มาทันที เขาแบกกระดองเต่าเอาไว้บนหลังและพยุงตัวเองด้วยไม้เท้า ขณะมองไปข้างหน้าและตอบว่า “ทูลฝ่าบาท นั่นคือปรากฏการณ์ที่เกิดจากเมฆบุญ เมื่อมนุษย์บูชาเทพเจ้าแห่งท้องทะเลในทะเลทักษิณ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำนักเทพทะเลได้ปรากฏตัวขึ้นในทะเลทักษิณและพัฒนาไปอย่างรวดเร็วยิ่ง พวกเรายังแอบสอบสวนอยู่ลับๆ ข้าสงสัยว่า เทพแห่งท้องทะเลนั้นคือผู้ใดกัน”

“โชคดี และชะตาดีมาก…เยี่ยมมากจริงๆ”

ดวงตาของอ๋าวอี่เต็มไปด้วยอารมณ์ในขณะที่เขาฝืนยิ้มขื่น

ทว่าเมื่ออ๋าวโหมวเห็นเช่นนั้น เขาก็บันดาลโทสะทันที

“แม้แต่ข้า ที่เป็นองค์ชายผู้ยิ่งใหญ่แห่งวังมังกรทะเลทักษิณ ก็ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเทพแห่งท้องทะเลเลย! พวกเจ้า เปิดใช้งานกองทัพของเจ้า! แล้วตามข้าไปในที่ผิดปกตินั้นสิ! ข้าอยากไปดูว่าเทพแห่งท้องทะเลของสำนักเทพทะเลนี้เป็นผู้ใดกัน!

อัครเสนาบดีเต่าอยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่ายังลังเล แต่เหล่าแม่ทัพของทหารเซียนมังกรวารีที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็น้อมรับบัญชาพร้อมเพรียงกันแล้ว