ปลายจมูกของเขาได้กลิ่นหอมจางๆ ซึ่งเป็นกลิ่นกายที่เป็นธรรมชาติมาก
ไม่ใช่กลิ่นที่มาจากน้ำหอมหรือเครื่องสำอางแต่อย่างใด แต่เป็นกลิ่นที่หอมสดชื่นและทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากจะสูดดมกลิ่น
ดวงตาของเธอปิดอยู่จึงทำให้เห็นขนตาที่ยาวมากของเธอ ตอนนี้เธอยังคงไม่ขยับและหลับลึกจนไม่รู้สึกตัว
มีบางอย่างดึงดูดเฟิงหานชวน ในขณะที่ร่างบางกำลังผล็อยหลับอยู่ เขาอยากจะ…
ในขณะเดียวกันเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน “ตึ๊ดๆ”
มันคือโทรศัพท์ที่เขาวางไว้อยู่ที่แผงรถด้านหน้า
เฟิงหานชวนจำเป็นต้องปล่อยเเฉินฮวนฮวนแล้วเดินไปที่ที่นั่งคนขับและหยิบโทรศัพท์ออกมา
เมื่อเห็นชื่อบนหมายเลขของผู้โทรเข้ามา ใบหน้าที่ผ่อนคลายแต่เดิมของเฟิงหานชวนก็กลับแปรเปลี่ยนไปในทันใด
แต่เขาก็ยังกดรับสาย
“คุณเฟิง ฉันคิดว่าคุณจะไม่รับสายฉันแล้วซะอีก~”
เสียงที่ละเอียดอ่อนของหญิงสาวดังมาจากปลายสาย
เฟิงหานชวนขมวดคิ้ว น้ำเสียงต่ำของเขาเริ่มหมดความอดทน: “คิดข้อแลกเปลี่ยนออกแล้วเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงหานชวนหลิ่วเยว่เอ่อร์ก็หุบยิ้มลงทันที เธอบีบโทรศัพท์และกัดฟันแน่น
“ฉัน……พวกเราไปกันได้แค่นี้จริงๆเหรอ? ฉันไม่อยากพูดถึงเงื่อนไขใดๆเลย มันชัดอยู่แล้วว่าคุณเฟิงเป็นคนทำฉันก่อน…”หลิ่วเยว่เอ่อร์ยังคงเอ่ยถึงเรื่องในคืนนั้น
เธอไม่เชื่ออีกต่อไปแล้ว เฟิงหานชวนนั้นช่างเย็นชาจริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะรับผิดชอบเลย
ในขณะเดียวกันเฟิงหานชวนก็ตื่นขึ้นมาในลักษณะที่มึนงงและสับสน เสียงเรียกเข้าและเสียงโทรศัพท์สั่นปลุกเธอเล็กน้อย พอได้ยินเสียงของเฟิงหานชวน เธอจึงบังคับตัวเองให้ลืมตาขึ้นตื่นขึ้น
แม้ว่าเธอจะง่วงนอนมาก แต่เธอก็พยายามเพ่งมองออกไปข้างนอกรถและพบว่าที่นี่คือสี่แยกหน้ามหาวิทยาลัย และเฟิงหานชวนเองก็ยืนอยู่ข้างประตูรถพร้อมกับถือโทรศัพท์
เขากำลังคุยโทรศัพท์
อย่างไรก็ตามเฉินฮวนฮวนสงสัยว่าทำไมประตูเบาะหลังของเธอถึงเปิด?
เฟิงหานชวนเปิดประตูอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อเธอเหยียดตัวเองลุกขึ้นมานั่ง เฟิงหานชวนก็หันมามองที่เธอ ทำให้ทั้งสองคนบังเอิญสบตากัน
“อา….”เฉินฮวนฮวนอยากจะพูด แต่เธอเห็นว่าเฟิงหานชวนยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ ดังนั้นเธอจึงรีบปิดปากของเธอทันที
หลังจากนั้นเธอก็ชี้นิ้วไปทางด้านหลังและพูดว่า: “ฉันไปก่อนนะ!”
จากนั้นเธอจึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายและลงจากรถ เธอโบกมือลาเฟิงหานชวนก่อนจะหันเดินจากไป
แต่ทันใดนั้นเขาก็จับข้อมือเธอไว้เสียก่อน
เมื่อเฉินฮวนฮวนหันมาก็เห็นเฟิงหานชวนกำโทรศัพท์แล้วโยนทิ้งลงไปในเบาะที่นั่งคนขับ
“อาสาม คุณมีอะไรอีกหรือเปล่า?”เฉินฮวนฮวนเอ่ยถาม
“เลิกงานสี่ทุ่มใช่ไหม?”เฟิงหานชวนจ้องไปที่ดวงตาใสๆของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาและเอ่ยถาม
“อืม ใช่”เฉินฮวนฮวนพยักหน้าเหมือนคนบื้อ ตอนนี้ในใจของเธอเริ่มรู้สึกสับสนมากขึ้นกว่าเดิม
เฟิงหานชวนถามเธอว่าเลิกงานกี่โมง เขาต้องการจะทำอะไร?
ในขณะที่เธอกำลังสงสัย เสียงของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง: “ตอนค่ำหลังจากเลิกงานฉันจะมารับเธอ”
“ห้ะ?”เฉินฮวนฮวนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“ไม่ได้มีเรื่องอยากให้ฉันช่วยหรอกเหรอ?”เฟิงหานชวนเม้มริมฝีปากและพูดอย่างใจเย็น
จากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปและปิดประตูเบาะหลังและเดินเข้าไปนั่งที่เบาะคนขับ แล้วก็ขับรถออกไปทันที
เมื่อรถหายไปแล้ว แต่เฉินฮวนฮวนยังคงตกตะลึงและสับสนวุ่นวายใจไปหมด
ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือก นอกจากขอความช่วยเหลือจากเฟิงหานชวนเท่านั้นใช่ไหม?
แถมยังต้องเอาร่างกายเข้าแลกแบบนั้นใช่ไหม?
……
อีกด้านหนึ่งของโรงพยาบาลรุ่ยเอิน
ห้องพักผู้ป่วยระดับวีไอพี
หลิ่วเยว่เอ่อร์จ้องมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์สีดำ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ
ทันทีที่เธอพูดถึงเรื่องเมื่อคืนนั้น เฟิงหานชวนก็เงียบและวางสายโทรศัพท์ใส่เธอทันที
ผู้ชายคนนี้ไร้ความรู้สึกขนาดนี้ได้อย่างไร?
หรือเริ่มคิดว่าเธอน่ารำคาญหรือเปล่า?
เธอกวนเขามากไปหรือเปล่า?
แต่เธออุส่าห์อดทน ไม่อย่างนั้นเธอคงโทรหาเขาตั้งแต่เมื่อวานแล้วด้วยซ้ำ
เฟิงหานชวนทิ้งเธอไว้เพียงลำพังที่โรงพยาบาล เหลือแค่แม่บ้านที่ยังคงอยู่ดูแลเธอเท่านั้น นี่มันหมายความว่าเธอเป็นอะไรกับเขาอย่างนั้นเหรอ?
จะมาก็มาจะไปก็ไป?
เป็นไปได้ไหมที่เกาจวินเซวียนอาจจะพูดอะไรบางอย่างกับเฟิงหานชวนและต้องการทำลายหนทางที่เธออยากจะยกระดับของตัวเองให้สูงขึ้น?
แต่หลิ่วเยว่เอ่อร์ก็รีบลบความคิดนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าเกาจวินเซวียนพูดอะไรไปจริงๆ เฟิงหานชวนก็น่าจะถามเธอไปตั้งนานแล้ว
เมื่อนึกถึงความเย็นชาของเขา เธอก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที เธอไม่มีสเน่ห์ขนาดนั้นเลยเหรอ?
เลยไม่อยากรับผิดชอบ? ทำไมไม่รับผิดชอบเธอ!
หลิ่วเยว่เอ่อร์หงุดหงิดจนแทบรอไม่ไหวที่จะรีบไปที่บริษัทของเฟิงหานชวนและบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ทั้งโลกได้รับรู้!
ขณะที่ป้าหวังกำลังไปซื้ออาหารเช้ามาให้เธอ หลิวเยว่เออร์ก็โทรหาเกาจวินเซวียนอีกครั้ง
“ฮัลโหล เกาจวินเซวียนคุณไม่ได้ไปหาเฟิงหานชวนใช่ไหม? ถ้าคุณกล้าพูดอะไรออกไป คุณกับฉันจบไม่สวยแน่! “หลิ่วเยว่เอ่อร์รู้สึกไม่สบายใจเลยโทรมาเตือนเกาจวินเซวียนอีกครั้ง
“เยว่เอ่อร์ ไม่ต้องกังวลไปนะ ผมจะไม่พูดเรื่องไร้สาระแน่นอน ผมเองก็และไม่จำเป็นที่จะต้องพูดเรื่องไร้สาระแบบนั้นด้วยใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้ผมกำลังทานอาหารเช้ากับรุ่นน้องในโรงอาหาร ผมอยากเสียเวลากับเรื่องของคุณ รู้ใช่ไหม? ”
เกาจวินเซวียนอธิบายซ้ำแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือไปที่รุ่นน้องผู้หญิงและสั่งเธอว่า: “มาๆ บอกเธอหน่อยว่าเราอยู่ด้วยกัน”
รุ่นน้องสาวสวยหัวเราะคิกคักและพูดว่า: “สวัสดีค่ะพี่เยว่เอ่อร์ ฉันเป็นแฟนของอาเซวียน ฉันชื่อเฉินเสี่ยววาน”
หลังจากที่เฉินเสี่ยววานกล่าวทักทาย เกาจวินเซวียนก็เอาโทรศัพท์มาพูดกับเธอต่อว่า: “เราเลิกกันด้วยดี ผมไม่จำเป็นไปต้องพูดเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับคุณ ขอวางสายก่อนนะ! คุณหาทางเอาเองก็แล้วกัน!”
เฉินเสี่ยววานยังคงอยู่ข้างๆเขา ดังนั้นเกาจวินเซวียนจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่มีประกายแสงบางอย่างวาบขึ้นมาในดวงตาของเขา และรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปากของเขา
ทันทีที่เขาวางสาย เขาก็โอบผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขา และกอดเธอไว้ในอ้อมแขนทันที
“อาเซวียน แฟนเก่าของคุณคนนั้น โทรหาคุณมีเรื่องอะไรเหรอ?”เฉินเสี่ยววานพิงแขนของเกาจวินเซวียนและถามด้วยความสงสัย
“เธอชอบออกไปเที่ยว เธอกลัวว่าผมจะเอาเธอไปพูดในทางแย่ๆเกี่ยวกับเธอ เธอเลยมาเตือนผม ช่างเธอเถอะ!”เกาจวินเซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาก้มหน้าลงและจูบไปที่ริมฝีปากของเฉินเสี่ยววาน
เฉินเสี่ยววานซบอยู่ในอ้อมแขนของเกาจวินเซวียนอย่างเขินอาย ทั้งสองคนดูเป็นคู่รักที่หวานแหวว
เฉินฮวนฮวนที่กำลังเดินเข้าไปในโรงอาหารก็บังเอิญเห็นฉากนี้พอดี
เธอขยี้ตาและสงสัยว่าเธอตาฝาดไปหรือเปล่า แต่เธอไม่ได้ตาฝาดเพราะเกาจวินเซวียนกำลังกอดเด็กสาวคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขนของเขา ทั้งสองดูสนิทสนมกันราวกับเป็นคู่รัก
“เกาจวินเซวียน ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร! คุณทำกับเยว่เอ่อร์แบบนี้ได้ยังไง? “เฉินฮวนฮวนเดินเข้ามาและตะโกนใส่เกาจวินเซวียน
เกาจวินเซวียนและเฉินเสี่ยววานต่างตกใจกับเสียงตะโกนของเฉินฮวนฮวน เมื่อเกาจวินเซวียนได้สติ เขาจึงโต้กลับไปทันที: “เฉินฮวนฮวน ผมกับหลิ่วเยว่เอ่อร์เลิกกันแล้ว! นี่แฟนใหม่ของผม คุณอย่ามาเอะอะโวยวายแบบนี้! ”