ตอนที่ 102 เอาจริง

ฉวนหมิงยังไม่ได้ทําการโจมตี เขามองอย่างเย็นเยือกไปที่หยางเย่และชิงเสวีย เขาหาได้ใช่คนไร้สมอง หยางเย่เองก็เช่นกัน เมื่อหยางเย่กล้าที่จะปล่อยให้เขาจัดการกับคนทั้งห้าก่อน มันก็เห็นได้ชัดว่าเขามีความแข็งแกร่งและซ่อนไพ่ตายไว้แน่นอน

เมื่อนึกได้เช่นนั้น ประกายแห่งความลังเลปรากฏผ่านดวงตาฉวนหมิง จากนั้นไม่นานเขาสูดหายใจลึกเพื่อระงับจิตสังหารไว้ในใจพร้อมกล่าว “ไปกันเถอะ!”

ศิษย์ทั้งสองด้านหลังชะงักพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกมันมีเพียงสองคนเท่านั้น พวกเราจัดการมันได้สบายอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องไปด้วย?”

ศิษย์อีกคนเองก็ขมวดคิ้วพร้อมกล่าว ” ศิษย์พี่ฉวนหมิง ท่านต้องทราบดีอยู่แล้วว่าหากพวกเขาเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปแจ้ง เช่นนั้นพวกเราจะต้องซวยแน่นอน!”

ฉวนหมิงส่ายหัวพร้อมกล่าว “ข้าไม่อาจจะเห็นพลังที่แท้จริงของชายผู้นี้ได้ เมื่อเขากล้ายืนมองพวกเราสังหารคนทั้งห้าแล้ว เช่นนั้นเขาจะต้องมีบางสิ่งแน่ เราไม่ควรประมาท ยิ่งกว่านั้นยังมีราชันหมีพสุธาอีก ถึงแม้ข้าจะไม่ทราบว่าเหตุใดราชันหมีถึงไม่โจมตีเราตอนนี้ แต่พวกเจ้ากล้ายืนยันไหมว่ามันจะไม่โจมตี?”

“แต่สถาบันการต่อสู้”

ฉวนหมิงหัวเราะออกมา “คนของสํานักจันทราและสถาบันการต่อสู้ก็ตายกันหมดแล้ว สําหรับเรื่องที่เกิดขึ้นมันคงไม่ออกไปกระจายข้างนอกแน่ พวกเขาจะเชื่อสํานักดาบราชันหรือโรงเรียนปราชญ์กันล่ะ? แม้พวกเขาจะไม่เชื่อเราเพราะไม่มีหลักฐาน แล้วจะมีใครกล้ามาต่อกรกับโรงเรียนปราชญ์ของเราล่ะ?”

ศิษย์ทั้งสองข้างฉวนหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า จากนั้นพวกเขาไม่คิดที่จะปะทะกับหยางเย่และชิงเสวียอีก

ฉวนหมิงหันไปมองหยางเยอีกครั้งก่อนจะหันหลังจากไป

หยางเย่และชิงเสวียชะงัก จากนั้นหยางเย่ได้เอ่ยอย่างงุนงง “พวกมันจะจากไปเช่นนั้นงนหรือ? พวกเขาไม่คิดที่จะปิดปากเราหรือไง?”

เขาพร้อมที่จะปล่อยหมาป่าทั้งสองออกไปสู้กับสามคนนั้น ถึงแม้จะต้องเผยราชันหมาป่าออกมา แต่เขาก็หาได้มีทางเลือกอื่นไม่ อันที่จริงเขาไม่ต้องการให้ทั้งสามออกจากขุนเขาไม่สิ้นสุด แต่ก็ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะจากไปโดยไม่ทําอะไร!

ชิงเสวียถอนหายใจโล่งอกก่อนจะหันไปมองหยางเย่ ดูเหมือนเขาจะคิดว่าทั้งสามจะเข้ามาสังหารจริง ๆ สินะ

นางรีบกล่าว “ข้าคิดว่าพวกเขาคงกลัวอะไรบางอย่าง มันดีที่พวกเขาจากไป อย่างน้อยก็สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้จนตายกับพวกเขาได้”

หยางเย่ขมวดคิ้ว เขาไม่อาจปล่อยให้ทั้งสามหนีไปได้ เพราะหากทั้งสามกล่าวโทษว่าความตายของศิษย์สํานักจันทราและสถาบันการต่อสู้เป็นเพราะทั้งสอง

ทันทีที่หยางเย่กําลังจะเคลื่อนไหว พื้นแผ่นดินได้สั่นสะเทือนอย่างหนัก หยางเย่หันไปมอง และเห็นว่าเป็นเพราะราชนหมีพสุธาได้กระโจนออกไปทับฉวนหมิงและคนทั้งสามที่อยู่ไกลกว่าสามสิบเมตร

เมื่อกลุ่มของฉวนหมินหันไปเห็นราชันหมีกําลังไล่มา ท่าทีของพวกเขาเปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันที เพราะพวกเขาไม่คาดคิดว่าราชันหมีจะโจมตีอย่างฉับพลันเช่นนี้

พวกเขาไม่มีเวลามาคิดสิ่งใดนอกจากรีบโต้ตอบ และใช้เคล็ดวิชา พลังปราณทุกอย่างอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เผชิญหน้ากับพวกเขา ราชันหมีเพียงแค่เหวี่ยงอุ้งมือธรรมดาก็สามารถทําลายวิชาทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

ท่าทีฉวนหมิงเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเช่นนั้น เขากล่าวอย่างตกใจ “บัดซบ มันออมมือมาตลอด มันคือสัตว์อสูรราชันขั้นสูงสุด รีบหนีไปคนละทาง!”

เมื่อกล่าวจบ เขาไม่สนศิษย์ทั้งสองอีกก่อนจะใช้วิชาตัวเบาของโรงเรียนปราชญ์หนีไปอย่างรวดเร็ว

ปฏิกิริยาของศิษย์อีกสองคนหาได้ช้าไม่ พวกเขารีบใช้วิชาเช่นเดียวกันแยกออกไปคนละทิศทางกับฉวนหมิง

หยางเย่ตกใจเมื่อเห็นเช่นนั้น เพราะเขาไม่ต้องการให้ทั้งสามหนีรอดไปได้

หยางเย่มองไปยังราชันหมีที่ดูเหมือนจะไม่ไล่ตามต่อ ขณะที่เขากําลังจะเคลื่อนไหว ราชันหมีได้ยกอุ้งมือขึ้นฟ้าอย่างช้า ๆ

ภายใต้สายตาที่งุนงงของหยางเย่และชิงเสวีย ราชันหมีตบอุ้งมือลงพื้นอย่างรุนแรง

ปั้ง!

เสียงดังกังวาลไปทั่วแผ่นดินในระยะนั้น มันกําลังเริ่มกลายเป็นแผ่นดินไหว!

พลังโจมตีที่หนักหน่วงนี้พุ่งไปทางหยางเยเช่นกัน หยางเย่ไม่ทันตั้งรับการโจมตีเช่นนี้ มันทําให้เขารู้สึกวิงเวียนทันที แต่เพียงเวลาไม่นาน หยางเย่รีบใช้เจตจํานงแห่งดาบเพื่อลบล้างสถานะวิงเวียน

จากนั้นเขาหันไปมองชิงเสวีย เวลานี้ใบหน้าชิงเสวียซีดเผือดพร้อมกับคิ้วที่ขมวดชนกันแน่น ดูเหมือนนางจะทนรับพลังที่มหาศาลนี้ไม่ไหว

หยางเย่ไม่ลังที่จะดึงชิงเสวียเข้าไปใกล้ตัว จากนั้นได้ถ่ายเทเจตจํานงแห่งดาบให้ไหลเข้าสู่มือนางพร้อมลบพลังคุกคามของราชันหมีออก

คิ้วของนางเริ่มคลายเล็กน้อย ไม่นานนางลืมตาออกพร้อมอาการมึนงง

ชิงเสวียเหมือนจะรู้สึกบางอย่างจึงได้ก้มลงมอง เมื่อเห็นมือหยางเย่กําลังจับมือตนเองอยู่ นางรีบดิ้นเพื่อจะดีดตัวออก

เมื่อเห็นเช่นนั้นหยางเย่สงบใจลง เพราะนางปลอดภัยแล้ว เขาหันไปมองราชันหมีพสุธา เมื่อ เห็นฉากตรงหน้า ท่าทีของหยางเย่ก็เริ่มหนักอึ้งขึ้นทันที

เวลานี้มีศพนอนกองอยู่ข้างราชันหมี และศพทั้งสามนั้นเป็นศพของศิษย์แห่งโรงเรียนปราชญ์

“สหาย ความสามารถเมื่อกี้ของราชันหมีเป็นความสามารถติดตัวมาตั้งแต่เกิดใช่หรือไม่?” หยางเย่หันไปถามมิงค์ม่วงตรงไหล่ ถึงแม้หยางเย่จะงุนงงว่าเหตุใดมิงค์ม่วงถึงไม่ได้รับผลกระทบใด อาจเป็นเพราะพลังที่ร้ายกาจของมัน ซึ่งเขาก็ยอมรับมันได้อยู่แล้ว เพราะไม่ว่ายังไงหยางเย่ก็ทราบดีว่ามิงค์ม่วงนั้นแข็งแกร่งมาก!

มิงค์ม่วงพยักหน้า จากนั้นมันลูบหัวหยางเยด้วยกรงเล็บเล็กน้อย ดูเหมือนมันกําลังกล่าวว่า “อย่าได้กังวลไปเลย เจ้ามีข้าอยู่!

หยางเย่รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก เขาลูบหัวสหายตัวจ้อย และดูเหมือนกําลังจะกล่าวบางอย่างทันใดนั้นพื้นแผ่นดินได้สั่นสะเทือนอีกครั้ง ท่าที่หยางเย่เปลี่ยนไปก่อนจะหันไปมองราชันหมี

โชคดีที่ราชันหมีไม่ได้โจมตี มันเดินเข้ามาหาหยางเย่และชิงเสวีย

ท่าที่ชิงเสวียเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นราชันหมีเดินเข้ามา นางขยับเข้าไปใกล้หยางเย่ เวลานี้นางเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าโง่เพียงใดถึงคิดจะไปล่าราชันหมีพสุธา ที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้ล่า แต่เป็นการเดินเข้าไปหาความตายเท่านั้น

ราชันหมีพสุธาหาได้สนใจหยางเย่กับชิงเสวียไม่ สายตามันจ้องไปที่มิงค์ ประกายแห่งความสับสนและหวาดกลัวเกิดขึ้นลึก ๆ ภายในดวงตามัน

มิงค์ม่วงทําตามคําแนะนําของหยางเย่ มันตรงเข้าไปสนทนากับราชันหมี

ขณะที่มิงค์ม่วงกําลังสนทนากับราชันหมี หยางเย่รีบเข้าไปรวบรวมแหวนมิติจากศพเหล่านั้น ไม่นานเขาดึงชิงเสวียเข้ามาพร้อมส่งแหวนมิติให้ “ข้างในมีหินพลังปราณอยู่สามพันก้อน โอสถสมุนไพรต่าง ๆ อีกมากกว่าร้อยชนิด ยันต์ระดับกลางอีกสามถึงสี่แผ่น ทั้งหมดนี้เพียงพอต่อเจ้าที่จะใช้บ่มเพาะพลังถึงหนึ่งปี กลับไปที่สํานักตอนนี้และอย่าเข้ามาในขุนเขาไม่สิ้นสุดอีก ถึงแม้เจ้าจะมายังขุนเขาไม่สิ้นสุด แต่ก็อย่าได้เข้ามาให้เขตเทือกเขาแห่งความตาย บอกคนในสํานักด้วยว่าอย่ามาเช่นกัน เข้าใจหรือไม่?”

ชิงเสวียยังไม่รับแหวนมิติพร้อมเอ่ยถาม “เจ้าจะไม่กลับไปกับข้างั้นหรือ?”

“ดูเหมือนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับสํานักจะถูกปกปิดโดยพวกผู้อาวุโส นั่นสินะ สํานักดาบราชันจะกล้ากระจายข่าวที่น่าอับอายเช่นนั้นได้ยังไง?? หยางเย่ส่ายหัวพร้อมกล่าว “ข้ายังไม่กลับไปตอนนี้ รีบไปให้เร็ว ราชันหมีพสุธาจะไม่ทําอันตรายเจ้า!”

ชิงเสวียชะงัก นางหันไปมองมิงค์ม่วงและราชันหมี ดูเหมือนนางจะเข้าใจบางอย่าง “เจ้าก็รักษาตัวด้วย!”

ทันทีที่กล่าวจบ นางรับแหวนมิติจากหยางเย่ก่อนจะหันจากไป

หลังจากเดินออกไปไม่กี่ก้าว นางหยุดเดินพร้อมหันกลับไปมองหยางเย่ ” หยางเย่ ขอบคุณเจ้าสําหรับทุกอย่าง!”

เมื่อกล่าวจบ นางไม่หยุดเดินอีกต่อไปก่อนจะหายไปจากในเส้นทาง

หยางเย่หัวเราะเล็กน้อย จากนั้นเขาเดินไปทางราชันหมีพสุธา ขณะที่เขามองสัตว์ยักษ์ตรงหน้า ดวงตาหยางเย่เต็มไปด้วยความปรารถนา หากเจ้าตัวโตนี้มาติดตามข้า ยังจะมีผู้ใดกล้าต่อต้านเราอีก? แต่มันคงไม่ง่ายที่จะทําให้มันมาติดตาม” ความแข็งแกร่งของราชันหมีพสุธานั้นแตกต่างกับราชันหมาป่าโดยสิ้นเชิง

เวลานี้สหายตัวจ้อยไม่ได้ใช้พลังกดดันเพื่อปราบราชันหมี ในขุนเขาไม่สิ้นสุด ความแข็งแกร่งเองก็เป็นที่ควรค่าแก่ความเคารพ ถึงแม้ราชันหมีไม่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับมิงค์ม่วง แต่มิงค์ม่วงก็ไม่ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกับราชันหมาป่า

ในเวลาต่อมา ราชันหมีพสุธามองกลับไปที่หยางเย่ และก็ส่ายหัวในที่สุด

ดูเหมือนมันกลัวมิงค์ม่วงจะเข้าใจผิด ดังนั้นมันจึงเริ่มสื่อสารกับมิงค์ม่วงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันกําลังอธิบายบางอย่าง

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม มิงค์ม่วงพุ่งไปหาหยางเย่ มันยักไหล่พร้อมทําสีหน้าอธิบายไม่ถูก

หยางเย่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้น “สหายยอมแพ้ที่จะสนทนากับเจ้าตัวโตนี้สั้นหรือ? มันไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้”

โชคดีที่สหายตัวจ้อยรีบอธิบายกับเขา