บทที่ 217 ลูกผิดไปแล้ว

พวกอัครมหาเสนาบดีหานต่างสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะมีคนทำเสียงจิ๊ปากออกมา ทว่าเมื่ออ่านกระดาษแผ่นที่สอง ‘ดูอะไรของพวกเจ้า จิ๊ปากอะไรของพวกเจ้ากัน?’

ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกราวกับว่ามีผีสางคอยจับตาดูอยู่ทางด้านหลังอย่างไรอย่างนั้น และพากันตกใจจนมือสั่นเทา “นี่…นี่คงไม่ใช่ไท่ซ่างหวงจริง ๆ หรอกกระมัง”

อัครมหาเสนาบดีหานเปิดกระดาษแผ่นที่สามออก สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้น เมื่อบนนั้นเขียนเอาไว้ว่า

‘ข้าไม่ใช่ไท่ซ่างหวง แล้วเจ้าใช่อย่างนั้นหรือ?’

‘ยังไม่คุกเข่ารับราชโองการของข้าอีก!’

คำพูดเช่นนี้ ลักษณะการพูดเช่นนี้ ไม่ใช่ไท่ซ่างหวงหรอกหรือ?

อัครมหาเสนาบดีหานและคนอื่น ๆ จึงคุกเข่าลงอย่างไม่เต็มใจนัก นายอำเภอเจียงจึงหยิบกล่องมาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูพวกท่านสิ อยู่ดี ๆ คารวะเป็นทางการเช่นนี้ทำไมกันเล่าขอรับ”

พวกอัครมหาเสนาบดีหานจึงแอบด่าอยู่ในใจ บั้นปลายชีวิตยังต้องมาคุกเข่าให้นายอำเภอคนหนึ่ง และทำให้คนที่มาจากถิ่นทุรกันดารเช่นนี้หยิ่งทะนงตนได้

นายอำเภอเจียงเรียกได้ว่าทั้งภูมิใจและพอใจมากทีเดียว กลับไปถ้าไม่ได้โม้ให้ฮูหยินฟังสักสามสิบห้าสิบปีล่ะก็ เขาคงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้แน่

อัครมหาเสนาบดีหานจึงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเสแสร้ง “นายอำเภอเจียง ไท่ซ่างหวงยังมีรับสั่งอะไรอีก เจ้าก็พูดมาทีเดียวเถอะ”

นายอำเภอเจียงแสร้งเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านเดาถูกจริง ๆ ด้วยขอรับ แต่ก็ไม่เหมาะที่ผู้น้อยจะพูดอยู่ดี อัครมหาเสนาบดีหาน ท่านดูเองจะดีกว่าขอรับ”

สีหน้าของอัครมหาเสนาบดีหานเต็มไปด้วยความสงสัย และกำลังครุ่นคิดว่าไท่ซ่างหวงยังจะพูดอะไรได้อีก ก่อนจะเห็นว่าบนนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘ให้เซี่ยเจินเจ้าลูกอกตัญญูไสหัวลงมารับราชโองการ!’

อัครมหาเสนาบดีหานมือสั่นเทา หนังตากระตุกสองที ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนและไปเชิญฮ่องเต้เซี่ยเจินด้วยตัวเอง

ทางด้านฮ่องเต้เซี่ยเจินก็กำลังรออยู่ เขารู้สึกว่าจดหมายนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับไท่ซ่างหวงเลย ดังนั้นเมื่ออัครมหาเสนาบดีหานเข้ามาใกล้ ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็แค่นเสียงเย็นแล้วเอ่ยออกมา “เป็นเช่นไร เป็นของปลอมใช่หรือไม่? ข้ารู้…”

อัครมหาเสนาบดีหานโค้งตัวลงคารวะ “ฝ่าบาท ลงจากรถม้ามารับราชโองการด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เป็นลายพระหัตถ์ของไท่ซ่างหวงจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยเจินยังพูดไม่ทันจบ ก็ถึงกับสะอึกจนพูดไม่ออก “เจ้าดูละเอียดแล้วหรือไม่?”

อัครมหาเสนาบดีหานรู้สึกเอือมระอา “กระหม่อมจะสะเพร่าเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินลูบใบหน้าตัวเองหนึ่งครั้ง ในใจนึกอยากจะด่าคน จากนั้นก็มองไปยังฉี่จวีหลาง*ที่กำลังบันทึกการกระทำและคำพูดของเขาอยู่ จึงได้ฉีกยิ้มออกมา “ที่แท้เป็นราชโองการของเสด็จพ่อจริง ๆ เช่นนั้นก็ดีเลย ประคองข้าลงจากรถที”

* ฉี่จวีหลาง (起居郎) เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางในสมัยโบราณ มีหน้าที่รับผิดชอบในการบันทึกการกระทำประจำวันของฮ่องเต้และเรื่องใหญ่ ๆ ของบ้านเมือง

อัครมหาเสนาบดีหานเอือมระอาฮ่องเต้พระองค์นี้มากจริง ๆ แต่ก็ต้องคอยอยู่ข้างกายของพระองค์ ตอนที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินลงจากรถม้ายังกวาดตามองฮองเฮาที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น เห็นนางยังคงสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ บนศีรษะไม่มีเครื่องประดับใด ๆ เรียบง่ายราวกับคนออกบวชก็มิปาน

ฮ่องเต้เซี่ยเจินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงแต่งตัวเช่นนี้? อยากให้คนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะว่าฮองเฮาของข้าแม้แต่เสื้อผ้าดี ๆ ก็ยังไม่มีจะใส่อย่างนั้นหรือ?”

ฮองเฮาเอ่ยด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ฝ่าบาทตรัสผิดแล้วเพคะ ที่หม่อมฉันสวมใส่เป็นเสื้อผ้าที่ราษฎรทั่วไปสวมใส่กันเป็นปกติ ราษฎรสวมใส่ได้เหตุใดหม่อมฉันจะสวมใส่ไม่ได้เพคะ? เมื่อนึกถึงความลำบากในยามสงบ หม่อมฉันเพียงต้องการเป็นตัวอย่างเพื่อตักเตือนเหล่าสนมในวังหลังให้รู้จักลดรายจ่าย ช่วยราชสำนักประหยัดเงินให้มาก จะได้นำเงินไปบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัย หรือนำไปใช้สร้างความแข็งแกร่งให้ราชสำนัก ทำประโยชน์แก่ราษฎรและขุนนางเพคะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินกำลังคิดจะด่านางว่าเจ้าสำบัดสำนวน!

ทว่าถังกั๋วกงกลับเอ่ยชื่นชมขึ้นมาในทันที “ฮองเฮามีคุณธรรมอันดี ถือเป็นบุญของต้าจิ้น เป็นบุญของอาณาประชาราษฎร์จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อถังกั๋วกงเอ่ยเช่นนี้ ขุนนางที่อยู่ด้านหลังและพร้อมสนับสนุนย่อมมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกเขาไหนเลยจะรู้ว่าการที่จู่ ๆ ฮองเฮาลุกขึ้นมามีอำนาจอีกครั้งเป็นฝีมือของไท่ซ่างหวง โดยมีถังกั๋วกงคอยช่วยรับมือหานกุ้ยเฟยและฮ่องเต้ให้ และไม่รู้ว่าอำนาจของตำหนักบูรพาได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

เส้นเลือดบนขมับของฮ่องเต้เซี่ยเจินเต้นตุบ ๆ ทว่าฮองเฮากลับลุกขึ้นยืนและเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งออกมา “ฝ่าบาท อย่าให้เสด็จพ่อต้องรอนานดีกว่าเพคะ”

เซี่ยเจินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แน่นอนอยู่แล้ว”

เขาสาวเท้าเดินไปข้างหน้า จ้องนายอำเภอเจียงที่ยืนอยู่ตรงนั้นเขม็ง โดยมีเจียงเต๋อถือเบาะวิ่งตามมาทางด้านหลัง นายอำเภอเจียงจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “อ๊ะ มิได้นะพ่ะย่ะค่ะ การรับราชโองการของไท่ซ่างหวง เป็นการแสดงถึงหัวใจของลูกที่กตัญญู ฝ่าบาทต้องทำเป็นตัวอย่างให้กับขุนนางและราษฎรทั้งใต้หล้า จะใช้เบาะรองได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงเต๋อชำเลืองมองดูเศษก้อนหินบนพื้นเล็กน้อย หากฝ่าบาทคุกเข่าลงไป หัวเข่าจะทนได้อย่างนั้นหรือ?!

ฮ่องเต้เซี่ยเจินปัดมือไปมาและมองไปทางเสิ่นฉางซานที่จ้องมองเขาจากด้านหลัง ราวกับว่าหากเขากล้าคุกเข่าลงบนเบาะ เขาก็จะคุกเข่าลงร้องไห้โหยหวนและวิ่งชนซุ้มประตูของตำบลฉาซู่ตายได้ทันที

“ไม่รู้เรื่องรู้ราวจริง ๆ ข้าจะคารวะเสด็จพ่อ ยังต้องกลัวความลำบากอีกอย่างนั้นหรือ!”

เซี่ยเจินเอ่ยจบก็คุกเข่าลงตรงหน้าเขาทันที นายอำเภอเจียงมีสีหน้าพึงพอใจ ในใจก็มีน้ำตาไหลออกมา บรรพชน พวกท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่! ข้าช่างมีเกียรติจริง ๆ!

เขากระแอมเล็กน้อย “ฝ่าบาท ราชโองการของไท่ซ่างหวง บอกให้ท่านหันไปทางตะวันออก และคารวะอย่างเป็นทางการสามครั้งพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยเจินขมวดคิ้ว “เหตุใดต้องเป็นทิศตะวันออก? อีกอย่างไท่ซ่างหวงอยู่ที่ใดกันแน่?”

นายอำเภอเจียงปัดมือไปมา “กระหม่อมเองก็ทำตามรับสั่งของไท่ซ่างหวง พระองค์ทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีกี่หัวกันถึงจะกล้าหลอกลวงพระองค์ได้ ทรงทำตามนี้ไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินคิดในใจว่า รอเขากลับไปเมืองหลวงแล้ว จะลากนายอำเภอเจียงผู้นี้ไปประหารเป็นคนแรก

เขาหันไปด้านข้างและพบว่ามีโต๊ะวางอยู่ทางทิศตะวันออก บนนั้นมีข้าวของวางอยู่ ดูคล้ายกับโต๊ะบูชาตัวหนึ่ง

“ฝ่าบาท อย่าชักช้าอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ ไท่ซ่างหวงกำลังรอพระองค์อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยเจินเม้มริมฝีปาก ก่อนจะก้มตัวลงคารวะอย่างเป็นทางการ

เมื่อเห็นเซี่ยเจินทำเช่นนี้ คนที่เหลือย่อมคุกเข่าคารวะไปทางทิศตะวันออกโดยพร้อมเพรียงกัน

แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่าชื่อที่เขียนอยู่บนป้ายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะบูชานั้นคือคำว่า ‘เซี่ยอวี้’

เซี่ยเจินคารวะสามครั้งเสร็จ กำลังจะดึงมือของเจียงเต๋อเพื่อลุกขึ้น นายอำเภอเจียงก็รีบตบหน้าผากตัวเองหนึ่งที “ไอ้หยา พระองค์ดูความจำของกระหม่อมสิพ่ะย่ะค่ะ ไท่ซ่างหวงตรัสว่าเวลาคุกเข่าคารวะต้องตะโกนว่า ‘ลูกผิดไปแล้ว’ ด้วย ฝ่าบาท รบกวนพระองค์ช่วยคารวะอีกครั้งด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจนะพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยเจิน “…”

เจียงเต๋อ “…”

ขุนนางทั้งหลาย “…”

เขาช่างกล้าดียิ่งนัก!

“นายอำเภอเจียง เจ้ากำลังปั่นหัวฝ่าบาทเล่นอย่างนั้นหรือ! คำสั่งของไท่ซ่างหวงเจ้ากล้าลืมได้อย่างไรกัน?!”

นายอำเภอเจียงตกใจจนรีบคุกเข่าลงทันทึ “ต่อให้กระหม่อมจะกล้าเพียงใดก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

ขณะที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินกำลังคิดที่จะเตะเขาสักที พวกเสิ่นฉางซานก็นำเสื่อกกมาปูเรียบร้อยแล้ว เพื่อต้องการดูว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินจะกตัญญูต่อเสด็จพ่อของตัวเองอย่างไร

อายุปูนนี้ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร ฮ่องเต้เซี่ยเจินโมโหจนปอดแทบจะกระเด็นออกมาอยู่แล้ว จึงคุกเข่าลงคารวะอีกสามครั้ง และทุกครั้งก็ตะโกนคำว่าลูกผิดไปแล้วออกมาจนดังก้องไปทั่ว

ในที่สุดพวกเสิ่นฉางซานก็พอใจแล้ว

และตอนนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็ลุกขึ้นมาได้แล้ว เขาจึงเอ่ยกับนายอำเภอเจียงว่า “ไท่ซ่างหวงอยู่ที่ใด!”

นายอำเภอเจียงจึงตอบกลับไปว่า “ฝ่าบาทเพียงแค่เดินตรงไปตามถนนเส้นนี้ ไม่นานก็จะได้พบไท่ซ่างหวงพ่ะย่ะค่ะ แต่ไท่ซ่างหวงทรงตรัสเอาไว้ว่าพระองค์ต้องเดินเท้าเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินกำลังพูดว่าเหลวไหล! ถังกั๋วกงก็รีบพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมาทันที “คำพูดนี้ถูกต้องอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการแสดงถึงความกตัญญูของฝ่าบาท เดินสามก้าวคุกเข่าลงคำนับหนึ่งครั้ง ก็จะแสดงถึงความจริงใจและทำให้สวรรค์ซาบซึ้ง และจะได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์นะพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยเจิน “???”

นายอำเภอเจียงปรบมือหนึ่งครั้ง “วิธีนี้ช่างดียิ่งนัก ฝ่าบาท ตอนนี้พระองค์กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่กษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาเช่นพระองค์จะให้ผู้คนมาใส่ความได้อย่างไร วิธีการนี้ของถังกั๋วกง ไท่ซ่างหวงจะต้องยอมให้ฝ่าบาทพบอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินยังคงลังเล เดินสามก้าวคุกเข่าลงคำนับหนึ่งครั้ง ยังไม่รู้ว่าไท่ซ่างหวงอยู่ที่ใดด้วยซ้ำ อยากเห็นเขาตายอยู่ตรงนั้นหรืออย่างไร?

เสิ่นฉางซานจึงกระแอมเล็กน้อย “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ~~~~!”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงชี้ไปที่เสิ่นฉางซาน “ท่านเสิ่น! ข้ายังไม่ได้บอกว่าจะไม่คุกเข่า ท่านช่วยลุกขึ้นมาจากเสื่อกกก่อนเถอะ!”

เสิ่นฉางซานจ้องฮ่องเต้เซี่ยเจิน “ฝ่าบาท คำสัญญาของกษัตริย์ หนักแน่นราวกับกระถางธูป ขอให้ฝ่าบาทเดินสามก้าวคุกเข่าลงคำนับหนึ่งครั้ง อย่าลืมว่าไท่ซ่างหวงยังรอพระองค์อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”

.

.

.