นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 32 ข้าเป็นลูกสาวของแม่เรานะ!
เฉินโหยวซวนเองก็ร้อนใจมาก “นางแค่พูดจาซี้ซั้ว ใส่ร้ายป้ายสีข้าเท่านั้น!”
“พอได้แล้ว!” ผู้ใหญ่บ้านตบโต๊ะผ่าง ลุกขึ้นยืนด้วยขมวดคิ้วมุ่น ถลึงตาใส่เฉียนต้ายากับเฉินโหยวซวนว่า “สตรีผู้หนึ่งอย่างนางจะกล้าเอาเรื่องเช่นนี้มาทำให้ชื่อเสียงตนเองเสียหายรึ?”
ตะคอกครั้งนี้ทำให้สองแม่ลูกตกใจไปตามๆกัน
ไฟโกรธของผู้ใหญ่บ้านยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น พลันพูดอย่างรำคาญว่า “พวกเจ้ากลับไปรักษากันเองเถอะ ต่อไปอย่ามาแหกปากตะโกนต่อหน้าข้าอีก เรื่องนี้ห้ามแพร่ออกไปเด็ดขาด! หากข้าได้ยินเรื่องนี้แม้เพียงนิด บ้านเฉินของพวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้อยู่ในหมู่บ้านต้าสืออีกต่อไป!”
พอได้ยินว่าจะถูกขับออกจากหมู่บ้านต้าสือ เฉินโหยวซวนกับเฉียนต้ายาก็ไม่กล้าหืออีก
โจวกุ้ยหลานก้มหน้านิ่ง แต่ในใจสะใจนัก
เรื่องนี้จบสิ้นสักที ต่อไปเฉียนต้ายากับเฉินโหยวซวนน่าจะไม่กล้าเอาเรื่องนี้มากวนเธออีกแล้ว แบบนี้ก็ดี
เธอจะหาเงินสร้างครอบครัวให้ร่ำรวย ไม่มีเวลามาวุ่นวายกับคนพวกนี้
ผู้ใหญ่บ้านหันมองโจวกุ้ยหลาน เห็นนางก้มหน้า รู้ว่านางคงรู้สึกไม่ดีนัก อยากจะปลอบสักสองคำ แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี ได้แต่หันไปมองโจวต้าไห่พลางว่า “พาน้องสาวเจ้ากลับไป ปลอบนางดีๆล่ะ…”
โจวต้าไห่รีบพยักหน้า จะลุกขึ้น สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆก็ยืนขึ้นและยื่นมือไปหาโจวกุ้ยหลาน และโอบไหล่โจวกุ้ยหลานเดินออกไปข้างนอก
รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่หัวไหล่ โจวกุ้ยหลานรู้สึกกระดากเล็กน้อย แต่ก็ยอมตามเขาออกไป
โจวต้าไห่รีบเดินตามไป หลังออกเรือนของผู้ใหญ่บ้าน เขาเห็นน้องสาวตนเอาแต่ก้มหน้าตลอด ก็รีบเดินขึ้นไปหลายก้าว อยากจะปลอบนางสักสองคำ กลับได้ยินเสียงโจวกุ้ยหลานลอยมาว่า “ไอ้หยา ทำข้าเหนื่อยเลยนะ!”
และเห็นโจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้น สลัดมือสวีฉางหลินออก หอบหายใจเสียงดังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ไม่เป็นไรแล้ว!”
โจวต้าไห่อ้าปากกว้างอย่างตกใจ คิดตามไม่ทัน
โจวกุ้ยหลานเอาสองมือนวดหน้าตนเอง ถึงสบายแล้ว นั่นไง แกล้งทำเป็นน่าสงสารมันเหนื่อยมากนะ
“กุ้ยหลาน เจ้า…เจ้ามิได้เสียใจหรือ?” โจวต้าไห่ถามตะกุกตะกัก
“ทำไมต้องเสียใจ เขาโดนจัดการแล้วมิใช่รึ?”
“แต่เมื่อครู่เจ้า…” โจวต้าไห่พูดได้ครึ่งเดียวก็โดนตัดบท
โจวกุ้ยหลานโบกมือไม่ยี่หระ “แสดงละครเท่านั้นเอง ผู้ใดทำไม่เป็น? อีกอย่างข้าเป็นลูกสาวของแม่เรานะ!”
พอคิดถึงแม่ตน โจวต้าไห่เงียบไปทันที
“เอาล่ะท่านพี่ พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ อีกเดี๋ยวเสี่ยวเทียนจะร้องไห้แล้ว” ระหว่างพูด โจวกุ้ยหลานก็ก้าวเท้ายาวไปทางตระกูลโจว สองคนที่เหลือรีบตามไป
รอจนกลับถึงบ้าน โจวเหล่าไท่ไท่ยังไม่กลับมา คงจะไปนั่งคุยที่บ้านใคร
โจวกุ้ยหลานสามีและลูก หลังจากบอกลาโจวต้าไห่แล้วก็กลับขึ้นเขาไป
พอกลับไป โจวกุ้ยหลานก็ไปรีดนมแพะ บังคับให้เสี่ยวไน่เป่าดื่ม
เธอเองก็ดื่ม มันไม่อร่อยจริงๆ รอพรุ่งนี้เวลาพอแล้ว ค่อยทำพุดดิ้ง
สวีฉางหลินกลับดื่มหมดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาดื่มหมด ก็ไปทำงานที่หลังบ้านอีก
โจวกุ้ยหลานล้างกระดูกหมูจนสะอาด วางลงในหม้อ ใส่น้ำลงไปค่อยๆตุ๋น ตนเองออกไปเลี้ยงไก่ต่อ จากนั้นยังเก็บไข่ไก่มาหนึ่งฟองและไข่นกกระทาสามฟอง
โจวกุ้ยหลานใส่ไข่นกกระทายัดเข้าไปในรังนกกระทา ให้นกกระทาหลายตัวนั้นฟักไข่
พอเสร็จงานทางนี้ เธอถึงมีเวลาไปดูไส้เดือน
ขยายพันธุ์ของไส้เดือนนี้ทำมาหลายวันแล้ว ดูท่าแล้วไม่เลว
ตอนเย็นเธอต้มซุปกระดูก ตุ๋นเนื้อกวางที่เหลือลงไปทั้งหมด ไม่เช่นนั้นจะเสียหมด
จากนั้นก็หุงข้าว กินกับข้าวเรียบหมดโต๊ะด้วยซาลาเปาและข้าว
ข้าวที่เหลือเลย และยังถูก โจวกุ้ยหลานเอาถาดไปใส่ไว้ในอ่างเก็บน้ำ จะได้ไม่เสีย
เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เธอเก็บกวาดเตรียมเข้านอนนานแล้ว กอดเสี่ยวไน่เป่าหลับอย่างเป็นสุข
รอฟ้ามืดแล้ว หลังจากสวีฉางหลินมั่นใจว่าโจวกุ้ยหลานหลับแล้ว ถึงได้ย่องเบาลุกขึ้นมาและลงจากเขาไปด้วยความรวดเร็ว
บ้านเฉิน เฉินโหยวซวนนอนกลิ้งเกลือกไปมาบนเตียง ยังไงก็นอนไม่หลับ
วันนี้เขาขายขี้หน้าไม่เหลือดี นี่เป็นความผิดของนังแพศยาโจวกุ้ยหลานนั่น!
แม่เขาอีก ไม่เตรียมเงินให้เขาเลยสักนิด ให้เขานอนแบบอยู่อย่างนี้!
ยัยแก่ รอนางแก่แล้ว ดูสิว่าเขาจะเลี้ยงนางหรือไม่!
พี่ชายกับพี่สะใภ้อีก ไม่ให้เงินเขา และยังบอกว่าต่อไปจะหาเมียได้ไหมก็ขึ้นอยู่กับเขาเองอีก
คนพวกนี้ล้วนเป็นศัตรูของเขา ไว้เขาหายดีแล้ว เขาจะทำให้พวกเขาเสียใจไปตลอดชีวิต!
ระหว่างที่คิดแบบนี้อยู่ ก็ได้ยินเสียงหน้าต่างเปิดออก เขาหันไปมอง กลับพบเงาดำข้างเตียง
เขาตกใจจนขดตัวบนเตียง “เจ้าเป็นใคร?! อย่าเข้ามา ไม่งั้นข้าจะร้องนะ!”
สวีฉางหลินก็ไม่พูดอะไร ยกเท้าขึ้น เหยียบลงไปกลางหว่างขาของเฉินโหยวซวนอย่างแรง
ความเจ็บปวดเสียดใจพุ่งขึ้นมา เฉินโหยวซวนร้องเจ็บปวดราวหมูถูกเชือดออกมา ทั้งตัวนอนขดตัวสั่นเทาบนเตียง
ด้านนอกห้องมีเสียงเคลื่อนไหว สวีฉางหลินก้าวเท้าไม่กี่ก้าวไปที่หน้าต่าง และกระโดดออกหน้าต่างไป หายไปในความมืดยามค่ำคืน
เฉียนต้ายาพุ่งเข้ามาในห้องของลูกชายคนรองของตน มองเห็นเฉินโหยวซวนนอนขดตัวอยู่บนเตียง ก็ตกใจร้องว่า “โหยวซวน! เจ้าเป็นอะไรน่ะ?”
ระหว่างพูด ก็หยิบตะเกียงก้าวเข้าไป และเห็นสองมือเฉินโหยวซวนกุมหว่างขาตนเอง สีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก
“ไอ้หยาลูกเอ๋ย เจ้าเป็นกระไรน่ะ? อย่าทำแม่ตกใจสิ!” เฉียนต้ายาร้องอุทานออกมาอย่างตกใจอีกครั้ง และนั่งลงที่ริมเตียง
เฉินโหยวซวนเจ็บจนเหงื่อแตกซิก พูดไม่ออก ได้แต่หอบหายใจถี่ๆ “ท่าน…หมอ…”
เฉียนต้ายาปวดใจหนึบอีก แต่ยังไงก็ลูกชายสำคัญกว่า เลยรีบวิ่งไปเคาะประตูห้องเฉินเถี่ยซวนลูกชายคนโต
พอได้ยินเสียง เจ้าใหญ่เฉินเถี่ยซวนก็จะลุกขึ้น เมียเขารีบจับเขาไว้ “ลุกขึ้นมาทำอะไร? ไม่ได้ยินว่าน้องชายเจ้าร้องตะโกนรึ? แม่ต้องให้เจ้าไปตามหมออีกแน่ เสียเงินอีกแล้ว!”
เฉินเถี่ยซวนยังลังเล “ยังไงก็น้องชายแท้ๆข้านะ”
“เจ้าไม่คิดถึงเมียบ้างล่ะ? ยังไงก็ไม่ตายหรอก รักษาไม่ได้ด้วย ให้เขาเจ็บไปนั่นแหละ!” เมียลูกชายคนโตบ่นพึมพำออกมา กลัวว่าเขาจะยังไม่เปลี่ยนใจ สำทับอีกคำว่า “ถ้าเจ้ากล้าไปตามท่านหมอ ข้าจะพาลูกชายลูกสาวกลับบ้านเดิม!”
พูดจบ ก็พลิกร่างหลับต่อ และไม่มองเฉินเถี่ยซวนอีก
เฉินเถี่ยซวนกัดฟันกรอด และล้มตัวลงนอนต่อ หยิบหมอนมาอุดหูทำเป็นไม่ได้ยิน
เฉียนต้ายาร้องเรียกอยู่หลายทีไม่ได้ยินใครตอบ ก็เข้าใจว่าลูกชายคนโตไม่อยากเสียเงินแล้ว รู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกัน แต่ยังไงต่อไปนางยังต้องพึ่งพาลูกชายคนโตอยู่ เลยได้แต่หมุนตัวกลับไปดูแลเฉินโหยวซวนต่อ
สวีฉางหลินเดินเหยียบเท้าเข้าไปในบ้าน ในใจเอาแต่คิดถึงเมียตนเอง
เฉินโหยวซวนนั้นมาก่อเรื่องแบบนี้ เมียเขาต้องกลัวเรื่องนี้แน่ ช่วงนี้เขาพยายามอดทนเอาไว้ก่อนดีกว่า รอเมียหายดีขึ้นแล้วค่อยมีอะไรกัน
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจก็ผุดไฟปรารถนาขึ้นมาอีก
เป็นความผิดของเฉินโหยวซวนนั่น ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ป่านนี้เขานอนกอดเมียตัวเองไปนานแล้ว!
เหยียบเมื่อครู่เหยียบเบาเกินไปจริงๆ!
โจวกุ้ยหลานหลับสนิท รอเธอตื่นมา ก็เป็นอีกเช้าที่สดใส