บทที่ 189 ศพที่ลอยน้ำนั่น เป็นเขาอย่างนั้นเหรอ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่189 ศพที่ลอยน้ำนั่น เป็นเขาอย่างนั้นเหรอ?

ถ้าเป็นเช่นนั้นมันไม่เพียงแต่ขจัดความไม่พึงใจออกไปจากใจได้ แต่ยังได้เหรียญเงินมากมายอีกด้วย

ดังนั้น!

เขาจึงขยิบตาสั่งสมุนข้างตัว แววตาเต็มไปด้วยความละโมบ ด้านคนข้างตัวนั้นก็เคยชินกับเรื่องอะไรแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว เพียงแค่พี่ใหญ่ขยิบตาเท่านั้น เขาก็รู้ความหมายได้ในทันที

ในสถานการณ์ปกติ

หากเป็นหญิงสวย พี่ใหญ่ก็จะใช้หล่อนเพลิดเพลินเสียก่อนถึงจะเอาไปขาย และหากเป็นชายก็จะจัดการเสียก่อนถึงจะเอาไปขาย

ครั้งก่อนพี่ใหญ่พึงใจกับเด็กต่างถิ่นที่มาพักที่ร้านคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าเด็กคนนั้นดันยากที่จะรับมือ อีกทั้งยังมีศิลปะป้องกันตัวที่แก่กล้า จับไล่ไม่ทัน ทั้งตัวพวกเขาเองยังโดนซ้อมมาเสียอ่วม

ต่อให้ในวันนั้นเด็กนั่นจะไม่รู้ตัวว่าโดนวางยาที่ไหนก็ตาม พวกเขาก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ หากไม่ได้ใช้เล่ห์ คาดว่าพวกเขาเองคงไม่อาจมายืนอยู่ดีได้เหมือนทุกวันนี้

ร่างกายของคุณชายที่อยู่ตรงหน้านั้นบอบบางมาก มองดูง่ายต่อการจัดการ

ลูกน้องข้างตัวต่างคิดไปในทางเดียวกัน ก่อนจะถลกแขนเสื้อขึ้นรุดเข้าไปจับตัวของหลานเยาเยา แต่จับได้เพียงแค่อากาศ

“เห เจ้าเด็กนี่ยังคิดจะหลบอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ? ”

ได้ยินแบบนั้น!

หลานเยาเยาก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมาอย่างเย็นชา

ล้อเล่นรึไง ไม่หลบ? แล้วจะให้ยืนโง่ๆ ปล่อยให้พวกเจ้าจับอย่างนั้นเหรอ?

เดิมทีนางเองก็ไม่อยากจะเปลืองแรงอะไรกับพวกเขามากมาย ก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่ลองทดสอบพวกเขาดูเฉยๆ ตอนนี้ก็มั่นใจแล้วว่าพวกนี้เป็นเพียงแค่งูพิษเท่านั้น จึงหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับพวกเขา

ยังไม่ทันจะดื่มชาหมดแก้ว พวกเขาแต่ละคนก็ทำได้เพียงก้มกราบขออ้อนวอนในขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำก็เท่านั้น

“ไว้ชีวิตข้าด้วย มันเป็นข้าเองที่มีตาหามีแววไม่ไปสร้างความไม่พึงใจให้แก่ท่าน ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด แล้วจะให้ข้าเป็นวัวเป็นควายหรือทำอะไรข้าก็ยอม”

พี่ใหญ่ถึงขั้นอ้อนวอนขอชีวิต สำหรับหน้าที่ของการเป็นสมุนข้างตัวแล้ว พวกเขาเองก็จึงต้องส่งเสียงร้องอ้อนวอนขอชีวิตไปด้วย

ไม่ว่าจะถูกบังคับให้ทำแบบที่ไม่ทำก็ไม่ได้ ไม่ว่าข้างบนจะมีผู้สูงอายุข้างล่างจะมีเด็กไม่กี่เดือน สิ่งที่ล้าสมัยพวกนี้ก็ต้องพูดให้หมด

เห็นพวกเขาพูดจาโป้ปด อีกทั้งยังจะมาคุกเข่านั่งสะอื้นกันเป็นกลุ่มนั้น มันน่ารำคาญชะมัด ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าพวกเขาเป็นคนเลวทรามจนหลานเยาเยายังรู้สึกรังเกียจที่จะเสวนาด้วย ทั้งยังรู้สึกว่าหากฆ่าพวกเขาไปก็จะเป็นเพียงเสนียดที่ติดมือนางเสียเท่านั้น

นางคาดว่าพวกองครักษ์ลับที่ถูกจับโยนลงทะเลเองก็คิดแบบนั้น และนั่นก็ถือเป็นอะไรที่สาสมแก่พวกเขาแล้ว

ดังนั้น!

มุมปากของหลานเยาเยายกขึ้น ดวงตาฉายแววอาฆาต นางเอื้อมไปหยิบป้ายชื่อที่บนตัวของพี่ใหญ่ ก่อนจะเอามาโบกเล่นตรงหน้าของพวกเขา

“พูดมาซิ ว่าเจ้านายของป้ายนี่อยู่ที่ไหน? ”

“หา? ท่านรู้จักของสิ่งนี้หรือ ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ข้าน้อยเก็บได้ แต่หารู้ไม่ว่าคนอยู่ที่ไหน หากท่านอยากได้ก็เอาไปได้เลย! ”

ท้ายสุดพี่ใหญ่ก็เข้าใจ ว่าเหตุใดองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ถึงได้มาทำกับเขาอย่างไม่มีเหตุผลแบบนี้ ที่แท้ก็เพราะป้ายนี่ รู้แบบนี้ขายไปเสียตั้งแต่ทีแรกแล้ว จะได้ไม่ต้องมาพบเจออะไรแบบวันนี้

“เก็บได้อย่างนั้นรึ? ” หลานเยาเยาหรี่ตา

“ใช่ขอรับ เก็บได้ ที่ ที่ ถนนใหญ่”พี่พูดอย่างจริงใจ อีกทั้งยังมีเสียงตอบรับของพวกลูกสมุนอย่างพร้อมเพรียง

คนที่ไม่รู้อะไร ก็คงจะคิดว่าพวกเขาพูดความจริง

แต่ในเวลานี้!

เสียงบางเบาราวกับลมของเถ้าแก่โรงชาพูดขึ้น “ชายทะ······ท่านนั้น ถูกพวกเขาทำร้าย ทำร้ายจนเจียนตาย จากนั้นก็เอาไปทิ้งลง······ทะเล”

เมื่อเห็นเถ้าแก่โรงชาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก หลานเยาเยาก็รู้สึกประทับใจขึ้นมาเล็กๆ โดนตีจนเจ็บหนักขนาดนี้ยังพูดความจริงออกมาอีก อาจจะเพราะความจงเกลียดจงชังเกินกว่าจะช่วยพวกงูพิษพวกนี้ หรืออาจจะเพราะองครักษ์ลับได้ช่วยเหลือเขาจากการถูกทำร้ายเอาไว้

ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นช้าๆ :“ท่านวางใจได้ ข้ารู้ว่าจะทำอะไร”

พูดจบนางก็หันหน้าไป สีหน้าไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ มองราวกับว่านางไม่ได้เอาคำพูดของเถ้าแก่โรงน้ำชามาใส่ใจเลย

พี่ใหญ่หัวเราะเงียบๆ อยู่ในใจ เตรียมปั้นหน้าเหยเกร้องไห้ และในตอนที่เขาจะพูดขึ้นมานั้น

“อ๊า………”

“อ๊า………”

“อ๊า………”

······

ลูกสมุนที่คุกเข่าอยู่ข้างตัวเขาค่อยๆกลิ้งไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวดทีละคนๆ อีกทั้งยังลูบตัวไปมาราวกับว่าตัวพวกเขาโดนมดเป็นกองทัพกัดอย่างไรอย่างนั้น

จากนั้นเสียงก็ค่อยๆ ลดลงๆ จนกระทั่งร่างกายแน่นิ่งไป ตอนนั้นเองพี่ใหญ่ที่เพิ่งเรียกสติตัวเองจากความตกใจกลับมาได้

“พะ……พวกเขาเป็นอะไรไป? ท่าน ท่านทำอะไร? ”

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า พี่ใหญ่ก็กลัวจนหน้าซีดเผือด ร่างสั่นทั้งกาย ไม่ได้มีสีหน้าแสร้งร้องไห้เหมือนก่อนหน้านี้

“ตายแล้วไง ชัดเจนขนาดนี้เจ้าดูไม่ออกอย่างงั้นเหรอ? หน้าซีดหมอง ปากม่วงคล้ำนั่นก็เพราะโดนพิษของข้ายังไงหล่ะ อีกอย่างพิษนั่นก็เอาไว้เพื่อทรมานคนดีโดยเฉพาะ

ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ลองไปพิสูจน์ดูสิว่าพวกเขาตายจริงหรือไม่ ข้าจะไปซ้อมดาบพอดี”

“ท่าน ท่าน ท่าน······”

“ท่านอะไรของเจ้านัก รีบบอกมาว่าเขาอยู่ที่ไหน? ”

เมื่อเห็นหลานเยาเยาฆ่าคนได้อย่างไร้ซึ่งความปรานี อีกทั้งยังรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้เพียงแกล้งเล่น ถ้าหากไม่บอกหล่ะก็ เขาถึงชีวิตแน่นอน

——

พี่ใหญ่จึงพาหลานเยาเยามาที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เขาชี้ไปที่โขดหินริมทะเลก่อนจะพูด

“พวกข้าเอาเขาโยนไปตรงนี้นี่หล่ะ”

พี่ใหญ่พูดอย่างอ่อนแรง พูดจบก็หันไปมองหลานเยาเยาอย่างระมัดระวัง เกรงว่านางจะโกรธและฆ่าเขาไปเสีย

หลานเยาเยามองไปที่ผิวน้ำ สายตาล้ำลึก

นางรู้ว่าครั้งนี้พี่ใหญ่ไม่ได้หลอกนาง ด้วยเพราะนางเห็นเลือดที่เปื้อนอยู่ที่โขดหิน

ทันใดนั้นเอง!

ก็มีนกนางนวลตัวหนึ่งบินผ่านฟากฟ้า ทิ้งไว้เพียงเสียงในขณะที่บินไปไกลแสนไกล ก่อนจะปรี่ลงมาโฉบเอาปลาตัวหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้บินโฉบไปเลย แต่ใช้เท้าเกาะลงบนวัตถุอย่างหนึ่งก่อนจะกินปลาและบินจากไป

หืม?

สิ่งที่ลอยอยู่นั่นดูไม่เหมือนเป็นแผ่นกระดานเอาเสียเลย มันดูเหมือนคน นั่นคือศพลอยน้ำอย่างนั้นเหรอ?

หลานเยาเยาก้าวเท้าเตรียมจะกระโดดลงไปในทะเล แต่เมื่อรู้ว่าด้านหลังดูเงียบไป จึงรีบหันตัวกลับไปพร้อมกับเข็มเงินที่ปรากฏในมือ

พี่ใหญ่นั้นถือก้อนหินหมายจะทำร้ายนาง แต่ยังไม่ทันจะได้โยนทุ่มใส่ ตัวเขาก็ร่วงลงไปกับพื้นเสียแล้ว

เอ๋?

เขาไม่ได้ถูกตัวนางทำ แต่เป็นเถ้าแก่โรงน้ำชาที่อยู่ด้านหลังของพี่ใหญ่นั่นเอง มือเขาใช้ไม้ค้ำเอาไว้ มือนั้นยังคงสั่นเทาไปหมด

ดูเหมือนนี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้!

“ท่านมาได้ยังไง? ” หลานเยาเยาเก็บเข็มเงิน พลางมองไปที่เขา

“คนคนนี้มีชื่อเรื่องความร้ายกาจ ไม่ว่าเล่ห์หรือกลเขาก็เอามาใช้ทั้งสิ้น ข้าเกรงว่าท่านจะพ่ายท่าเสียที จึงตามมา ดูท่าข้าจะคิดมากไปเอง”

เขามองออกว่าคนผู้นี้ดูมีเชาว์กว่าชายก่อนหน้านี้มากนัก หากว่าเขาไม่จัดการให้ คนคนนี้ก็สามารถที่จะจัดการได้อย่างง่ายดาย เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ดูเหมือนตัวเขาจะเข้ามายุ่งมากไป

“ดูบาดแผลเจ้าท่าจะเจ็บไม่น้อย ยังจะตามมาอีก ความตั้งใจสูงนัก”

“คุณชายก่อนหน้านี้ได้ช่วยชีวิตพวกข้าไว้ที่โรงน้ำชา ตอนนี้ท่านยังมาช่วยพวกข้าอีก มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้วแต่ข้าเองก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะช่วยอะไรท่านได้อยู่ดี” เถ้าแก่โรงน้ำชาพูดอย่างรู้สึกละอายใจ

“ข้าเองก็กำลังกังวลว่าไม่มีใครช่วย แต่เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี” เดิมทีคิดจะว่ายน้ำไป แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่ต้องเสียแล้ว “ช่วยข้าทำเรือทีสิ”

“บ้านข้ามีเรือ”

เขารีบพูดขึ้นพลางเดินกะโผลกกะเผลกไป ไม่นานก็ได้พาคนนำเรือมา

หลานเยาเยาขึ้นเรือแล้ว ก็รีบตรงดิ่งไปที่ศพลอยน้ำนั่น เมื่อเอาตัวขึ้นมาดูก็ต้องตกตะลึงไป

ที่แท้ก็คือจื่อเฟิง องครักษ์ลับผู้รับผิดชอบในด้านการทหารนี่เอง

เขามาที่นี่ได้ยังไง?