ตอนที่ 303 อาจารย์ทนเห็นข้าว่างไม่ได้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 303 อาจารย์ทนเห็นข้าว่างไม่ได้

ฉินหลิวซีไม่ได้พูดถึงเรื่องซื่อหลัวคนต่ำช้าผู้นั้นกับอาจารย์สืออวิ๋นอีก ไหนๆ ก็มาที่นี่แล้ว อาจารย์ก็เป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง จึงปรึกษาเขาเกี่ยวกับพัฒนาการและประวัติความเป็นมาของแม่มดสายดำและสายขาว โดยเฉพาะคำสาปเลือดของแม่มดสายดำ และยังพูดคุยคร่าวๆ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของแม่มดตระกูลซือ

“เกี่ยวกับแม่มด อาตมาไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากนัก เผ่าแม่มดตระกูลซือที่เจ้าเอ่ยถึง อาตมาเคยได้ยินมาบ้าง แม่มดตระกูลซือมีชื่อเสียงอย่างมากเมื่อร้อยปีก่อน หากจะบอกว่าเป็นผู้นำแม่มดก็ไม่เกินจริง น่าเสียดายที่เมื่อร้อยปีก่อนตระกูลซือได้ต่อกรคาถากับแม่มดสายดำ แม้ว่าจะชนะก็ไม่ต่างอะไรกับแพ้ หลายร้อยปีมานี้ ตระกูลซือถูกสาปแช่งจนกระทั่งสายเลือดลดน้อยถอยลง ตอนนี้มีต้นกล้าเพียงต้นเดียว ทำให้รู้สึกทอดถอนใจ”

ฉินหลิวซีคิดในใจว่าต่อสู้ทางคาถาอะไรกัน เป็นตระกูลซือเองที่จ้างสายลับชายไปใส่ร้ายแม่มดดำ สุดท้ายเมื่อกำจัดแม่มดดำได้แล้ว ตัวเองกลับได้รับคำสาปเลือดที่ไม่สามารถลบล้างได้ ซึ่งนำมาสู่หายนะร้อยปี

เผ่าแม่มดตระกูลซืออาจเอ่ยได้ว่าไม่ว่าจะแพ้หรือชนะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของคน

อย่างไรก็ตามฉินหลิวซีไม่ได้พูดเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องนี้กับอาจารย์สืออวิ๋นมากนัก

“แม้ว่าอาตมาจะไม่ถนัดด้านนี้ แต่ก็รู้จักพ่อมดอยู่ผู้หนึ่งนามว่าอูหยาง บรรพบุรุษมาจากตระกูลแม่มด สืบทอดมาสู่รุ่นของเขา ฝึกฝนทั้งวิชาแพทย์และการทำนาย เผ่าอูอาศัยอยู่ที่สิงไจ้ในมณฑลหูหนานมาหลายชั่วอายุคน มีชื่อเสียงอย่างมากในพื้นที่ท้องถิ่นอีกด้วย หากท่านต้องการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อาตมาสามารถเขียนจดหมายแนะนำแก่ท่านได้ ให้ท่านลองไปสอบถามดู”

ฉินหลิวซีรีบยกมือขึ้นประสาน เอ่ย “เช่นนั้นก็รบกวนท่านอาจารย์แล้ว”

เดิมทีนางอยากไปหอตำราหลายแห่งเพื่อค้นหาบันทึกในเรื่องนี้ แต่อาจารย์สืออวิ๋นแนะนำคนผู้นี้ให้ ไม่สู้ไปเยี่ยมเยียนแล้วสอบถามดู บางทีอาจได้กำไรโดยไม่คาดคิด

อาจารย์สืออวิ๋นเขียนจดหมายแนะนำให้แก่นางด้วยตัวเองในทันที เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าใกล้ค่ำแล้ว ฉินหลิวซีจึงเอ่ยลาแล้วเดินทางกลับ

“กระดูกพุทธะของซื่อหลัวมีอิทธิฤทธิ์สะกดจิตให้ทำสิ่งชั่วร้าย เจ้าไม่ควรพกติดตัว และยิ่งต้องเก็บรักษาไว้อย่างเหมาะสม หากตกไปอยู่ในมือของผู้ฝึกบำเพ็ญสายดำหรือผีร้าย จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้คนอย่างแน่นอน”

อาจารย์สืออวิ๋นตักเตือนอีกครั้ง

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ข้าคิดว่าอาจารย์จะให้ข้ามอบกระดูกพุทธะให้วัดอวิ๋นหลิงเก็บรักษาเสียอีก”

“อาตมาคิดว่าหากท่านเก็บไว้จะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า”

ฉินหลิวซียิ้ม ไม่ได้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ หลังจากเอ่ยลาแล้วก็ลงจากเขา

เมื่ออาจารย์สืออวิ๋นเห็นว่านางไปแล้วจึงหันหลังกลับมา เรียกพระภิกษุหลายรูปที่อยู่ในวัด หนึ่งในนั้นคือฮุ่ยหมิงผู้ที่ไปต้อนรับฉินหลิวซี

“อาจารย์กะว่าจะไปวัดเทียนเหมินในเมืองหลวงเพื่อไปเยี่ยมเจ้าอาวาสวัดเทียนเหมินสักหน่อย ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ฮุ่ยชิงจะรับผิดชอบดูแลทุกอย่างในวัดเป็นการชั่วคราว ส่วนฮุ่ยหมิงและคนอื่นๆ ก็คอยให้ความช่วยเหลือ”

ฮุ่ยชิงเป็นพระภิกษุที่มีอายุห้าสิบกว่าปีรูปร่างอ้วนท้วน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเมตตาอ่อนโยน เมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เจ้าอาวาส ตอนนี้ใกล้จะเดือนสิบกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ระหว่างทางไปเมืองหลวงเริ่มหนาวขึ้น อาจมีน้ำแข็งและหิมะ หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ไม่สู้รอเริ่มฤดูใบไม้ผลิแล้วค่อยไปจะดีกว่านะขอรับ”

“เรื่องนี้เร่งด่วน เกี่ยวข้องกับราษฎรในใต้หล้า ข้าต้องไปที่นั่นด้วยตัวเอง” อาจารย์สืออวิ๋นเอ่ย

เมื่อเห็นสีหน้ายืนหยัดของเขา ฮุ่ยชิงจึงเอ่ย “หากเจ้าอาวาสยืนยันว่าต้องไป เช่นนั้นก็ให้ฮุ่ยหมิงคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายแล้วเดินทางด้วยรถม้าจะดีกว่า อย่างไรเสียท่านก็อายุมากแล้ว”

ฮุ่ยหมิงเอ่ยอีกว่า “ใช่ขอรับ เจ้าอาวาส ให้ศิษย์ปรนนิบัติท่านไปที่เมืองหลวงเถิด มิเช่นนั้นบรรดาศิษย์จะไม่วางใจนะขอรับ”

อาจารย์สืออวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าพลางเอ่ย “ก็ดีเหมือนกัน ไปเตรียมตัวเลยเถิด”

ฮุ่ยชิงและคนอื่นๆ สีหน้าโล่งใจ รีบแยกย้ายกันไปเตรียมการ ในขณะที่ฮุ่ยหมิงกำลังสงสัยว่าฉินหลิวซีเอ่ยอะไรกับอาจารย์ หลังจากที่อีกฝ่ายมาที่นี่ เจ้าอาวาสก็รีบเข้าเมืองหลวงทันที

เรื่องอะไรจะได้เร่งด่วนเช่นนี้

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ทางผ่านเดียวที่กลับไปยังเมืองฝู่ก็มีรถม้าธรรมดาๆ จอดอยู่ และมีคนยืนอยู่ข้างรถม้ามองไปทางวัดอวิ๋นหลิง ข้ากายของเขามีบ่าวรับใช้คอยเฝ้าดูอยู่ รอบๆ มีองครักษ์ม้าอยู่หลายคน

“ใต้เท้า เรารอมาหลายชั่วยามแล้ว เกรงว่า… กลับเมืองก่อนดีหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านเฒ่าเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ชายผู้นั้นมีอายุเพียงสามสิบต้นๆ สวมเสื้อแพรสีกรมท่า บนตัวคลุมด้วยเสื้อคลุมบางๆ ปักลายไม้ไผ่ ส่ายหน้าพลางเอ่ย “ไม่ ท่านอาจารย์บอกแล้วว่าให้รออยู่ที่นี่ ก่อนพระอาทิตย์ตกดินข้าจะได้พบผู้ที่มีวาสนาต่อกันมาคลายความกังวลให้ข้า”

พ่อบ้านเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ ถอยออกไปอยู่ด้านข้าง

กรับ กรับ กรับ

บ่าวรับใช้ชิงเล่อมีหูที่เฉียบแหลม เอ่ย “มีรถม้ามาแล้วขอรับ”

ชายผู้นั้นก้าวไปข้างหน้าทันที สีหน้าแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น พ่อบ้านเฒ่าได้ส่งสายตาให้องครักษ์ ทุกคนพากันระมัดระวัง

แสงแดดอันนุ่มนวลและอบอุ่นส่องมาจากทางทิศตะวันตก สายลมจากภูเขาพัดผ่าน รถม้าคันหนึ่งบดบังแสงและตกอยู่ในสายตาของชายผู้นั้น

เหล่าโฉวขับรถม้าอย่างมั่นคง เมื่อเห็นคนข้างหน้าจึงตะโกนรายงานไปข้างหลัง “ท่านอาจารย์ มีคนขวางทางอยู่ด้านหน้าขอรับ”

ฉินหลิวซีกำลังกุมหัวครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางไม่ได้เปิดเปลือกตาขึ้นมาดู เอ่ย “หากผ่านไปได้ก็ผ่านไป หากไม่ได้ก็ให้พวกเขาขยับ”

เหล่าโฉวเข้าใจแล้ว

แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมุ่งตรงมาที่พวกเขา?

องครักษ์คนหนึ่งควบม้ามาข้างหน้า ยื่นมือออกไปขวางรถ ส่งสัญญาณให้หยุดลง

เหล่าโฉวมองการแต่งกายของอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูเหมือนโจรแต่อย่างใด จึงได้ชะลอรถแล้วรายงานอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ อีกฝ่ายกำลังขวางรถของเราอยู่ขอรับ”

“หืม?” ฉินหลิวซีลืมตาขึ้น เปิดหน้าต่างรถแล้วมองออกไปข้างนอก เอ่ยว่า “ถามเขาว่ามีเรื่องอะไร”

เหล่าโฉวหยุดรถ มององครักษ์ที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าระมัดระวัง โก่งหลังเล็กน้อยราวกับเสือดาวพร้อมที่จะโจมตี

เมื่อองครักษ์ผู้นั้นเห็นท่าทางระมัดระวังของเขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาดูเหมือนคนเลวหรือ

องครักษ์พยายามยิ้มสดใส กระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินไปข้างหน้า ยกมือขึ้นคารวะแล้วเอ่ยว่า “สหายอย่าได้กังวลไป นายท่านของข้าอยากจะขอพูดคุยกับนายท่านของเจ้า”

เหล่าโฉว “พวกเจ้าเป็นใคร แล้วมีธุระอะไร”

“ข้า…”

“จังเซิ่ง” ชายผู้นั้นเรียกองครักษ์ไว้ ก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวเอง มาหยุดอยู่ที่หน้ารถม้า ยกมือคารวะคนในรถม้า เอ่ยว่า “ข้ามีนามว่าเถิงเทียนฮั่น ขอบังอาจขวางรถ เนื่องจากมีเรื่องอยากจะร้องขอ ท่านได้โปรดลงมาพบด้วยเถิด”

ฉินหลิวซีลงจากรถ เหล่าโฉวรีบเดินไปอยู่ข้างนาง กระซิบอะไรบางอย่าง

คนของศาลต้าหลี่หรือ

เมื่อเถิงเทียนฮั่นเห็นฉินหลิวซีก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาเด็กเกินไปแล้ว นี่หรือคือผู้ที่มีวาสนากับเขา

“มาหาข้าหรือ” ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “พวกเราไม่ได้รู้จักกัน”

เถิงเทียนฮั่นได้สติกลับมา ก้าวไปข้าหน้าสองสามก้าว ยกมือขึ้นคารวะฉินหลิวซีอีกครั้ง “ข้าขอถามท่านสักหน่อย ท่านมาจากวัดอวิ๋นหลิงหรือไม่”

“ใช่แล้วจะอย่างไร ไม่ใช่แล้วจะอย่างไร” ฉินหลิวซีถามกลับ

เมื่อเถิงเทียนฮั่นเห็นท่าทางเช่นนี้ก็เริ่มไม่แน่ใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้ามาจากวัดอวิ๋นหลิง เจ้าอาวาสบอกว่าหากข้ารออยู่ที่นี่จะบังเอิญได้พบผู้มีวาสนาต่อกันมาช่วยคลายความกังวล”

ฉินหลิวซีหัวเราะ “ทำไม ขุนนางอย่างพวกท่านก็เชื่อเรื่องเทพเทวดาด้วยหรือ ไม่ใช่ว่าขงจื่อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับ การใช้กำลัง การกบฏ ผีและเทพหรือ” ในใจกลับคิดว่า ‘อาจารย์คงทนเห็นข้าว่างไม่ได้!’

เดิมทีเถิงเทียนฮั่นไม่แน่ใจ แต่เมื่อฉินหลิวซีมองออกว่าเขาเป็นขุนนาง ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายคมชัด เอ่ยตอบ “นักบวชย่อมไม่พูดปด ท่านอาจารย์ไม่ได้หลอกข้าจริงๆ ด้วย ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน ไม่ทราบว่าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไร”

“ข้าเอ่ยเพียงสองสามคำ ท่านก็คิดว่าข้าเป็นผู้มีวาสนาต่อเจ้าแล้วหรือ”

“ข้ายังไม่ได้ระบุตัวตน ท่านกลับบอกว่าข้าเป็นขุนนางแล้ว”

“ท่านเชื่อคนง่าย จะต้องสูญเสียครั้งใหญ่!” ฉินหลิวซีชี้ไปที่เหล่าโฉว เอ่ยว่า “ที่ข้ารู้ว่าท่านเป็นขุนนาง เป็นเพราะคนขับรถของข้าผู้นี้บอกมา ช่างบังเอิญเสียจริงเขาพอรู้จักชื่อของขุนนางของต้าเฟิงอยู่บ้าง”

เถิงเทียนฮั่น “!”

ผิด ผิดพลาดแล้วงั้นหรือ